เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 20 เลือดขึ้นหน้า
ตอนที่ 20 เลือดขึ้นหน้า
ตั้งแต่มาที่เมืองเทียนเซียงแห่งนี้ เขาได้กินอาหารดีๆ ไปเพียงไม่กี่มื้อ รายการอาหารใหม่ที่มั่วเชียนเสวี่ยขายให้นั้น แม้ว่าพ่อครัวจะทำออกมาได้ไม่เลว แต่จะสู้ที่นางลงมือทำเองได้อย่างไร เขาจึงกินไปเพียงไม่กี่คำแล้วก็ไม่ได้กินต่ออีก
เต้าหู้ในวันนี้อร่อยนัก เดิมทีเขาอยากจะเหลือเก็บไว้กินมื้อถัดไปเสียหน่อย แต่ว่าพี่ตะเกียบดันไม่ฟังกันเสียนี่ เต้าหู้ก็ลื่นเกินไป พอเข้าปากเขาก็ไหลลงคอไปเลย ไม่มีการตอบสนองใดๆ จนกระทั่งกินจนหมด จะโทษเขาได้หรือ
หญิงสาวคนนี้ ใจร้ายจริงๆ!
พอมั่วเชียนเสวี่ยหัวเราะเสร็จก็ให้เสี่ยวฉีจื่อพานางไปด้านหลัง ภายในห้องโถงมีผู้คนพลุกพล่าน การค้าดีขึ้นมากแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะชื่นชมคุณชายเจ็ดผู้ซึ่งมีนิสัยแปลกประหลาดคนนี้
ใช้เวลาเพียงสี่ถึงห้าวันเท่านั้น การค้าขายก็ดีขึ้นมาอย่างรวดเร็ว กล่าวได้ว่าคุณชายที่กินจุผู้นี้ยังพอมีความสามารถอยู่บ้าง
ครั้งนี้มั่วเชียนเสวี่ยเข้าเมืองมาเพียงคนเดียว เดิมทีอาซ้อฟางก็อยากจะมาเป็นเพื่อนแต่นางอ้างว่าหนิงเซ่าชิงไม่ชอบเสบียงกรัง จึงขอให้อาซ้อฟางช่วยทำอาหารกลางวันให้เขา จากนั้นนางก็ออกเดินทางมา
นางอยากรู้จักเมืองนี้ให้ดียิ่งขึ้น ทำความเข้าใจโลกนี้และตระเวนหาซื้อของอีกหลายสิ่ง หากมีอาซ้อฟางตามมาด้วย เห็นทีจะไม่ค่อยสะดวก
อย่างเช่น คราวนี้ที่นางเพิ่งเดินเยี่ยมชมร้านหนังสือได้เพียงครึ่งค่อนวัน ได้ตำราดีๆ มาสองสามเล่ม ทั้งยังซื้อกระดาษ หมึก พู่กันและแท่นฝนหมึกให้กับตนเองอีก รวมเป็นเงินราวสองสามตำลึง อาซ้อฟางก็จะใช้สายตาที่มองคนล้างผลาญจ้องนางเป็นการตำหนิ
อีกตัวอย่างหนึ่ง ตอนที่นางกำลังมองดูชุดน้ำชาที่ร้านนี้อยู่ อาซ้อฟางเห็นว่าจอกชาเล็กๆ นั่นแพงกว่าชามใหญ่เป็นสิบเท่า ก็คงจะรีบลากตัวนางออกมาจากร้านทันที
มั่วเชียนเสวี่ยที่ปักปิ่นเงินและสวมใส่ชุดใหม่เอี่ยม แม้ว่ามันจะไม่ได้มีราคา ทว่ากลับดูงดงาม บวกกับท่วงท่ากริยาของนาง ผู้ขายในร้านจึงดูแลและให้บริการนางเป็นอย่างดี
……
ณ หมู่บ้านหวังจยา
เป็นเวลาเที่ยงวันพอดี อาซ้อฟางที่เห็นซวนจื่อแบกตำรากลับมาก็ตักข้าวสวยใส่ชาม แล้วนำไปวางไว้ในกล่องอาหาร หลังจากสั่งให้ซวนจื่อคอยดูแลให้น้องกินข้าวแล้ว นางก็ได้ถือกล่องอาหารไปส่งให้หนิงเซ่าชิง
เพิ่งไปถึงหน้าประตู ก็พบเข้ากับภรรยาฟางอู่และฟางเถาเอ๋อร์
“หลานสะใภ้ เจ้ากำลังจะไปที่ใดหรือ” ภรรยาฟางอู่ขวางทางอาซ้อฟางเอาไว้ พร้อมกับเอ่ยถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เกิดเรื่องอะไรกับอาสะใภ้ผู้นี้กันแน่ ในยามปกติเป็นเพราะสามีเป็นผู้อาวุโสของหมู่บ้าน นางจึงมองไม่เห็นหัวใครมาโดยตลอด วันนี้พระอาทิตย์คงจะขึ้นทางทิศตะวันตกกระมัง แม้ว่าอาซ้อฟางจะรู้สึกสงสัย แต่ก็ยังต้องตีหน้าดียิ้มแย้มตอบกลับไป “หนิงเหนียงจื่อต้องไปทำธุระในเมือง เลยขอให้ข้าทำอาหารไปให้สามีนาง ด้วยเหตุนี้ข้าจึงต้องนำไปส่ง…”
ภรรยาฟางอู่คว้ากล่องอาหารมาทันใดพลางส่งให้กับฟางเถาเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้าง แล้วผลักให้อาซ้อฟางกลับเข้าบ้านไป “หลานสะใภ้ ให้เถาเอ๋อร์ไปส่งก็ได้ คราวที่แล้วเจ้ามอบงานปักให้แก่ข้า ช่างงดงามยิ่งนัก เถาเอ๋อร์เองก็อยากได้สักชิ้น แต่ข้าหลงๆ ลืมๆ ไม่รู้ว่าเอาไปวางไว้ที่ไหนแล้ว เจ้าช่วยปักให้ข้าอีกสักชิ้นเถิดนะ”
“คงไม่ดีกระมัง ข้าไปส่งอาหารให้เขาก่อนแล้วค่อยกลับมาช่วยท่านหาจะดีกว่า” อาซ้อฟางถูกภรรยาฟางอู่ฉวยกล่องอาหารไปโดยไม่ทันตั้งตัว นางรู้สึกมึนงงเล็กน้อย จากนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เตรียมจะหยิบกล่องข้าวที่อยู่ในมือของฟางเถาเอ๋อร์กลับมา
ฟางเถาเอ๋อร์เห็นนางพุ่งเข้ามาก็รีบขยับหลบทันที นางยิ้มกล่าว “หรือว่าเจ้ากลัวว่าข้าจะคิดว่ามันอร่อยและแอบกินอาหารนี้ระหว่างทาง?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ แม้ว่าอาซ้อฟางจะรู้สึกว่ามันน่าสงสัยแต่ก็ยอมตอบตกลง นางเน้นย้ำกับฟางเถาเอ๋อร์ไปได้สองสามคำก็ถูกภรรยาฟางอู่รีบร้อนลากตัวกลับเข้าไปในบ้าน
หนิงเซ่าชิงที่เห็นว่าฟางเถอเอ๋อร์เป็นคนมาส่งอาหารก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย นางบอกว่ายายาไม่สบาย อาซ้อฟางจึงมาไม่ได้ พอเห็นว่ากล่องอาหารนั้นเป็นของบ้านอาซ้อฟางจริงๆ เขาก็รู้สึกโล่งใจ
เมื่อลูกป่วย คนเป็นแม่ย่อมต้องอยู่ดูแลเป็นธรรมดา
ตอนที่ฟางอู่บอกให้เขาขอนางแต่งงาน เขาปฏิเสธอย่างเด็ดขาดไปแล้ว ฟางเถาเอ๋อร์ผู้นี้เคยมาที่นี่เพื่อขอคำอธิบายจากเขา แต่ก็ถูกเขาสั่งสอนและไล่ออกไปในทันที ตอนนี้ตนเองก็มีภรรยาแล้ว อยู่ห่างนางไว้จะดีกว่า
นึกถึงตรงนี้ หนิงเซ่าชิงรับกล่องอาหารมาและกล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าออกไปก่อน”
“เช่นนั้นท่านก็กินไปนะเจ้าคะ ข้าจะอยู่ข้างนอก กินเสร็จก็เรียก ข้าจะได้เข้ามาเก็บชามและตะเกียบ ข้าจะได้เอากล่องอาหารส่งคืนให้อาซ้อ”
ดวงตาของหนิงเซ่าชิงเย็นชาและไม่ไว้ใจ แต่พอมองด้านหลังที่ดูเหนียมอายก็รู้สึกไม่ลังเลใจในทันที ส่ายหัวแล้วส่ายหัวอีกเพื่อโน้มน้าวใจตนเอง ที่นี่ไม่ใช่จวนหนิง ที่นี่ไม่มีการต่อสู้และที่นี่มีธรรมเนียมปฏิบัติอย่างตรงไปตรงมา เขาไม่จำเป็นต้องรู้สึกกลัวจนตระหนก
เขามีภรรยาแล้ว ทั้งยังเป็นเพียงบัณฑิตที่ยากจนและป่วยเรื้อรังคนหนึ่ง นางเป็นเพียงสาวน้อยที่ไร้เดียงสา จะวางอุบายใส่เขาทำไมกัน เพื่อให้นางได้เป็นอนุภรรยาหรือ… เขาจึงกำจัดความคิดเหลวไหลพวกนั้นออกไปและเริ่มลงมือกินอาหาร
ช่วงนี้หนิงเซ่าชิงกินแต่อาหารฝีมือของมั่วเชียนเสวี่ยทุกวัน อาหารของนางมีลูกเล่นหลากหลาย อีกทั้งรสชาติก็ดีแล้วเขาจะกินอาหารที่อาซ้อฟางทำลงได้อย่างไร เขากินน้ำแกงไปได้ไม่มาก จากนั้นก็เรียกให้ฟางเถาเอ๋อร์เข้ามาเก็บชามและตะเกียบออกไป ครั้นเตรียมจะลุกขึ้นกลับไปที่ห้อง ใครจะไปรู้ เพิ่งจะลุกขึ้นก็มีกลิ่นแปลกๆ ออกมาจากตัวของเถาเอ๋อร์ กลิ่นนั่นทำให้ร่างกายของเขาร้อนรุ่มขึ้นมาทันใด
หนิงเซ่าชิงโซซัดโซเซ สติเลื่อนลอย เขาเกิดในตระกูลใหญ่ พบเห็นเรื่องสกปรกโสมมมามาก เพียงแค่มีอะไรที่ผิดปกติก็จะรับรู้ได้ในทันที เขารีบถอยหลังมาหนึ่งก้าวแล้วพูดขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด “หญิงชั้นต่ำ เจ้าจะทำอะไร”
“เปล่านะ ข้าไม่ได้จะทำอะไร! นี่ท่านเป็นอะไรไปหรือ” ฟางเถาเอ๋อร์พูดพลางแล้วก็เข้ามาช่วยพยุงหนิงเซ่าชิง
แม่ของนางเคยพูดว่า รสข้าวในน้ำน้ำแกงเป็นสูตรลับเฉพาะของบ้านนาง ช่วยรักษาภาวะขาดหยินช่วยบำรุงเลือดและบำรุงไต ในน้ำน้ำแกงไร้สีไร้กลิ่น มีผลดีต่อร่างกายไม่เป็นอันตรายใดๆ
เพียงแต่ หากดื่มน้ำแกงนั่นแล้วได้กลิ่นผงยาจากบนกายนาง มันก็จะต่างออกไป
แม่ของนางยังพูดอีกว่า เพียงแค่ให้เขาดื่มน้ำแกงนี่และให้นางโรยผงยานี่ลงบนตัวอีกครั้ง แล้วทุกเรื่องที่นางหวังไว้ก็จะประสบผลสำเร็จ
ตอนที่นางเพิ่งจะออกไป ก็ได้โรยผงยาไปแล้ว
หญิงสาวที่อยากขึ้นเตียงกับเขา หนิงเซ่าชิงเคยประสบมาไม่น้อย ครั้งนี้ฟางเถาเอ๋อร์ไม่ได้ปิดบังสายตาหื่นกระหายราวสัตว์ป่าได้เลยสักนิด เขาจะมองไม่ออกได้อย่างไร ทั้งยังได้กลิ่นแปลกๆ เขาจึงถอยหลังไปสองสามก้าวโดยไม่รู้ตัว
ฟางเถาเอ๋อร์ที่เห็นหนิงเซ่าชิงถอยหลังออกห่างจากนาง จึงเกรงว่ากลิ่นของยาเมื่อครู่จะไม่ได้ผล นางที่หน้าหนาหน้าทนจึงกระโจนเข้าไปหาหนิงเซ่าชิง
หนิงเซ่าชิงขมวดคิ้วแล้วตบไปหนึ่งฉาดอย่างเหลืออด ฟางเถอเอ๋อร์ผลีผลามวิ่งออกไป จนล้มใส่บานประตูเข้าอย่างจังเสียงดัง ปัง
“ไสหัวออกไป!”
หนึ่งคำพูดสะเทือนไปถึงฟ้า
ใบหน้าของหนิงเซ่าชิงเต็มไปด้วยความชิงชัง ความเยือกเย็นแผ่ซ่านออกมาจากดวงตาคู่นั้น ทั้งยังมีกลิ่นอายของคาวเลือด เขาเพียงแค่เหลือบมองไปที่ฟางเถาเอ๋อร์ที่หวาดกลัวจนสติหลุดลอย หน้าผากของนางถูกกระแทกพร้อมกับมีเลือดเปรอะอยู่ที่มุมปาก นางไม่กล้าไปลูบมันด้วยซ้ำ ตัวสั่นเทาพลางลุกขึ้นมาอย่างหวาดหวั่น จากนั้นก็รีบวิ่งออกไป
น่ารังเกียจ! หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงจะฆ่าหญิงสาวต่ำช้าคนนี้ไปแล้ว หนิงเซ่าชิงมองร่างที่หายลับไปทางข้างประตูด้วยสายตาที่ดุร้าย
เขาเฉื่อยชาอยู่เป็นเวลานานแล้วขมวดคิ้ว ลืมตาที่แดงก่ำขึ้นมาพร้อมกับอาเจียนออกมาเป็นเลือด จากนั้นก็เดินเอื่อยเฉื่อยไปสนามหญ้าแล้วกระโดดลงไปในบ่อน้ำอย่างไม่ลังเล
แช่ตัวไปได้ครึ่งชั่วยาม จากนั้นหนิงเซ่าชิงก็ลุกขึ้นมาจากบ่อน้ำ ใช้แรงกายอันน้อยนิด ถอดเสื้อผ้าที่เปียกโชกออกแล้วนอนลงบนเตียง
ยานี่แรงจริงๆ!
หากเป็นก่อนหน้านี้ ต่อให้สรรพคุณยาจะร้ายแรงขนาดไหน ก็ไม่อาจส่งผลอะไรต่อหนิงเซ่าชิง ต่อให้ดื่มไปเป็นสิบชาม ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกายเขาได้