เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 182 พูดมากความอาจส่งผลต่อสถานการณ์ทั้งหมด (1)
ตอนที่ 182 พูดมากความอาจส่งผลต่อสถานการณ์ทั้งหมด (1)
ณ จวนตระกูลหนิง ในเมืองหลวง
ภายในสวนเต็มไปด้วยดอกไม้และพืชพันธุ์แปลกตา ต้นเถิงหลัวให้ร่มเงา ต้นไม้เขียวขจี สิ่งก่อสร้าง เรือนชานประดับประดาอย่างหรูหรา เรียกได้ว่างดงามทุกย่างก้าว
ตรงทางเดินเล็กๆ ในลานกว้าง ที่ศาลาอบอุ่นงดงามตระการตา มีหญิงรับใช้ชรายืนอยู่ ทั้งมีสตรีที่งดงามนั่งจิบชาในท่วงท่าที่สง่างาม นางนั่งชมดอกไม้ที่ตนเองเพิ่งตัดแต่งไป
ชายหนุ่มในชุดฮั่นฝูเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม เดินเข้ามาด้านใน นางจึงโบกมือให้หญิงรับใช้ชราที่คอยรับใช้อยู่ข้างๆ ถอยออกไปก่อน
“มีข่าวคราวของเขาหรือไม่” สตรีผู้นี้ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา ทำเพียงแค่เป่าชา
ชายหนุ่มคนนั้นไม่ได้สนใจ เอนตัวนั่งลงที่เก้าอี้ยาวทันที เขาหยิบขนมจากบนโต๊ะแล้วโยนเข้าปาก
“ไม่มี ลูกสืบได้ความว่าเมื่อไม่กี่วันก่อน รากดอกไม้ประหลาดได้ปรากฎออกมา รู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างแปลกเสียจริง นั่นคือส่วนประกอบเสริมในยาแก้พิษที่ใช้ในการขับพิษออกจากร่างกายเขา หรือเป็นไปได้ว่ายังมีคนอื่นที่ถูกพิษชนิดนั้นด้วย”
สตรีผู้นี้วางจอกชาลง ใบหน้าของนางดูเกรี้ยวกราดและเสียงจอกชาที่กระทบโต๊ะก็ดังสอดคล้องกันพอดี ทำให้ความสง่างามที่นางมีหายไปมิหลงเหลือ “มันอยู่ที่ไหน จ่ายเงินไปเท่าไหร่ก็ได้ แต่ต้องทำลายยานั่นให้ได้”
เพราะเสียงจอกชาที่กระทบอย่างแรง กับสีหน้าที่ดุร้ายนั่น ทำให้ในห้องนี้ดูมืดหม่นขึ้นมาทันที
เขาได้ยินนางวิตกกังวลถึงขนาดนี้ ชายหนุ่มในชุดฮั่นฝูกลับหัวเราะขึ้นมา พลางกล่าวด้วยสีหน้าที่ภาคภูมิใจ “น่าเสียดายที่พวกเราไม่มีโอกาสแล้ว ได้ยินมาว่า มีคนตัดหน้าเรา ทำลายยานั่นไปเสียแล้ว”
“เจ้าแน่ใจหรือ” นางยังคงสงสัย เมื่อมองไปที่ชายหนุ่มในฮั่นฝูที่ใบหน้าแลดูมีความสุข ทั้งยังหัวเราะเสียงดังไม่หยุด “ฮ่าๆๆๆ! นี่คงเป็นสวรรค์ต้องการชีวิตเขา จะมาโทษพวกเราสองแม่ลูกไม่ได้ เซ่าชิง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ถึงแม้พวกเราจะไม่ลงมือ เขาก็คงอดทนอยู่ได้อีกไม่กี่วัน”
หนิงเซ่าอวี่พยักหน้า บทสนทนาวนกลับมาอีกครั้ง “หากยังมีชีวิตต้องเห็นคน หากตายแล้วต้องพบศพ ไม่ส่งเขาด้วยมือของข้าเอง ก็จะดูเหมือนว่าข้าหนิงเซ่าอวี่ผู้นี้ไม่เห็นแก่สายสัมพันธ์พี่น้อง”
หากไม่ใช่เพราะรอยยิ้มเย้ยหยันบนใบหน้าของเขา คงไม่มีใครคาดคิดว่าชายหนุ่มอายุสิบหกสิบเจ็ดปีที่แลดูไม่มีพิษมีภัยอะไร จะกล่าววาจาที่ชั่วร้ายเช่นนี้ออกมาได้
เซี่ยซื่อไม่เพียงล้มเหลวในการสั่งสอนบุตรให้เป็นคนดี ตรงกันข้ามนางกลับรู้สึกพึงพอใจ “อวี่เอ๋อร์พูดได้ถูกต้อง หากไม่ส่งเขาด้วยมือของตนเอง เช่นนั้นจะเป็นการทำให้ชายชราที่ตายไปแล้วนั่นต้องผิดหวัง ตอนเขาอยู่ วันๆ ก็เอาแต่จ้องมองไปบนฟ้าอย่างมีหวัง”
หลังจากที่หนิงเซ่าอวี่หัวยิ้มเหยียดหยันแล้ว ก็พูดขึ้นมาอีก “ท่านแม่ ข้ามักรู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลมาโดยตลอด”
เซี่ยซื่อเอ่ยถาม “ตรงไหนที่ดูไม่ชอบมาพากลหรือ”
หนิงเซ่าอวี่ กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ลุ่มลึกแต่แฝงไปด้วยความรู้สึกเหยียดหยาม “พวกเราอยู่ฟังข่าวคราวของเขาที่ทางฝั่งตะวันตกมาโดยตลอด แต่ทุกครั้งที่เราไปถึงเราก็มักจะช้าไปก้าวนึงเสมอ ถ้าแค่ครั้งเดียว ก็นับว่าเป็นเหตุบังเอิญ แต่ทุกครั้งก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ลูกรู้สึกว่ามันแปลกพิกล ท่านแม่คิดหรือไม่ว่าเขาจงใจทำให้เราสับสนอยู่”
ดวงตาเซี่ยซื่อเป็นประกาย “ก็จริง เขานั้นเจ้าเล่ห์มาโดยตลอด พวกเราชะล่าใจไม่ได้เด็ดขาด”
หนิงเซ่าอวี่วิเคราะห์ “ลูกมักจะรู้สึกว่าความจริงแล้วเขาไม่ได้อยู่ที่แดนตะวันตก แต่อยู่ทางฝั่งตรงกันข้ามนั่นก็คือแดนตะวันออก”
เซี่ยซื่อกล่าวอย่างร้อนใจ “เช่นนั้นก็รีบส่งคนไปตรวจสอบเสีย”
หนิงเซ่าอวี่ตอบกลับ “ลูกได้ส่งคนไปยังว่านทง จินมั่ว เทียนเซียง ชังโยวและที่อื่นๆ แล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานก็น่าจะได้ข่าวคราวอะไรกลับมา
……
ณ จวนตระกูลมั่ว ในเมืองหลวง
ในห้องมีชายวัยกลางคนกับชายชราอีกสองคนกำลังหารืองานราชการกันอยู่
ลูกน้องที่ดูเหมือนจะเป็นพ่อบ้านมารายงานด้วยความเคารพ “ท่านเจ้าเรือน หน่วยลับมาแจ้งว่า คุณชายใหญ่ตระกูลเฟิงกับสาวใช้อีกสองคนของคุณหนูเชียนเสวี่ย พวกเขาไปจากหยางโจวทีละคนๆ ไม่พบร่องรอยแล้ว”
ชายวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่าเจ้าเรือนตระกูลมั่ว สั่งการออกไปในทันที “รีบส่งกำลังคนไปตรวจสอบเพิ่มอีก”
“ขอรับ” คนในห้องโถงนับคำสั่งแล้วออกไป
ชายชราที่อยู่ทางด้านซ้ายเอ่ยถาม “เด็กสาวคนนั้นตายไปแล้วมิใช่หรือ ตระกูลเฟิงจะทำให้มันวุ่นวายไปทำไม” ชายชราที่อยู่ทางขวาก็กล่าว “ตระกูลเฟิงไม่เคยหยุดที่จะตามหาเลย อย่าคิดว่าตระกูลมั่วของเราไม่รู้นะว่าพวกเขามีแผนอะไร ก็แค่ต้องการฐานันดรของตระกูลมั่วของพวกเราสินะ เหอะ! เพ้อเจ้อ”
เจ้าเรือนตระกูลมั่วกล่าว “กระทำการสิ่งใดต้องรอบคอบ ต้องไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดอะไรในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้”
“อืม” ชายชราที่อยู่ทางด้านขวาพยักหน้า “ในตอนที่พบศพของเด็กสาวคนนั้น แม้ว่าการแต่งกายและเครื่องประดับที่มีจะเหมือนกันทุกประการ แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนของกิ่งไม้ เกรงว่าจะมีเรื่องไม่ชอบมาพากลจริงๆ”
“ที่อารองพูดมาก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผล” เจ้าเรือนตระกูลมั่วสีหน้าวิตกกังวลทันที นี่คือหนามยอกอกเขา ในตอนนั้นที่รีบร้อนฝัง ก็เป็นเพราะสาเหตุนี้
ยิ่งประกาศให้โลกรู้ว่ากั๋วกงไม่มีทายาทได้เร็วเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งจะได้รับยศถาบรรดาศักดิ์มาครอบครองได้เร็วขึ้นเท่านั้น
เขาเตรียมพร้อมมานานแล้ว เพียงรอให้ผ่านวันครบรอบวันตายของกั๋วกงไปก่อน จากนั้นลูกหลานในตระกูลที่เป็นบุรุษก็จะได้รับเลือกในนามของกั๋วกง แล้วค่อยขอให้ฝ่าบาทประทานแผ่นป้ายประทับตรามาให้
เมื่อสมเหตุสมผลเช่นนี้ ก็ไม่ต้องกลัวว่าฝ่าบาทจะไม่รับปาก
แน่นอนว่า เขามีคนที่เลือกไว้ในใจอยู่แล้ว บอกว่าคัดเลือก ก็เป็นเพียงข้ออ้างที่ใช้ระงับข้อพิพาทในตระกูล และถือว่าเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่จะใช้ปิดปากคนทั่วหล้าด้วย
ฐานันดรนี้เป็นของตระกูลมั่วของเขา ผู้ที่สืบทอดจะต้องเป็นสายเลือดตระกูลมั่ว จะกลายเป็นสินเดิมไปได้อย่างไร เสียเปรียบคนนอกเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องน่าขันสิ้นดี
เทียนฟ่างถูกสตรีตระกูลเฟิงคนนั้นปั่นหัวเป็นแน่
สตรีที่ไม่อาจให้กำเนิดบุตรชายได้ เขากลับทำเหมือนนางเป็นของล้ำค่า สาบานว่าจะไม่หาอนุเพิ่ม
สตรีที่ขี้โรคและอ่อนแอคนหนึ่ง เขากลับประคองนางไว้ในมืออย่างทะนุถนอม แม้กระทั่งฐานันดรยังยกให้เป็นสินสอดทองหมั้นของนาง
ฟั่นเฟือน!
นึกถึงตรงนี้ เขาก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาอีกครั้ง ตะโกนไปข้างนอกเสียงดัง “ใครก็ได้”
ชายหนุ่มบึกบึนในชุดสีดำแวบเข้ามา เขาจึงสั่งการด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม “ส่งกำลังคนไปแอบสังเกตการณ์ยายแก่มั่วผอจื่อนั่นด้วย”
“ขอรับ”
…..
เวลาได้ล่วงเลยมาถึงตอนค่ำ ตอนที่มั่วเชียนเสวี่ยกับหนิงเซ่าชิงออกมารับประทานอาหารกัน ชูอีไม่เพียงจัดแจงงานของตนเองกับสืออู่ให้เหมาะสมแต่ยังสั่งงานหมิงเย่ว์กับไฉ่สยาจนยุ่งกันไปหมดอีกด้วย
“หมิงเย่ว์ คุณหนูกับกูเหยียได้พักผ่อนกันเต็มที่แล้ว ตอนนี้ยกอาหารมาได้…”
“ไฉ่สยาไปตักน้ำแล้วเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดมือให้คุณหนูกับกูเหยียด้วย…”
หมิงเย่ว์จัดเตรียมอาหารอย่างเหมาะสมตามคำสั่งของนาง ไฉ่สยาก็บิดผ้าเช็ดหน้าแล้วส่งให้มั่วเชียนเสวี่ยเช็ดมือให้หนิงเซ่าชิงและเช็ดมือของตนเอง นั่งที่ข้างโต๊ะเตรียมตัวรับประทานอาหาร ชูอีที่อยู่ข้างๆ ยกอาหารมาให้มั่วเชียนเสวี่ย
วันนี้มีอาหารหลายอย่าง ดูน่าอร่อยกว่าปกติ หลักๆ แล้วล้วนเป็นอาหารที่มั่วเชียนเสวี่ยกับหนิงเซ่าชิงชอบทาน มองออกว่าชูอีทำมันด้วยใจ
มั่วเชียนเสวี่ยกวาดสายตามองอาหารเหล่านั้นเล็กน้อย นางตักอาหารจานโปรดในทันที
มั่วเชียนเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะพยักหน้า นึกไม่ถึงเลยว่าชูอีผู้นี้ไม่เพียงแต่มีวิชาการต่อสู้ เฉลียวฉลาด แต่ยังจัดการดูแลเรือนได้อย่างมืออาชีพอีกด้วย
ไม่มีใครต้องสั่งนาง ก็สามารถทำหน้าที่จัดการเรื่องราวต่างๆ ได้ดีขนาดนี้ ช่างมีมาตรฐานจริงๆ สำหรับคนที่มีความสามารถเช่นนี้ มั่วเชียนรู้สึกชื่นชมเสมอมา
สาวใช้ที่นางต้องการ อันดับหนึ่งคือต้องซื้อสัตย์ อันดับสองต้องมีความสามารถ หมิงเย่ว์กับไฉ่สยาแม้ว่าจะเคยได้รับการฝึกฝนมาบ้าง ทำงานบางอย่างได้ตามคำสั่ง แต่ก็ไม่รอบรู้ทุกด้าน จะมีใครที่เป็นมืออาชีพด้านการอบรมสอนงานเฉกเช่นชูอีแล้วก็ไม่มี ให้นางช่วยอบรมสอนสั่งบ้างก็ดีเหมือนกัน