เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 223 การแข่งขัน ก่อนจะโจมตีข้าศึกต้องให้ความสำคัญกับภายในก่อน (2)
- Home
- เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค
- ตอนที่ 223 การแข่งขัน ก่อนจะโจมตีข้าศึกต้องให้ความสำคัญกับภายในก่อน (2)
ตอนที่ 223 การแข่งขัน ก่อนจะโจมตีข้าศึกต้องให้ความสำคัญกับภายในก่อน (2)
ผู้ที่ดำรงชีวิตอยู่ในเมืองหลวงย่อมไม่ใช่คนโง่เขลา ความลับของตระกูลชั้นสูงไม่ใช่เรื่องที่สมควรฟัง เวลานี้บุตรีท่านกั๋วกงเริ่มต้นการสังหารแล้ว ไม่แน่ว่าทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์อาจจะถูกฆ่าปิดปากก็ย่อมได้
ต้องรักษาชีวิต!
บนท้องถนน ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องหายไปอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงพวกมั่วเชียนเสวี่ยและพวกขอทาน
ในพวกขอทานมีสองสามคนที่พอจะมีวรยุทธ์อยู่บ้าง แต่ว่ามีแค่เพียงผิวเผินเท่านั้น จะเอาชนะอาซานและอาอู่ผู้มีวรยุทธ์แกร่งกล้าได้อย่างไร
ไม่นาน ก็จัดการพวกขอทานได้อีกกลุ่มหนึ่ง
ขอทานที่เหลือยืนอยู่ด้านนอก หายใจหอบ เห็นท่าไม่ดีจึงหนีเข้าไปในตรอกซอยข้างถนน
ไม่รอพวกขอทานวิ่งเข้าไป ก็มีเจ้าหน้าที่ของทางการวิ่งออกมาอย่างได้จังหวะเวลาพอดี
ดูจากท่าทีผ่อนคลายและนิ่งสงบของเจ้าหน้าที่ ไม่เหมือนคนที่มาด้วยความรีบร้อนหลังจากได้รับแจ้งความแม้แต่น้อย เห็นชัดว่าพวกเขาเฝ้าอยู่ตรงนั้นตั้งแต่แรกแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นพวกเขาวิ่งออกมาจากที่ลับ แสงสว่างเจิดจ้าก่อตัวขึ้นในใจของนาง
คาดว่าเจ้าหน้าที่อยากรอให้พวกขอทานทำสำเร็จก่อน จากนั้นพวกเขาค่อยออกมาแล้วจับตัวพวกขอทานที่สร้างปัญหาเข้าคุก…หลังจากนั้น คำสารภาพก็จะหลุดจากปาก แล้วจากนั้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็จะตามมา
แม้พวกขอทานจะทำสำเร็จ แต่มั่วเชียนเสวี่ยก็ทำได้เพียงกัดฟันอดทนกล้ำกลืนลงไป เพื่อไม่ให้เสื่อมเสียชื่อเสียงไปกว่านี้นางจำต้องปฏิเสธเสียงแข็ง ไม่กล้าโวยวาย
ถึงอย่างไรแม้สุดท้ายจะมีมติมหาชน ชี้ตัวคนเหล่านี้แต่ก็ไร้หลักฐาน พวกเขาเป็นเพียงขอทาน จับขังไม่กี่วันก็ปล่อยออกมา ผู้ใดจะไปคิดเล็กคิดน้อย
ช่างเป็นแผนการที่ดีจริงๆ!
มั่วเหยียน มั่วสิง อาซานและอาอู่ล้วนไม่ใช่คนธรรมดา เห็นพวกขอทานวิ่งหนี พวกเขาเหาะเหินตามไป ฟันหนึ่งดาบหนึ่งคน สังหารพวกขอทานต่อหน้าเจ้าหน้าที่ของทางการ
เจ้าหน้าที่พวกนั้นคิดไม่ถึงว่าพวกเขาเดินออกมาจากที่ลับ องครักษ์เหล่านั้นไม่เพียงไม่หยุด แต่ยังกล้าสังหารคนต่อหน้าพวกเขา เจ้าหน้าที่จึงชักดาบออกจากฝัก
ทว่าเพราะไอสังหารที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวพวกมั่วเหยียน พวกเจ้าหน้าที่จึงไม่กล้าย่างกายเข้าสู้
บรรยากาศนิ่งงันในทันที อาซาน อาอู่ มั่วเหยียนและมั่วสิงพวกเขายืนนิ่งขวางอยู่ตรงนั้นราวกับหินผา เจ้าหน้าที่ก็ไม่กล้าเดินหน้า
ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน ด้านหลังเจ้าหน้าที่เหล่านั้นมีคนสวมชุดขุนนางเดินออกมาหนึ่งคน
เขาโมโหแล้วผลักเจ้าหน้าที่ตรงหน้าทิ้ง ตะคอกมั่วเหยียน “พวก…พวกเจ้าดูหมิ่นเมืองหลวง สังหารคนกลางท้องถนนควรจะรับโทษอะไร!”
แม้จะเป็นการตะคอก ทว่าเสียงตะคอกของเขาเคล้าไปด้วยความหวาดกลัว เมื่อครู่เขาเพิ่งเห็นองครักษ์สี่คนนี้สังหารคน บนดาบยังมีเลือดสดหยดติ๋งๆ
คนคนนั้นสวมชุดขุนนาง มองดูแล้วน่าจะเป็นขุนนางที่สามารถดูแลจัดการปัญหาได้ มั่วเชียนเสวี่ยลดม่านแล้วเดินลงมาจากรถม้า
เห็นมั่วเชียนเสวี่ยเดินออกมาจากรถม้า ความมั่นใจของขุนนางคนนั้นกลับคืนมา ทำสีหน้าไม่สบอารมณ์ ตะคอกบริวารของตนเอง “ยังจะยืนเซ่ออยู่ทำไม รีบจับตัวฆาตกรไป”
แม้สตรีคนนี้จะกล้าหาญเพียงใด คาดว่านางย่อมไม่กล้าสังหารข้าราชบริพานในเมืองหลวงแน่นอน
มั่วเชียนเสวี่ยเดินมาช้าๆ เดินไปด้วยพูดไปด้วย “ข้าคือมั่วเชียนเสวี่ยบุตรีของท่านกั๋วกง คนพวกนี้ขวางทางและดักปล้นข้ากลางท้องถนน ทำผิดกฎระเบียบ ดูหมิ่นพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาท ข้าลงโทษพวกเขากลางตลาด เป็นการป้องกันตัว แล้วจะมีโทษในความผิดฐานใด!”
เสียงของนางไม่เบาและไม่ดัง ทว่าทรงพลังยิ่งนัก
มั่วเชียนเสวี่ยพูด พร้อมกับใช้หางตามองไปที่มั่วเหนียง ส่งสายตาให้นาง
เวลานี้มั่วเหนียงรู้แล้วว่าเรื่องนี้ร้ายแรงเพียงใด นางพาชูอีและสืออู่ ไปตรวจสอบศพที่อยู่บนพื้นที่ละศพๆ เมื่อเห็นร่างที่ไม่แน่ใจว่าตายหรือยังก็แทงซ้ำอีกครั้งสองครั้ง ให้ตายอย่างแท้จริง
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ทำได้เพียงใช้วิธีนี้คนตายไม่อาจให้การได้
แม้จะมีชาวบ้านที่พบเห็นเหตุการณ์เป็นพยาน ก็พิสูจน์ได้เพียงว่า ขอทานเหล่านี้กรูไปที่รถม้า บุตรีท่านกั๋วกงโยนเงินให้พวกเขาแล้ว แต่พวกเขาไม่เอา ทั้งยังคิดจะขึ้นไป…หยามเกียรติ! คนตายไม่อาจพูดได้ ผิดถูกอย่างไรขึ้นอยู่กับคำพูดของพวกนาง
ขุนนางคนนั้นตกใจกับความน่าเกรงขามของมั่วเชียนเสวี่ยจนจับต้นชนปลายไม่ถูก ไหนบอกว่าสตรีคนนี้ขวัญอ่อนยิ่งนัก เมื่อเกิดเรื่องจะร้องไห้แล้วโผเข้าซบอกหมัวมัว เหตุใดจึงแตกต่างกันลิบลับเช่นนี้
อีกทั้ง ทุกถ้อยคำที่นางพูด เสียงดังฟังชัด ทำให้ชั่วขณะหนึ่งเขาไม่รู้จะตอบอย่างไร
เขาเงียบ มั่วเชียนเสวี่ยจึงถามอีก “ท่านเป็นเจ้าหน้าที่สำนักกฎหมายใด จึงกล้าจับกุมบุตรีท่านกั๋วกง”
ถึงอย่างไรก็เป็นขุนนางรับราชการในเมืองหลวง ครู่หนึ่งเขาก็จัดการความรู้สึกของตนได้ พูดเย้ยหยัน “คุณหนูมั่วช่างน่าเกรงขามยิ่งนัก ข้าคือเจ้าเมืองหวังจยาเซิง กฎระเบียบของเมืองหลวงล้วนอยู่ภายใต้การดูแลของข้า คุณหนูมั่วคิดว่าข้ามีสิทธิ์เชิญคุณหนูไปให้ปากคำในสำนักกฎหมายหรือไม่”
มั่วเชียนเสวี่ยจ้องมองเขา หน้าไม่เปลี่ยนสี ไม่ได้พูดเสียงดังขึ้นเท่าใดนัก ทว่าน้ำเสียงของนางเปี่ยมไปด้วยพลัง “ข้าพูดชัดแล้ว คนเร่ร่อนทำความผิดก่อความวุ่นวาย ควรถูกลงโทษ ใต้เท้าหวังไม่เข้าใจหรือ” น้ำเสียงในประโยคคำถามสุดท้ายเปี่ยมไปด้วยการข่มขู่ สิ่งที่แข็งขันกันในยามนี้คือความน่าเกรงขาม
ใต้เท้าหวังยิ้มแห้ง “คุณหนูมั่วพูดชัดเจนเป็นอย่างดี เพียงแต่ข้ายังไม่ได้สืบสวน แล้วจะตัดสินได้อย่างไรว่าคนเหล่านั้นปล้นชิงทรัพย์ คุณหนูตามข้าไปสำนักกฎหมายเถอะ”
มั่วเชียนเสวี่ยยกมือขึ้นแตะขมับเล็กน้อย ส่ายหน้า แสร้งเป็นเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก “ต้องขอโทษด้วย ข้าเพิ่งไปเข้าเฝ้าฮองเฮาในวังหลวงมา หากใต้เท้าอยากจะไต่สวนคดีความ ใต้เท้าไปถามขอทานพวกนั้นเถอะ”
ตำแหน่งเจ้าเมืองคือตำแหน่งที่ไม่ธรรมดา แต่ก็เป็นเพียงขุนนางระดับห้าเท่านั้น ทว่าตระกูลขุนนางใหญ่นั้นเป็นขุนนางระดับสูง การที่เขาเชิญนางไปสำนักกฎหมายซ้ำแล้วซ้ำเล่า เห็นชัดว่าเป็นการรังแกนางที่เป็นเพียงสตรีกำพร้าพ่อแม่ ไม่รู้จักแบ่งระดับยศถาบรรดาศักดิ์ ไม่รู้อภิสิทธิ์ของขุนนางใหญ่
หากนางไปสำนักกฎหมายจริงๆ เช่นนั้นจะเป็นการเสื่อมเสียเกียรติยศ ที่แห่งนั้น เข้าง่ายออกยาก!
แต่ว่า มั่วเชียนเสวี่ยไม่อยากผูกพยาบาทกับเขา ตำแหน่งของคนคนนี้ไม่สูง ทว่าอำนาจของเขาไม่ธรรมดา มีเส้นสายมากขึ้นก็มีหนทางมากขึ้น นางอยู่ในเมืองหลวงทอดมองออกเต็มไปด้วยศัตรู ทั้งยังไม่มีข่าวคราวของหนิงเซ่าชิง บางเวลางูดินเจ้าที่[1]เช่นนี้ก็มีประโยชน์ยิ่งนัก
อยากจะผูกมิตรกับเขา ทว่าไม่อาจไปกับเขาได้ จึงจำต้องปฏิเสธอย่างมีวาทศิลป์ อ้างชื่อฮองเฮา หนึ่งเพื่อระงับความทระนงของเขา สองเพื่อแสดงให้เห็นว่าตนได้รับความเอ็นดูจากราชวงศ์
แม้ว่านางกับฮองเฮาจะขัดแย้งกัน ทว่าคนนอกไม่รู้ สามารถอ้างชื่อฮองเฮาให้เขายำเกรงได้
เป็นจริงตามคาด เมื่อใต้เท้าหวังได้ยินนางเอ่ยถึงฮองเฮา ชั่วขณะหนึ่งเขาก็ฉงนกับพระประสงค์ของฮ่องเต้ แต่ก็ไม่ได้ยืนกรานจะพาตัวมั่วเชียนเสวี่ยไปสำนักกฎหมาย เพียงสั่งเจ้าหน้าที่ที่เป็นบริวารของเขาด้วยความหงุดหงิดเท่านั้น
“ทหาร เอาตัวขอทานบนพื้นกลับสำนักกฎหมาย ข้าจะกลับไปสอบปากคำที่สำนักกฎหมายทีละคน”
มั่วเชียนเสวี่ยดูแคลนเขาในใจ ทว่าเบื้องหน้ากลับยิ้มเศร้าแล้วส่ายหน้า “เกรงว่าใต้เท้าจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง ผู้ก่อความวุ่นวายสมควรถูกลงโทษ เมื่อครู่คนของข้าทำรุนแรงเกินไปเล็กน้อย คนพวกนี้ตายหมดแล้ว”
หันหน้าไปหาอาซานแล้วสั่ง “พาเจ้าหน้าที่เดินดูสิว่ายังมีผู้รอดชีวิตหรือไม่ ท่านใต้เท้าจะได้นำตัวกลับไปสืบสวน”
อาซานไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับไปมอง พูดเสียงหนักแน่นและรวดเร็ว “เรียนคุณหนู พวกขอทานตายหมดแล้วขอรับ”
ใต้เท้าหวังสีหน้าขุ่นเคืองยิ่งนัก ทว่ามั่วเชียนเสวี่ยกลับไม่สนใจ “ใต้เท้าหวัง ท่านดูเถิด คนพวกนี้ตายหมดแล้ว ใต้เท้าจะเอากลับไปตรวจสอบดูหรือไม่เจ้าคะ”
เวลานี้ต้องพูดให้กระจ่างชัด ให้คนของเจ้าเมืองพูดเองว่าคนพวกนี้ตายหมดแล้ว นางจึงจะคลายกังวล
[1] งูดินเจ้าที่ มาจากสำนวน มังกรพลัดถิ่น ยังแพ้งูดินเจ้าที่