เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 232 กลางคืนจะหายดี การต่อสู้จะหนักหน่วงมากยิ่งขึ้น (1)
- Home
- เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค
- ตอนที่ 232 กลางคืนจะหายดี การต่อสู้จะหนักหน่วงมากยิ่งขึ้น (1)
ตอนที่ 232 กลางคืนจะหายดี การต่อสู้จะหนักหน่วงมากยิ่งขึ้น (1)
ฮ่องเต้ประกาศให้เลิกการประชุมแล้ว แต่เฟิงอวี้เฉินยังเหมือนกับอยู่ในความฝัน
สตรีที่สุขุมเยือกเย็นในท้องพระโรงคนนี้ ใช่คนเดียวกับคนที่นิสัยอ่อนแอคนนั้นจริงๆ หรือ
กว่าที่สติของเขาจะกลับมา มั่วเชียนเสวี่ยก็ออกจากท้องพระโรงไปแล้ว เขาจึงรีบตามออกไป แต่กลับได้ยินที่ซูชีพูดว่าจะไปส่งมั่วเชียนเสวี่ย
นึกถึงตอนที่อยู่ในท้องพระโรง แม้ว่าตระกูลซูจะไม่ได้ซ้ำเติม แต่ก็ไม่ได้ออกปากช่วยเหลือ พอเห็นว่ามั่วเชียนเสวี่ยไม่เป็นอะไรก็ค่อยมาใส่ใจ ในใจจึงขุ่นเคืองเล็กน้อย เขาโบกมือพลางกล่าว “ขอบคุณคุณชายซูที่หวังดี น้องสาวของข้า ข้าไปส่งเองได้ ไม่กล้ารบกวนคุณชายซูหรอก”
แต่ซูชีกลับไม่สนใจเขาเลย เพียงจ้องมองไปที่มั่วเชียนเสวี่ยเท่านั้น
เบื้องหลังของนางมีตระกูลเฟิง ใครๆ ก็ล้วนทราบกันดี
ทว่า แม้นตระกูลเฟิงจะมีอำนาจและอิทธิพล แต่รากฐานกลับเทียบไม่ได้กับตระกูลซูที่ดำเนินกิจการอยู่ในเมืองหลวงมานับร้อยปี
นางต้องการจัดการกับตระกูลมั่ว แต่ก็ไม่อาจดึงอำนาจของหนิงเซ่าชิงมาใช้ได้ เช่นนั้นก็ใช้อำนาจของตระกูลซูก่อนก็แล้วกัน
ภายใต้กลยุทธ์สุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ ก็เพียงพอที่จะทำให้ตระกูลมั่วสับสนได้แล้ว ทั้งยังสามารถเพิ่มอำนาจให้ตนเองในช่วงสำคัญเช่นนี้อีกด้วย
นอกจากนี้ นางยังเชื่อใจการประพฤติตนของซูชีผู้นี้ด้วย
เพียงครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นมั่วเชียนเสวี่ยก็ยิ้มขึ้นมา “ท่านพี่อย่าได้เป็นกังวลจนเกินไป คุณชายเจ็ดเดิมก็เป็นสหายเก่า ไปส่งสักหน่อยคงมิเป็นไร”
เฟิงอวี้เฉินผู้นี้ นางเคยรับปากเสวี่ยเอ๋อร์เอาไว้ แน่นอนว่านางจะต้องดีกับเขาเท่าที่จะทำได้ และไม่มีทางให้เขามาส่งผลกระทบต่อสิทธิ์ของตนเอง
ดังนั้น รถม้าของจวนกั๋วกงที่ขับเคลื่อนอยู่กลางถนน จะมีองค์รักษ์คอยคุ้มกันอยู่ฝั่งละคน
สีหน้าขององครักษ์ทั้งสองดูเย็นชา ท่วงท่าดูหน้ากลัว แต่กลับซ่อนความสง่างามเอาไว้ไม่ได้…
คนหนึ่งเป็นว่าที่หัวหน้าตระกูลจากตระกูลขุนนางขั้นหนึ่ง อีกคนหนึ่งเป็นทายาทของสุดยอดตระกูลขุนนาง ล้วนมีพรสวรรค์ที่โดดเด่น เหล่าสตรีทั้งหลายต่างใฝ่ฝันอยากจะแต่งงานกับพวกเขา
มองราชวงศ์เทียนฉีโดยภาพรวมแล้ว เกรงว่าคงจะไม่มีสตรีคนไหนที่เจิดจรัสเหมือนมั่วเชียนเสวี่ยในวันนี้ได้แล้ว มีคนที่มีฐานะเช่นนี้ เต็มใจที่จะมาเป็นองครักษ์ให้นาง ติดตามข้างๆ รถม้าส่งนางกลับจวน
ซูจิ่นอวี้ก็มองดูซูชีส่งมั่วเชียนเสวี่ยขึ้นรถม้าแบบนี้ ขี่ม้าสูงใหญ่ คุ้มกันตลอดทาง เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
กล้าหาญเช่นนี้! มีความคิดเช่นนี้!
หากเขาซูจิ่นอวี้ผู้นี้ยังไม่แต่งงาน เขาจะต้องเข้าร่วมศึกชิงนางในครั้งนี้ด้วยเป็นแน่…
ทว่า…
ภรรยาของเขา คือลั่วไฉ่เหอเป็นบุตรีของตระกูลลั่วซึ่งเป็นตระกูลขุนนางลึกลับ ตระกูลของเขาเป็นคนจัดการเรื่องนี้ให้ เขาเพิ่งจะได้พบกับนาง ก็ตอนวันแต่งแล้ว เขาแต่งกับนางมาก็สามปีแล้ว ในช่วงเวลาสามปีนี้ก็เหมือนเดิมในทุกๆ วัน ผ่านมาอย่างไร้ทุกข์ไร้สุข
การปฏิบัติตนของบุตรีตระกูลลั่วล้วนเป็นที่ชื่นชมของคนทุกระดับในตระตระกูลซู ว่าเป็นตระกูลขุนนางที่ดี ถูกอบรมมาอย่างดี สง่างามสำรวมกริยาวาจา สุขุมใจกว้าง กตัญญูและมีเมตตา เรื่องในตระกูลกูดูแลจัดการได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
แม้แต่เรื่องรับอนุนางก็จัดการให้เรียบร้อย จัดเตรียมสาวใช้ห้องข้างให้ ไม่แสดงท่าทีหยิ่งผยองใส่พวกบ่าวไพร่แม้แต่น้อย คนภายนอกต่างพูดกันว่านางเหมาะสมกับเขามาก ทว่า เขามักจะรู้สึกว่ายังขาดอะไรไปสักอย่าง
นางก็เหมือนกับบุตรีของตระกูลขุนนางดีๆ ทั่วไป คืองดงามและมารยาทดี มักจะเห็นรอยยิ้มบางเบาบนใบหน้าของนางเสมอ ทว่าดวงตากลับเหมือนมีน้ำตาคลอเบ้า ทำให้คนรู้สึกโศกเศร้าทุกข์ตรม เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มเบาบางหรือความโศกเศร้าก็แผ่วเบาเกินไป คลุมเครือไม่ชัดเจน ในทางกลับกันก็ดูมืดหม่นและเงียบเหงา ไม่มีความรู้สึกใด จะมีความผ่าเผยและเฉียบแหลมเฉกเช่นมั่วเชียนเสวี่ยที่เผชิญหน้ากับความตายได้อย่างไม่สะทกสะท้านก็หามีไม่!
ตั้งแต่กลับมาจากการประชุมในช่วงเช้า ซูจิ่นอวี้ก็อยู่ที่ห้องรับรองที่อยู่กลางลานเรือนของพวกเขา ไม่ว่าวันนี้ผักดองที่ลั่วไฉ่เหอลงมือทำเองจะประณีตเพียงใด เขาก็เหมือนจะถือตะเกียบโดยที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ดูค่อนข้างจะเอื่อยเฉื่อยไร้ชีวิตชีวา
ในที่สุดเขาก็รู้ว่าสิ่งที่ขาดหายไปคืออะไร มันคือความดุดัน ความโกรธ ความ…
ลั่วไฉ่เหอกลับมองไม่ออกถึงความเปลี่ยนไปของซูจิ่นอวี้ และพูดคุยกัยเขาเกี่ยวชีวิตประจำวันตามปกติ “ฮูหยินห้าตระกูลหลี่เพิ่งจะคลอดบุตรีเมื่อไม่นานมานี้ ท่านพี่กับคุณชายหลี่ก็สนิทสนมกันมาก ส่งของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ไปแสดงความยินดีท่านพี่ว่าดีหรือไม่”
ซูจิ่นอวี้ได้สติกลับมา จึงครุ่นคิดเล็กน้อย “ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ในห้องเก็บของ ข้าเห็นว่าแร่หยกถูกขุดออกมาแล้วและชุดตุ๊กตาหยกจากเถียนอวี้เตียวก็มาถึงแล้ว เจ้าก็ไปหยิบตุ๊กตามาสองคู่แล้วเพิ่มผ้าไหมหลิงหลัวไปอีกสองพับเอาส่งไปเรือนเขาเถิด ทั้งแปลกใหม่ดูดี และไม่ถูกว่าเราตระหนี่ได้”
แม้ว่าตอนที่ซูจิ่นอวี้กินอาหารจิตใจจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แต่เกี่ยวกับเรื่องราวภายในครอบครัวเหล่านี้ เขาใส่ใจและดูแลจัดการได้อย่างดีเยี่ยม
เรื่องเหล่านี้มิอาจมองข้ามได้ น้ำใจที่มีต่อกันเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นจริงๆ ความสำเร็จหรือล้มเหลวบางอย่างก็ขึ้นอยู่กับการสร้างสัมพันธ์ที่ดีของภรรยา ตอนนี้เขายังไม่ใช่หัวหน้าตระกูล เรื่องบางเรื่องก็มิอาจชะล่าใจได้
ทั้งสองคนพูดคุยกันได้ไม่กี่คำ หลังกินข้าวก็เหมือนเช่นทุกครั้ง ลั่วไฉ่เหอเรียกบุตรชายคนเล็กของสาวใช้ที่ติดตามมาจากบ้านเดิมนางเข้าเรือน ให้ตักน้ำมาพอใช้ล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้ว ก็ให้ดึงม่านเตียงลง เตรียมนอนกลางวัน แต่ซูจิ่นอวี้กลับลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
เขาสามารถนั่งอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าตระกูลในอนาคตได้อย่างมั่นคง ในใจก็ย่อมจะรู้สึกเป็นอิสระจะทำอะไรก็ได้ ตอนนี้นั่งคุยกับลั่วไฉ่เหอถึงสัพเพเหระ ความกระสับกระส่ายใจเหล่านั้นก็พลันหายไป
แม้นใจเขาจะคิดว่ามั่วเชียนเสวี่ยดูแตกต่าง พิเศษ แต่ก็ไม่ใช่คนของเขา คนของเขาก็คือคนๆ นี้ที่ง่วนกับงานในจวน คนที่สร้างสัมพันธ์อันดีกับผู้อื่นเพื่อเขา ลั่วไฉ่เหอคนนี้
จะได้ของมีค่าทั้งสองอย่างมาพร้อมๆ กันได้อย่างไร!
สตรีเช่นนางนั้น ตนเองได้แต่ชื่นชม ยกย่อง มองดูอยู่ห่างๆ เพียงแต่มิอาจรักได้
เมื่อปล่อยวางความคิดลงได้ และย้อนคิดถึงพฤติกรรมของซูชี ซูจิ่นอวี้ก็รู้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะต้องเป็นสตรีในภาพเหมือนภาพนั้นแน่
ตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ ซูชีไม่เคยแสดงน้ำใจกับสตรีคนไหนเลย เขาไม่มีทางใส่ใจสตรีที่พบกันครั้งแรกเช่นนี้โดยไร้ซึ่งเหตุผลเป็นแน่
คนหนึ่งคือสตรีที่เขายกย่อง คนหนึ่งคือน้องชายที่เขารักมากที่สุด เขาจะต้องช่วยสักตั้ง
มั่วเชียนเสวี่ยยังอยู่ระหว่างการเดินทางกลับจวน เรื่องที่เกิดขึ้นในท้องพระโรง หัวหน้าตระกูลมั่วได้ทราบแล้ว
ตอนนั้นเขากำลังชื่นชมแจกันใส่ดอกไม้โบราณอยู่ พอได้ยินข่าว่ามั่วเชียนเสวี่ยขอรับโทษไม่รับเบี้ยหวัดสามปี เขากระอักเลือดออกมาด้วยความโกรธ พลั้งมือทำแจกันหล่นแตกในทันที จากนั้น ก็เจ็บปวดไปทั้งกายและใจ
เหมือนมั่วเชียนเสวี่ยเอามีดมาแทงทะลุหัวใจเขา
หัวหน้าตระกูลมั่วยิ่งคิดก็ยิ่งเคือง ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น เจ้าเด็กนอกคอกในตระกูลมั่วนั่น นางรู้หรือไม่ว่าปีๆ นึงจวนกั๋วกงได้รับเบี้ยหวัดจำนวนเท่าไร บอกให้หยุดก็หยุดหรือ เป็นสตรีที่ไม่รู้จักใช้เงินจริงๆ
ต่อไปภายภาคหน้า ค่าใช้จ่ายในตระกูลมั่วของเขาจะทำอย่างไร หลายปีมานี้เหตุใดตระกูลมั่วถึงอยู่อย่างไร้กังวลได้ เจริญรุ่งเรืองขึ้นทุกวัน ตระกูลอื่นๆ ล้วนให้เกียรติกันเล่า นี่ไม่ใช่เพราะว่าตระกูลขุนนางที่ติดตัวเขามาตลอดชีวิต แต่กลับเป็นเบี้ยหวัดประจำตำแหน่งกั๋วกงที่มอบให้เป็นค่าใช้จ่ายในจวน
นางมีสิทธิ์อะไรไปงดรับเบี้ยหวัด นางคิดว่านางเป็นใคร ไม่ได้! เขาต้องไปสั่งสอนนางที่จวนด้วยตัวเองเสียหน่อย ให้เอาเงินที่เสียไปนี้กลับคืนมา คนที่ทำผิดคือเด็กโง่คนนี้ แล้วเหตุใดผู้ที่ต้องแบกรับความสูญเสียจะต้องเป็นตระกูลมั่วของเขาด้วย
มีบางคนที่เป็นเช่นนี้ ยืมของของคนอื่นมาใช้ พอใช้เพลินจนเคยชิน ก็คิดว่าเป็นของตนเอง ไม่เพียงแต่ไม่มีจิตสำนึกที่จะคืน ยังปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเก็บไว้เองอีก
หากผู้อื่นจะเอากลับคืน ก็จะกลายเป็นคนไร้คุณธรรมใจดำ และมีราคาที่ต้องจ่าย
……
ในจวนจิ่งชินอ๋อง มีร่างหนึ่งเข้าไปในห้องตำราของท่านอ๋อง
พอร่างนั้นพบกับจิ่งชินอ๋องก็คำนับจากนั้นก็เงยหน้าขึ้น เขาแต่งกายด้วยชุดดำ สีหน้าแลดูเย็นชา มีรอยแผลเป็นที่น่ากลัวบนใบหน้า หากไม่ใช่อิ่งซาแล้วจะเป็นใครไปได้เล่า!