เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 200 ข่มขู่ คุกคามระหว่างทาง (1)
ตอนที่ 200 ข่มขู่ คุกคามระหว่างทาง (1)
มั่วเหนียงมองหนิงเซ่าชิงอย่างพิจารณา และในเวลานั้นนางก็โค้งคำนับทำความเคารพพลางกล่าว “คำนับอาจารย์หนิง”
ตอนที่เข้าประตูมา ชูอีก็ได้กล่าวเตือนนางอย่างระมัดระวัง คุณหนูถูกฉุดให้มาแต่งงาน พวกนางมีกูเหยียแล้ว
นางได้รับความไว้วางใจจากฮูหยินให้ดูแลคุณหนู แน่นอนว่านางรู้อยู่แล้วว่าฮูหยินต้องการจับคู่คุณหนูกับคุณชายเฉิน แม้ว่าจะไม่มีข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ทั้งสองตระกูลก็ได้สัญญาปากเปล่าเอาไว้แล้ว
ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไป ข้าวสารกลายข้าวสุก หากคุณหนูเป็นคนธรรมดาก็ต้องปล่อยตามเลยไป ยอมรับชะตากรรม ทว่าคุณหนูมีสถานะเยี่ยงไรกันเล่า จะทำตามคนอื่นอย่างลวกๆ ได้เช่นไร
หากกูเหยียผู้นี้เป็นคนดี นางจะไม่เข้าไปขัดขวางอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นคนเลว นางก็จะภักดีต่อฮูหยินอย่างถึงที่สุด หาวิธีขจัดเขาออกไป ช่วยให้คุณหนูหลุดพ้นจากความทุกข์ตรม
คุณชายเฉินรักคุณหนูอย่างลึกซึ้ง ตราบใดที่เรื่องนี้ไม่รั่วไหล ก็ยังมีทางให้หวนกลับคืน
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ชายที่อยู่ในชุดเสื้อคลุมสีเขียวเบื้องหน้า ตอนที่ก้าวเดินเข้ามาในห้องราวกับสายลม สุขุมและสำรวม การทรงตัวมั่นคง ปราณภายในไร้ขอบเขตอย่างแน่นอน
มองดูคิ้วดาบที่เชิดขึ้นของเขาอีกครั้ง ท่าทางสง่างามและหยิ่งผยอง ตาหงส์เรียวยาว ริมฝีปากได้รูปไร้ที่ติ รูปร่างสูงใหญ่ รูปโฉมของเขานั้นโดดเด่นมาก
มีเพียงชุดที่สวมใส่เท่านั้นที่ดูทั่วไป ทว่ามิอาจปกปิดรัศมีอันสูงส่งที่เล็ดลอดออกมาจากร่างกายของเขาได้ สถานะจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
มั่วเหนียงพยักหน้าเล็กน้อย เมื่อพิจารณาจากรูปร่างหน้าตาของบุรุษผู้นี้แล้ว ก็พอๆ กันกับคุณชายเฉินแต่ถ้ามองจากท่าทางที่สง่างาม เขาผู้นี้ดูจะมีอำนาจมากกว่า
อย่างไรก็ตาม นางจะต้องทำการตัดสินขั้นสุดท้าย
อย่างที่คิดไว้ผู้ที่มีประสบการณ์เยอะกว่าย่อมแก้ไขปัญหาได้ดีกว่า มั่วเหนียงดึงสายตากลับมาแล้วหรี่ตาลง พลางเอ่ยถามอย่างสุภาพ “มิทราบว่าอาจารย์หนิงกับกับหัวหน้าตระกูลของตระกูลหนิงซึ่งเป็นตระกูลขุนนางเกี่ยวข้องอันใดกัน”
นางไม่ได้เรียกเขาว่ากูเหยีย ถามเขาตามตรงว่าอาจารย์หนิงกับหัวหน้าตระกูลหนิงเกี่ยวข้องอันใดกัน ทั้งยังไม่ได้ถามชื่อเต็ม หรือเกิดที่ไหนอะไรทำนองนั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นการตัดสินใจที่สำคัญมาก
หนิงเซ่าชิงก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญอะไร เพียงกล่าวเบาๆ ว่า “หัวหน้าตระกูลหนิงก็คือท่านพ่อของข้า” มาถึงตอนนี้ เขาก็ไม่มีอะไรที่จะต้องปิดบังอีก ควรจะพูดว่าเขาไม่เคยคิดที่จะปิดบังมันเลยจะถูกต้องกว่า
เป็นเพราะคนเหล่านี้ล้วนไม่กล้าคิดถึงสถานะของเขา และยิ่งไม่มีใครกล้าถามเขาต่อหน้าเช่นกัน
ชูอีและสืออู่ต่างก็อ้าปากค้าง พวกนางเคยคิดว่าหนิงเซ่าชิงจะต้องมาจากตระกูลที่ใหญ่และร่ำรวย แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าที่มาที่ไปของหนิงเซ่าชิงจะยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้
คุณชายใหญ่หนิง บุตรชายของหัวหน้าตระกูลสุดยอดตระกูลขุนนาง เช่นนั้นก็คือผู้สืบทอดที่จะได้เป็นหัวหน้าตระกูลคนต่อไป! เข้าเฝ้าฝ่าบาทก็ไม่ต้องคุกเข่า มีเกียรติสูงส่ง
เทียบกับสถานะของคุณชายเฉินแล้ว ช่างสูงส่งกว่ามากนัก
ความแตกต่างระหว่างสุดยอดตระกูลขุนนางกับตระกูลขุนนางขั้นหนึ่ง ก็เหมือนกับความแตกต่างระหว่างฮ่องเต้กับองค์ชาย
มั่วเหนียงก้าวไปข้างหน้าแล้วโค้งคำนับ “คำนับกูเหยีย”
หากกูเหยียเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลหนิง ฮูหยินก็คงจะไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ
ใครบ้างจะไม่รู้ว่า คุณชายใหญ่ของตระกูลหนิง นั้นมีมีรูปโฉมและท่าทางที่สง่างามไร้ผู้ใดเทียบได้
เพียงแต่สถานะเช่นนี้ สำหรับคุณหนูแล้ว จะเป็นพรหรือคำสาปกันแน่นะ
อีกอย่าง ตระกูลหนิงนั้น จะยอมรับคุณหนูหรือไม่นะ และกูเหยียจะเข้าไปในเมืองหลวงได้อย่างปลอดภัยหรือไม่
คำถามเหล่านี้ ในขณะที่คุกเข่ามั่วเหนียงได้คิดเกี่ยวกับมันทั้งหมดแล้ว และนางก็ได้ตัดสินใจไปแล้วด้วยว่าไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นเช่นไร ในเมื่อคุณหนูโชคดีขนาดนี้แล้ว นางก็จะยอมทุ่มสุดตัว
มุมปากของหนิงเซ่าชิงยกขึ้นมาเล็กน้อย เขาเงยหน้าขึ้น “หมัวมัวไม่ต้องพิธีรีตอง”
แม้ว่าเขาจะไม่ได้สนใจความคิดเห็นของมั่วเหนียง แต่คำว่ากูเหยียคำนี้ที่นางเรียกทำให้เขารู้สึกสบายใจ
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเห็นพฤติกรรมที่ระมัดระวังตัวของหมัวมัวคนนี้แล้ว สุขุมเยือกเย็น ดูแล้วนางก็คือคนที่ฉลาดคนหนึ่ง เชียนเสวี่ยมีคนเช่นนี้คิดตามอยู่ข้างกาย ก็ทำให้เขาวางใจได้มากเลยทีเดียว
ในตอนกลางคืน หมู่บ้านเล็กๆ นั้นเงียบสงัด แต่เรือนสกุลหนิงยังคงสว่างไสว
วันนี้เป็นวันที่เจ็ดของการขจัดพิษออกจากร่างกายหนิงเซ่าชิงได้บอกมั่วเชียนเสวี่ยอย่างเป็นทางการถึงกำหนดการวันที่เดินออกเดินแล้ว พรุ่งนี้รอให้มั่วเชียนเสวี่ยเตรียมของขวัญแต่งงานให้เจี่ยนชิงโยวเสร็จแล้ว วันถัดไปก็จะเริ่มออกเดินทางตั้งแต่ตอนเช้าตรู่
หมิงเย่ว์และไฉ่สยาพักอยู่ในหมู่บ้านหวังจยาชั่วคราวไปก่อน รอให้พวกเขาเข้าไปในเมืองหลวงแล้วค่อยตัดสินใจว่าอยากจะเข้าไปในเมืองหลวงหรือไม่
เส้นทางที่ใช้เดินทางก็ต้องมีการวางแผนเช่นกัน เป็นการเดินทางทางบก โดยต้องผ่านเมืองอวิ๋นฉีเพื่อเข้าสู่เมืองหลวง จึงน่าจะรายล้อมไปด้วยผู้คนมากมาย ดังนั้นจึงให้มั่วเชียนเสวี่ยเก็บข้าวของให้เรียบร้อยและเตรียมเสบียงกรังให้มากหน่อย
มั่วเหนียงอยู่ในห้องกับชูอีและสืออู่ ถามเกี่ยวกับสถานการณ์ในช่วงนี้ของมั่วเชียนเสวี่ยอย่างละเอียดถี่ถ้วน ทุกความเคลื่อนไหวของมั่วเชียนเสวี่ย ทั้งความกังวลใจและความสุข ทำให้นางทั้งรู้สึกคุ้นเคยและไม่คุ้นเคย ปกติแล้วฮูหยินมีงานรัดตัว จะเอาเวลาที่ไหนมาคอยดูแลคุณหนูได้ตลอดเวลา
ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ภายในจวน นอกจากพ่อบ้านแล้ว ส่วนใหญ่ก็จะให้นางดูแล การดูแลคุณหนูก็คือหนึ่งในเรื่องที่สำคัญที่สุด
กล่าวได้ว่าคุณหนูถูกนางเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่ โดยเฉพาะห้าปีที่อยู่ในตระกูลเฟิง นางไม่เคยอยู่ห่างคุณหนูเลย ในใจของนาง คุณหนูเป็นเจ้านาย และเป็นเหมือนลูกของนางด้วย ความเคยชินและท่าทางของคุณหนูล้วนสะท้อนอยู่ในสมองและสลักอยู่ในใจของนาง
ใบหน้าเดิมที่อ่อนโยน เศร้าโศก และขี้อายและอ่อนแอหายไปอย่างสิ้นเชิง เปลี่ยนเป็นคนที่มีความสุข ร่าเริงแจ่มใสแทน
หากฮูหยินได้เห็นคุณหนูที่เป็นแบบนี้ ก็คงจะดีไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่านางจะมีความสุข แต่รายละเอียดในนั้นกลับไม่ชัดเจนแม้แต่น้อย
ระหว่างการสนทนา ชูอีก็ได้เล่าเรื่องทุกอย่างที่รู้ตั้งแต่ที่ได้พบคุณหนูจนถึงปัจจุบัน ทุกๆ รายละเอียดปลีกย่อยที่ได้เห็น สืออู่เองก็พยักหน้าอยู่ตลอด ในขณะเดียวกันก็คอยพูดเสริมไปด้วย
ทั้งสองคนย่อมจะเล่าถึงเรื่องที่มั่วเชียนเสวี่ยสูญเสียความทรงจำ เรื่องที่มั่วเชียนถูกฉุดให้มาแต่งงาน ทั้งยังเล่าถึงเรื่องที่เฟิงอวี้เฉินมาที่นี่ด้วย เล่าว่ามั่วเชียนเสวี่ยรีบไปรับดาบแทน เล่าถึงฉากที่สวยงามและสะเทือนใจของการขจัดพิษ อีกทั้งยังเล่าถึงความรักของมั่วเชียนเสวี่ยกับหนิงเซ่าชิงที่มั่นคงยิ่งกว่าทอง…
ท่ามกลางความซับซ้อนเหล่านี้ ทำให้มั่วเหนียงหลั่งน้ำตาออกมาอีกครั้ง
นางถอนหายใจยาวและเงียบไปครู่หนึ่ง มองดูสืออู่ที่ยืนด้านข้างหมกมุ่นอยู่กับสถานะอันสูงส่งของกูเหยียด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความปิติยินดี จึงได้กล่าวเตือนสติ “พวกเจ้าทั้งสองอย่าได้ดีใจเร็วเกินไป จะต้องเตรียมรับมือกับคลื่นลมพายุให้ดีๆ”
คนหนึ่งเป็นบุตรีของขุนนางที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นสินสอด และอีกคนเป็นว่าที่หัวหน้าตระกูลของตระกูลหนิง สุดยอดตระกูลขุนนางที่มีมาช้านาน
ตั้งแต่สมัยโบราณ บุตรชายของตระกูลขุนนางมักจะถูกจับคู่กับบุตรีในตระกูลขุนนางเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานะของหนิงเซ่าชิงนั้น ยิ่งพิเศษขึ้นไปอีก การแต่งงานของเขาเกรงว่าเขามิอาจตัดสินใจได้เอง
การแต่งงานของเขาไม่ใช่เรื่องของเขาอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของตระกูลหนิง และเป็นเรื่องของเทียนฉี
ดังนั้นหากคุณหนูต้องการเข้าไปอยู่ในตระกูลหนิง เกรงว่ายังมีอีกหนึ่งอุปสรรคใหญ่ที่ต้องผ่านพ้นไปให้ได้ เป็นไปไม่ได้ที่จะตามกูเหยียกลับไปด้วยกันทั้งๆ แบบนี้
พรุ่งนี้นางจะต้องหาเวลาไปเตือนคุณหนูเสียหน่อย ไม่มีแม่สื่อ ไม่มีการหมั้นหมายเช่นนี้ เหตุผลง่ายๆ แต่ก็น่าอายที่จะพูด
คนรวยส่วนใหญ่จะมีอนุ
ด้วยสถานะของคุณชายใหญ่หนิงแล้ว หากให้คุณหนูเป็นอนุ ก็ย่อมได้
ตระกูลขุนนางตั้งแต่สมัยโบราณจะดูถูกข้าราชบริพารคนโปรดของกษัตริย์ แม้ว่าภูมิหลังของคุณหนูจะเป็นขุนนางระดับสูงในราชสำนัก แต่ว่าเมื่อมองดูถึงรากฐาน ตระกูลมั่วกลับเป็นเพียงตระกูลขุนนางขั้นสองขั้นสามที่ไม่มีบทบาทอะไรเลย หากไม่ใช่เพราะนายท่านมีผลงานโดดเด่น ในเทียนฉีจะมีที่ที่ให้ตระกูลมั่วตั้งรากฐานได้อย่างไร
ด้วยเหตุนี้เอง พวกเขาจึงเห็นว่าตำแหน่งนั้นสำคัญที่สุด
อย่างไรก็ตาม ตำแหน่งนั้น บางทีตระกูลมั่วอาจให้ความสำคัญกับมันมาก แม้แต่ตระกูลขุนนางขั้นหนึ่งยังให้ความนับถือ ทว่ามันกลับไม่อยู่ในสายตาของหัวหน้าตระกูลหนิงเลย