เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 183 พูดมากความอาจส่งผลต่อสถานการณ์ทั้งหมด (2)
ตอนที่ 183 พูดมากความอาจส่งผลต่อสถานการณ์ทั้งหมด (2)
จะใช้ผู้ใดก็อย่าสงสัยในตัวผู้นั้น หากสงสัยผู้ใดก็อย่าใช้ผู้นั้น
ในเมื่อนางยกหน้าที่ให้ชูอีจัดการแล้ว ก็ย่อมที่จะต้องเชื่อใจในความภักดีของนาง
ดังนั้น มั่วเชียนเสวี่ยจึงไม่คิดที่จะไปขัดจังหวะการทำงานของนาง สามารถสั่งการให้หมิงเย่ว์กับไฉ่สยาทำงานจนหัวหมุนได้ถือเป็นความสามารถของนาง
อยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ต้องออกแรงแม้แต่น้อยนั้นสบายกว่ามาก มั่วเชียนเสวี่ยย่อมจะเต็มใจอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม แม้ว่านางจะรู้สึกชื่นชม แต่กลับมิอาจให้ท้ายชูอีได้ พอรับประทานอาหารเสร็จ มั่วเชียนเสวี่ยก็เรียกชูอี สืออู่ หมิงเย่ว์ และไฉ่สยามารวมตัวกัน และสั่งสอน ไม่มีอะไรมากไปกว่าพูดกดดันและควบคุมชูอี แม้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะไม่แทรกแซงการที่ชูอีไปออกคำสั่งกับหมิงเย่ว์และไฉ่สยา แต่ก็ไม่อาจหลับหูหลับตาสนับสนุนให้นางไปกดดันหมิงเย่ว์และไฉ่สยาได้
นางต้องการความภักดี และต้องการความสามารถ แต่ที่ต้องการมากว่าก็คือให้ลูกน้องทุกคนเป็นมิตรที่ดีต่อกัน นางยังต้องการความสมดุล
หลังจากได้ใช้เวลาร่วมกันกับสองคนนี้มาแล้วสองเดือน มั่วเชียนเสวี่ยก็เข้าใจหมิงเย่ว์และไฉ่สยาดี พวกนางไม่ใช่คนโง่อะไร เป็นคนที่ไม่คิดอะไรมาก ให้เวลาพวกนางหน่อย อบรมให้ดีๆ พวกนางก็จะทำประโยชน์สูงสุดให้แก่ตนได้
รอจนอบรมพวกนางเสร็จ มั่วเชียนเสวี่ยก็ได้พาหมิงเย่ว์และไฉ่สยาไปที่บ้านอาซ้อฟางอีกครั้ง ไม่ได้สนใจเรื่องการทำเต้าหู้มาหลายวันแล้ว นางต้องไปตรวจสอบบัญชี อันไหนที่ควรกำชับก็ต้องกำชับ
หนิงเซ่าชิงเห็นว่ามั่วเชียนเสวี่ยออกจากประตูไปบ้านอาซ้อฟางแล้ว ก็หันหลังเดินเข้าห้องหนังสือ หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาแล้วเริ่มขีดเขียนและวาดภาพ
จนมั่วเชียนเสวี่ยกลับมาที่ห้อง ชูอีก็ได้ดูแลรับใช้หนิงเซ่าชิงล้างหน้าล้างตาให้เขาเสร็จแล้ว จากนั้นเขาก็เอนกายลงบนเตียง
พอเห็นมั่วเชียนเสวี่ยเข้ามา ชูอีก็รีบปูผ้านวมอย่างรวดเร็ว ครั้งนี้นางไม่ได้สั่งให้หมิงเย่ว์และไฉ่สยาทำ แต่เป็นนางที่ไปตักน้ำมาให้มั่วเชียนเสวี่ยล้างหน้าล้างตาเอง มั่วเชียนเสวี่ยรับมันมาอย่างใจเย็น นางรับความอลหม่านวุ่นวายของร่างนี้มาแล้ว ก็ย่อมที่จะยอมรับผลประโยชน์อื่นจากร่างนี้ด้วยเช่นกัน รวมถึงการสยบความทะนงตัวที่ฝังอยู่ในกระดูกของชูอีเช่นกัน
มีความทะนงตัวถือเป็นเรื่องดี แต่ว่าต้องไม่มากจนเกินไป
ยังดีที่ชูอีนั้นฉลาด เพียงสะกิดเบาๆ ก็เข้าใจสิ่งที่นางต้องการจะสื่อแล้ว ทำความคุ้นเคยกับความยากจนต้องใช้เวลาทั้งชีวิต ทว่าทำความคุ้นเคยกับความรื่นเริงกลับใช้เพียงวินาทีเดียว
มั่วเชียนเสวี่ยก็เป็นเช่นนี้
ตอนนี้ชูอีกำลังดูแลรับใช้นางอยู่ หลังจากล้างเท้าเสร็จแล้วก็นอนเอนกายลงบนเตียงอย่างสบายๆ ชูอีจัดของชิ้นเล็กชิ้นน้อยให้เป็นระเบียบเบาๆ จากนั้นก็ออกไป
ในห้องเหลือเพียงนางกับหนิงเซ่าชิงสองคนเท่านั้น
มั่วเชียนเสวี่ยลืมตาขึ้น หนิงเซ่าชิงก็มองมา ทั้งต่างเข้าใจกัน สบตากันพลางยิ้ม
หนิงเซ่าชิงลุกขึ้นดึงเก้าของโต๊ะอ่านตำราออกมา นางจึงฉวยโอกาสนั่งลงไป
ภาพที่แผ่ออกต่อหน้านางนั้นแปลกมาก
มั่วเชียนเสวี่ยเงยหน้าขึ้นอย่างสงสัย หนิงเซ่าชิงเริ่มชี้ไปที่รูปภาพ แล้ววิเคราะห์กองกำลังทุกฝ่ายของเทียนฉีให้นางฟัง ช่วงเวลาที่นางออกไปนั้น สิ่งที่เขาขีดเขียนวาดๆ ก็คือเครือข่ายกองกำลังเหล่านี้
ในราชวงศ์เทียนฉีนอกจากคนในราชวงศ์แล้ว ตระกูลที่มีอำนาจมากที่สุดก็คือตระกูลขุนนาง หลังจากก่อตั้งราชวงศ์เทียนฉีแล้ว ก็ได้แต่งตั้งสุดยอดสี่ตระกูลขุนนางใหญ่ และสี่ตระกูลขุนนางขั้นหนึ่ง
สุดยอดสี่ตระกูลขุนนางใหญ่แบ่งเป็นตระกูลหนิง ตระกูลเซี่ย ตระกูลซู และตระกูลหลู
สี่ตระกูลขุนนางขั้นหนึ่งแบ่งเป็นตระกูลเฟิง ตระกูลหลัน ตระกูลถง ตระกูลกุ้ย
เจ้าเรือนของสุดยอดตระกูลขุนนางเวลาเข้าเฝ้าฝ่าบาทล้วนไม่ต้องคุกเข่าคำนับ ทั้งยังสามารถเพลิดเพลินกับอภิสิทธิ์ที่ได้รับเฉกเช่นเดียวกับคนของราชวงศ์
แม้ว่าตระกูลขุนนางขั้นหนึ่งจะไม่ได้รับอภิสิทธิ์เช่นเดียวกับคนของราชวงศ์ แต่ก็ยังสามารถเพลิดเพลินกับอภิสิทธิ์เฉกเช่นเดียวกับตระกูลขุนนางขั้นสูงได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อหนึ่งร้อยปีที่แล้วตระกูลหลูหนึ่งในสี่สุดยอดตระกูลขุนนางใหญ่ก็ถูกกำจัดทิ้งทั้งตระกูลเพียงชั่วข้ามคืนโดยไม่ทราบถึงสาเหตุ ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาก็เหลือเพียงสามสุดยอดตระกูลขุนนางใหญ่
สามสิบปีที่แล้ว ตระกูลหลันตระกูลขุนนางขั้นหนึ่ง เจ้าเรือนก็หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย เกิดความขัดแย้งกันในตระกูลอย่างไม่หยุดหย่อน ตกต่ำอย่างรวดเร็ว จนถึงตอนนี้เหลือเพียงชื่อเท่านั้น ไร้ซึ่งอำนาจ แทบจะเอาตัวไม่รอด ตระกูลขุนนางขั้นหนึ่งที่มีอำนาจอย่างแท้จริงจึงมีเพียงตระกูลเฟิง ตระกูลกุ้ย และตระกูลถง
ทั้งสองยังไม่ได้พูดอย่างเปิดเผยว่าจะกลับไปเมืองหลวง ทว่าหัวข้อการสนทนาทั้งหมดล้วนเกี่ยวกับเมืองหลวง
เพราะอภิสิทธิ์ของตระกูลขุนนาง ดังนั้นอำนาจในแผ่นดินของเทียนฉีจึงไม่ได้เป็นของฝ่าบาทเพียงผู้เดียว ตอนนี้ตระกูลหนิงดูแลเรื่องคลังสมบัติของแผ่นดิน ตระกูลซูมีกำลังทางการทหารอยู่ในมือ ตระกูลเซี่ยกลับมาสู่ราชวงศ์มีอำนาจในส่วนของวังหลัง
สภาพการณ์ในปัจจุบันของเทียนฉี คือแบ่งเป็นสามก๊ก ดูเหมือนจะสงบ แต่จริงแล้วสถานการณ์นั้นละเอียดอ่อน ในนี้มีบางสิ่งบางอย่างกำลังก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ การเคลื่อนไหวเล็กน้อยในของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอาจส่งผลต่อสถานการณ์ทั้งหมด
ชูอีและสืออู่กลับมาที่ห้อง และยังคงจับเข่าคุยกันยืดยาว
สืออู่มองไปที่ผนังดินที่อยู่ข้างๆ กับเตียงไม้ธรรมดาๆ พลางกล่าว “ชูอี เจ้าคิดว่าคุณหนู วางแผนจะใช้ชีวิตอยู่ที่สถานที่ห่างไกลความเจริญเช่นนี้กับกูเหยียชั่วชีวิตหรือไม่”
นางไม่ได้กลัวความลำบาก เพียงแค่คุณหนูอยู่เย็นเป็นสุข จะเผชิญความลำบากกับคุณหนูมากมายแค่ไหน นางก็ไม่สน นางแค่เป็นห่วงคุณหนูมาก สตรีชั้นสูงอันดับหนึ่งในราชสำนัก กลับต้องมาอาศัยอยู่ในบ้านดินแห่งนี้เป็นเวลาเนิ่นนาน
“ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ตลอดชีวิตมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร” ชูอีก้มหน้าลง จัดแจงที่นอนให้เรียบร้อย มองไม่เห็นสีหน้าของนาง “ที่กลัวก็คือคุณหนูอยากหลบอยู่ที่นี่อย่างเงียบๆ แต่ปัญหาก็มาหานางถึงที่ ไม่ได้พูดถึงคนเหล่านั้นในเมืองหลวงที่มีเจตนาร้ายแอบแฝง แต่หมายถึงคุณชายอวี้เฉินที่คงจะไม่ยอมรามือง่ายๆ”
คุณหนูมีนิสัยอ่อนโยน ร่างกายอ่อนแอ สามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้ที่นี่ หากกลับไปยังสถานที่ๆ โหดร้ายเหล่านั้นอีก เกรงว่าขนาดจะตายอย่างไรล้วนยังไม่รู้เลย
เพียงแต่ไม่รู้ว่ากูเหยียผู้นี้แท้จริงแล้วมีความแข็งแกร่งเพียงใด สามารถดูแลปกป้องคุณหนูได้เต็มที่หรือไม่
ในตอนที่ชูอีทำหน้าที่ของสาวใช้ เห็นว่าดวงตาของเขานั้นร้ายกาจมาก มองแค่แวบเดียว นางก็รู้แล้วว่าหนิงเซ่าชิงนั้นไม่ธรรมดา ดังนั้นนางถึงเต็มใจคุกเข่า จงรักภักดี คอยอยู่รับใช้
หากเป็นคนที่พึ่งพาไม่ได้จริงๆ เกรงว่าไม่ต้องให้คุณชายอวี้เฉินลงมือ นางจะต้องช่วยนายท่านกับฮูหยินกำจัดความพะวงให้คุณหนูเอง
ในระหว่างที่ชูอีกำลังครุ่นคิด สืออู่กลับคิดอะไรง่ายๆ “ใครกล้ามาหาเรื่องคุณหนู สืออู่จะขับไล่ออกไปให้เอง”
ชูอีหัวเราะแต่ไม่ได้ตอบอะไร นางไม่ได้ดูถูกสืออี เป็นพี่น้องที่ดีต่อกันมาเนิ่นนานหลายปี นิสัยของสืออู่เป็นอย่างไรใช่ว่านางจะไม่รู้ บางครั้งนางยังรู้สึกอิจฉาในความเปิ่นไม่คิดอะไรมากของสืออู่เลย
ไม่คิดอะไรทั้งนั้น แต่กลับได้รับความโปรดปรานจากหมัวมัว ทั้งยังได้รับความไว้วางใจจากคุณหนู บางที นี่อาจจะเป็นโชคที่คนโง่ได้รับ
สืออู่เห็นชูอีหัวเราะ นางก็ไม่ได้รำคาญ เพียงแต่เอ่ยถามอีกครั้ง “ชูอี เมื่อไหร่หมัวมัวจะมา”
ชูอีชะงักไปชั่วขณะจากนั้นจึงกล่าวตอบ “ระหว่างการเดินทาง ข้าได้ส่งข่าวให้หมัวมัวแล้ว น่าจะมาถึงในไม่กี่วันนี้ หากหมัวมัวรู้ว่าคุณหนูจำอะไรไม่ได้เลย อีกทั้งยังรีบแต่งงานกับคนอื่น ก็ไม่รู้ว่านางจะมีท่าทีอย่างไร”
ก่อนที่ฮูหยินจะไปที่ด่านชายแดน เหมือนว่าจะเคยฝากฝังหมัวมัวเอาไว้ว่าให้มอบคุณหนูแก่คุณชายอวี้เฉิน ในตอนที่กูเหยียกับคุณชายอวี้เฉินต่อสู้กัน นางคงจะไม่ลังเล จะยืนฝั่งเดียวกันและร่วมต่อสู้ด้วยกัน แต่ว่า เมื่อได้เห็นความสง่างามของกูเหยียแล้ว ท่าทางไม่ธรรมดา ชาติกำเนิดไม่น่าจะด้อยไปกว่าคุณชายเฉิน เป็นไปได้สูงว่าหมัวมัวก็คงจะไม่รู้สึกผิดหวังอะไร
สืออู่หาวอย่างไม่ได้คิดอะไรมาก “เช่นนั้นก็ดี เมื่อหมัวมัวมาแล้ว ไม่แน่ว่าคุณหนูอาจจะกลับเมืองหลวงไปพร้อมหมัวมัวก็เป็นได้”
นางพูดไปพลาง เอนกายลงนอนบนเตียงที่ชูอีจัดเอาไว้ดีแล้วไปพลาง นางมองดูหลังคาห้องที่ทึบหน้าด้านบน และอดไม่ได้ที่จะที่จะกล่าวออกมา “ที่นี่ลำบากจริงๆ คุณหนูอยู่ได้เสียที่ไหน…”
ชูอีดับแสงไฟ และส่ายหัวในความมืด