เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 26 เปิดฉากการแสดงชั้นยอดของมนุษย์ป้าน่ารำคาญ
ตอนที่ 26 เปิดฉากการแสดงชั้นยอดของมนุษย์ป้าน่ารำคาญ
คุณชายเจ็ดคลี่พัดออก ยิ้มเล็กน้อยพลางพูดพึมพำ “แม่นางนี้เขี้ยวเล็บแหลมคม นางไม่ปล่อยอันธพาลนั่นไปแน่นอน อย่างไรไอ้นั่นขาไม่ดีแล้ว คงจะก่อเรื่องไม่ได้อีก วันๆ ที่ผ่านไปในหมู่บ้านคงจะน่าเบื่อ และเหงาแย่! ให้นางได้มีเรื่องสนุกๆ ทำบ้างก็ดี”
“เรื่องสนุกๆ?” อาลู่ที่ยื่นอยู่ด้านหลัง เอ่ยขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
“คุณชาย หนิงเหนียงจื่อเป็นเพียงหญิงสาวในหมู่บ้านชนบท มันไม่คุ้มค่าที่ท่านต้องมาเหนื่อยเช่นนี้ ไหนจะเชิญท่านหมอฝีมือดีมาและยังให้อาจ้าวไปสืบเรื่องของนางอีก ยัง…ยังเขียนคำเชิญไปเชิญท่านผู้เฒ่าเซวียผู้นั้นมาอีก ท่านผู้เฒ่าเซวียเป็นหมอที่เกษียณอายุแล้ว เพราะเขาเห็นแก่หน้าเหล่าไท่ไท่ ท่านเลยโชคดี เหตุใดเพื่อหญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่งถึงขั้นใช้….”
อาลู่ยืนบ่นอยู่ตรงนั้น แต่คุณชายเจ็ดกลับฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา หันหลังด้วยท่าทางที่สง่าแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ มือยกชาขึ้นมาเป่าด้วยท่าทางที่ดูคล่องแคล่ว
เขาจิบชาคำเล็กแล้วพูดขึ้นยิ้มๆ “อาลู่เจ้าไม่เข้าใจ! หนิงเหนียงจื่อผู้นี้พิเศษไม่เหมือนใคร อย่างน้อยก็น่าสนใจกว่าพวกที่ชอบเสแสร้งในเมืองหลวงเสียอีก”
“ต่างอย่างไรเล่า ก็แค่ทำอาหารได้ไม่กี่อย่างไม่ใช่หรือขอรับ” แค่แม่ครัวคนหนึ่ง! มีอะไรน่าสนใจกันบรรดาคุณหนูในเมืองหลวงมีแต่คนอรชรอ้อนแอ้น! นุ่มนวลและงดงามทั้งนั้น! อาลู่พึมพําเบาๆ แน่นอนว่าประโยคหลัง เขากล้าคิดทะลึ่งเพียงในใจเท่านั้น
“…”
……
ที่บ้านของฟางอู่
เถาเอ๋อร์นอนตัวสั่นอยู่บนเตียงพลางเขย่าแขนมารดา “ท่านแม่ ท่านบอกว่าสมุนไพรนั่นไม่มีพิษไม่ใช่หรือเจ้าคะ แล้วเหตุใดไม่เพียงแต่ไร้ผลเท่านั้น แต่ยังมีฤทธิ์ทำให้คนถูกพิษตายอีก…”
“เด็กบ้า เจ้าอย่าเอ็ดไป กำแพงมีหู! แม่แค่เคยได้ยินยายเจ้าพูดเท่านั้น เคยใช้เองเสียเมื่อไหร่”
“ท่านไม่เคยใช้? แล้วเอามาให้ข้าใช้? ท่านแม่! ท่านทำให้ข้าลำบากแล้ว ไม่ว่าอาจารย์หนิงจะตายหรือไม่ งานนี้จบเห่แล้ว! ถ้ามีคนรู้เข้า ข้าคงถูกจับเข้าคุกประหารแน่” คนในผ้าห่มตัวสั่นเป็นเจ้าเข้าอีกครั้ง
“เจ้าใจเย็นๆ ก่อน แม่ว่าไม่เป็นไรหรอก ประเดี๋ยวแม่จะออกไปดูที่บ้านต้าถัง…”
…..
ที่บ้านของหลี่ปา
หลี่ปาที่มองคนงานท่าเรือหามบุตรชายลงมาจากภูเขา เมื่อรอจนคนรอบข้างออกไปหมดก็เอ็ดตะโรเสียยกใหญ่
“เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ข้าสั่งให้เจ้าไปเอาสูตรลับ เหตุใดถึงปีนขึ้นไปบนภูเขาเสียเล่า ซ้ำยังขาหักอีก! เรื่องดีๆ ไม่ทำ ทำแต่เรื่องเดือดร้อน…”
ภรรยาหลี่ปารักลูกชายที่ได้มาตอนแก่คนนี้มาก พอเห็นหลี่ปาแสดงอาการไม่ดีก็ด่าทอทันที
“ตาแก่หนังเหนียวนี่ ลูกชายเกือบไม่รอดแล้ว ยังมาห่วงสูตรลับอีก เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ เหตุใดเจ้าไม่ไปทำเอง”
“ท่านแม่ ขาข้าจะหักหรือไม่”
หลี่ปาได้แต่เงียบอย่างไม่กล้าเอ่ยขัดอีก
……
ขณะที่มั่วเชียนเสวี่ยกําลังต้มข้าวต้มอยู่ในครัวอยู่นั้น อาซ้อจ้าวเอ้อร์ก็ถือขนมปังข้าวโพดสองก้อนที่แข็งราวกับก้อนหินเดินเข้ามาหาถึงที่
“หนิงเหนียงจื่อ ท่านอาจารย์อาการดีขึ้นบ้างหรือไม่ จะฟื้นเมื่อไหร่หรือ ข้ากลัวว่าเจ้าจะไม่มีกะจิตกะใจทำอาหารก็เลยเอาขนมปังข้าวโพดนี่มาฝาก แค่นี้ก็พอกินแล้ว!”
คุณพระ! เอาอีกแล้ว! แถมยังบอกว่าพอกินอีก!
มั่วเชียนเสวี่ยที่เห็นขนมปังสองก้อนนั้นแล้วแทบอยากจะขว้างทิ้ง อยากจะเอาขนมปังนั่นทุบศีรษะของนาง ดูสิว่าขนมปังกับศีรษะของนางอะไรจะแข็งกว่ากัน ไม่รู้ว่าคราวนี้นางจะเอาขนมปังสองชิ้นนี้มาแลกกับอะไรอีก
หลังจากได้ฟังอาซ้อจ้าวเอ้อร์พูดขึ้น แม้ว่าจะหมดคำพูดต่อกรเพียงใด แต่ริมฝีปากกลับเปล่งเสียงออกมาแค่ว่า “ขอบคุณอาซ้อที่หวังดี แต่ฟันของเซียนเซิงกับน้องไม่ค่อยแข็งแรงนัก ซ้อเอากลับไปให้ลูกทั้งสองกินแก้หิวเถิด”
ครอบครัวพวกเขาฟันแข็งแรงดีนักก็เอากลับไปกินเองเถิด ขนมปังสองชิ้นที่เอามาคราวที่แล้ว นางโยนให้สุนัขแก่ที่หน้าหมู่บ้านตัวนั้นไป ผลสุดท้ายสุนัขตัวนั้นฟันร่วงหมดปากก็ยังกัดไม่ขาดเลย
อาซ้อจ้าวเอ้อร์ได้ยินมั่วเชียนเสวี่ยผลักไสเช่นนั้นก็แสร้งร้องไห้ “หนิงเหนียงจื่อรังเกียจที่อาซ้อทำขนมปังข้าวโพดไม่ดีหรือ ถึงกระนั้น ที่บ้านก็ไม่มีสิ่งใดที่นำมาให้เจ้าได้แล้ว”
แสดงเก่ง! ยังจะเล่นละครต่ออีก! มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มเยาะในใจ
นางสืบเรื่องภายในบ้านของอาซ้อจ้าวเอ้อร์จากปากของอาซ้อฟางมาตั้งนานแล้ว ถึงแม้สามีของนางจะไม่ได้เรื่อง งานการไม่ทำก็ตามที แต่ตัวนางกลับมีความสามารถทำให้มีชีวิตอยู่อย่างสบายโดยไม่ต้องอัตคัด ขนาดนกนางแอ่นที่บินอยู่บนท้องฟ้า นางยังสามารถจับมาถอนขนได้
“น้องไม่ได้หมายความเช่นนั้น แต่ยิ่งลำบากก็ยิ่งต้องประหยัด ขนมปังข้าวโพดนี้ประทังชีวิตให้อิ่มได้จึงต้องเก็บไว้ให้พี่จ้าวเอ้อร์กินตอนทำงาน พี่จ้าวเอ้อร์ทำงานหนักก็ต้องใช้เรี่ยวแรงมากเช่นกัน” นางอยากเห็นนักว่าจะแสดงละครอะไรต่อ
อาซ้อจ้าวเอ้อร์ตะลึงงัน หากนางให้จ้าวเอ้อร์นําขนมปังข้าวโพดนี้ไปด้วย พรุ่งนี้สามีของนางคงจะเขียนหนังสือหย่าให้นางทันที
เมื่อเห็นว่ามั่วเชียนเสวี่ยไม่ยอมรับขนมปังชิ้นนั้นไป นางจึงวางชามไว้บนแท่นเตา แสดงชัดว่าถึงไม่อยากได้ก็ต้องรับไว้ “ที่บ้านยังมีอีกมาก หนิงเหนียงจื่ออย่างเกรงใจเลย”
หลังจากวางชามลงก็หันไปพูดว่า “ได้ยินว่าอาหารใหม่ที่หนิงเหนียงจื่อรสชาติดีมาก ลูกๆ ข้าอยากกินจนน้ำลายสอกันหมด วันนี้ข้าจึงบากหน้ามาขอให้หนิงเหนียงจื่อสอน ถ้าข้าทำเป็นแล้วจะได้กลับไปทำให้ลูกๆ ที่บ้านลองชิมดู พวกเขาจะได้ไม่ว่าเอาว่าหนิงเหนียงจื่อไร้มโนธรรม อย่างน้อยข้าก็เป็นผู้มีพระคุณ ทั้งหางานให้ทั้งยังเอาอาหารมาฝากแต่กลับไม่ได้อะไรเลย”
ไม่ได้อะไรเลยอย่างนั้นหรือ แล้วเนื้อนั่นคืออะไร! เนื้อตรงนั้นมันงอกออกมาเองหรืออย่างไร
ว่ากันตามจริง ตอนที่นางเพิ่งรับเนื้อเค็มตากแห้งที่เป็นของไหว้ครูมา เพื่อตอบแทนบุญคุณที่คอยดูแลในวันนั้นจึงทำขนมเปี๊ยะมอบให้ครอบครัวของอาซ้อฟาง ไม่ง่ายเลยกว่าจะดึงนางมาช่วยได้ จึงทำได้มากหน่อย แถมแบ่งให้นางไปบ้างด้วย
การทำขนมเปี๊ยะนั้นนางถนัดเพราะทำมาหลายปี ส่วนประกอบมีเพียงไข่กับแป้ง ทั้งกลิ่นหอมรสชาตินุ่มละมุนลิ้น ดีกว่าขนมปังที่นางเอามาหลายพันเท่า
ไร้มโนธรรม? ใครกันแน่ที่ไร้มโนธรรม!
หนิงเซ่าชิงรอกินข้าวต้มอยู่ มั่วเชียนเสวี่ยไม่อยากต่อกรกับมนุษย์ป้าน่ารำคาญผู้นี้ต่อไป ว่าแล้วก็ตักข้าวต้มในหม้อออกมาชามหนึ่ง ก่อนเดินออกไปก็ชี้ที่เต้าหู้ที่ในชามบนแท่นเตาแล้วตอบกลับ “ตรงนี้ยังมีของที่ทำเสร็จแล้วอยู่บ้าง ซ้อเอากลับไปเถอะ ข้ายังต้องไปตั้งสำรับดูแลสามีอีก ข้าขอตัวก่อน”
อาซ้อจ้าวที่เห็นว่ามั่วเชียนเสวี่ยกําลังจะกลับเข้าไป ถึงอย่างไรก็ยังมีความกระดากอายอยู่บ้าง ไม่กล้าเดินตามเข้าไปด้วย ได้แต่ตะโกนตามหลังมั่วเชียนเสวี่ย “เช่นนั้น…ข้าไม่เกรงใจแล้วนะ พรุ่งนี้ไว้จะมาช่วยเจ้าอีก ถือโอกาสเรียนการปรุงอาหารนี้ด้วย ถ้าข้าทำเป็นแล้ว ดูซิว่าใครหน้าไหนจะกล้าบอกว่าหนิงเหนียงจื่อไร้มโนธรรมอีก”
ที่แท้ก็รอนางตอบรับอยู่นี่เอง
มั่วเชียนเสวี่ยชะงักฝีเท้า หากไม่รนหาที่ตายก็จะไม่ตาย! ตอนแรกว่าจะไม่ลงมือจัดการนางแล้วแต่นางกลับมาร้องขอความตายถึงที่
ถ้าไม่แผลงฤทธิ์ เดี๋ยวจะหาว่านางเป็นแมวป่วยไร้พิษสง
หลังจากตั้งสำรับและดูแลหนิงเซ่าชิงเสร็จ มั่วเชียนเสวี่ยก็กลับมาที่ห้องครัวอย่างงงงวย
นางจำได้ว่าเหลือข้าวต้มไว้ให้ตัวเองอยู่แท้ๆ แต่ตอนนี้หม้อเหล็กใบนั้นกลับเหลือเพียงความว่างเปล่า สะอาดวาววับเสียยิ่งกว่าการล้างทำความสะอาด ภายห้องครัวใหญ่เหลือแค่นางกับขนมปังข้าวโพดเพียงสองชิ้นที่นอนเปลือยกายอยู่บนแท่นเตา นางจ้องมองอย่างไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี
ทำดี! ทำดีมาก! ไม่เหลือไว้ให้นางเลยแม้แต่ชามเดียว
มั่วเชียนเสวี่ยที่โกรธจัดขว้างขนมปังข้าวโพดสองชิ้นลงกับพื้นในครั้งเดียว…
ถ้าไม่สั่งสอนนางเสียบ้าง คราวหน้าแม้แต่หม้อนางก็คงจะเอาไปด้วย!
……
เพราะรับปากภัตตาคารไป๋อวิ๋นจวีไว้ว่าจะทำเต้าหู้สามร้อยจิน จึงต้องเริ่มงานเร็วหน่อย
ตอนที่อาซ้อจ้าวเอ้อร์มาถึง เต้าหู้ก็สะเด็ดน้ำแล้วและเพิ่งจับตัวเป็นก้อน
อาซ้อฟางและอาซ้อกุ้ยฮวากําลังคุยกันอย่างดุเดือดเรื่องหลี่ไคสือขาหักจนต้องถูกหามลงจากเขา ทั้งสองเห็นพ้องตรงกันว่าสมควรแล้ว! ทีนี้หลี่ไคสือขาหักแล้วจริงๆ ต่อไปคงไม่พ้นต้องใช้ไม้เท้าตลอดชีวิตแน่
แม่นางน้อยใหญ่ในหมู่บ้านต่างก็คงถอนหายใจอย่างโล่งอก… หลี่ไคสือขาหัก วิ่งไม่ได้อีกและจะไม่เป็นภัยคุกคามต่อพวกนางอีกแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยฟังแล้วรู้สึกชื่นชมอาจ้าวที่จัดการได้ฉับไว ครั้นนึกถึงจึงหัวเราะตามไปด้วย
เดิมทีมีเสียงหัวเราะอบอวลครื้นเครง แต่ทันทีที่อาซ้อจ้าวเอ้อร์เข้ามาบรรยากาศก็มึนตึงทันที
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นอาซ้อจ้าวเอ้อร์เดินเข้ามา ก็ตรงเข้าไปตรวจดูเต้าหู้โดยไม่เงยหน้าทำเหมือนมองไม่เห็นนาง
บางคนไว้หน้าแล้วแต่ก็ยังหน้าไม่อาย เช่นนั้นก็อย่าไว้หน้านางเลย
อาซ้อฟางได้ยินมั่วเชียนเสวี่ยพูดถึง ‘คุณูปการอันเกริกก้อง’ ของอาซ้อจ้าวเอ้อร์แล้ว จึงเพิกเฉยนางเป็นธรรมดา มีเพียงอาซ้อกุ้ยฮวาที่ไม่รู้เรื่องราว คอยพยักพเยิดยิ้มให้นางอย่างเป็นมิตร
อาซ้อจ้าวเอ้อร์หน้าหนาเสียยิ่งกว่าเหรียญทองแดง ถึงบรรยากาศจะเย็นชาหรือไม่นางก็ไม่สนใจ เมื่อเห็นว่าตัวเองพลาดการทำให้เต้าหู้ขึ้นรูปเป็นก้อนซึ่งนับว่าเป็นช่วงเวลาสําคัญ จึงคิดว่ามั่วเชียนเสวี่ยทำเช่นนั้นเพราะจงใจหลีกเลี่ยงนาง คิดจะตําหนิมั่วเชียนเสวี่ยว่าเหตุใดถึงไม่รอนาง