เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 279 ชนะเลิศ เผยธารตุแท้องค์หญิง (1)
ตอนที่ 279 ชนะเลิศ เผยธารตุแท้องค์หญิง (1)
ชูอีมองไปที่หน้าต่างแล้วตอบ “คือลี่ว์ไป่สาวใช้คนสนิทของท่านหญิงซูซูเจ้าค่ะ”
มั่วเชียนเสวี่ยโบกมือ “ไปเถอะ”
ชูอีเดินออกไปต้อนรับ “ลี่ว์ไป่มาหรือ ท่านหญิงมีรับสั่งใด”
ลี่ว์ไป่พูดด้วยความสุภาพ “ท่านหญิงปลีกตัวออกมาไม่ได้ จึงให้ข้ามาเยี่ยมคุณหนู ดูว่าไม่สบายหรือไม่ พร้อมกับส่งขนมมาให้คุณหนูมั่วรับประทาน”
ชูอีรับกล่องที่ลี่ว์ไป่ยื่นให้ พูด “คุณหนูใหญ่ของข้ากำลังพักผ่อน ไม่สะดวกพบแขก พี่กลับไปบอกท่านหญิง บอกว่าคุณหนูของข้าสบายดี ไม่ได้เป็นอะไร และฝากขอบคุณแทนคุณหนูของข้าด้วยสำหรับความเป็นห่วงของท่านหญิง”
ทั้งสองพูดคุยกันอีกเล็กน้อย จากนั้นลี่วไป่ก็บอกลา ชูอีเดินถือกล่องขนมเข้ามาในห้อง ยังไม่ได้เดินเข้ามา ด้านนอกก็มีเสียงพูดขึ้นด้วยความระมัดระวัง “ไม่ทราบว่าคุณหนูมั่วพักผ่อนอยู่หรือไม่เจ้าคะ”
มั่วเชียนเสวี่ยนั่งอยู่ที่โถงด้านใน ย่อมได้ยินเสียง นางส่งสายตาให้ชูอี ชูอีรีบวางขนมในมือ แล้วเดินไปต้อนรับ “เจ้าคือ…”
สาวใช้ตอบ “ข้าคือสาวใช้ของคุณหนูวั่นจื่ออิ๋งบุตรีสายตรงของผู้ตรวจการวั่น คุณหนูของข้าชื่นชมความสามารถของคุณหนูมั่ว อยากจะเสวนากับคุณหนู จึงให้ข้ามาบอกเจ้าค่ะ”
วั่นจื่ออิ๋ง ผู้ตรวจการวั่น?
มั่วเชียนเสวี่ยครุ่นคิดครู่หนึ่ง นางจำได้ว่าตอนอยู่ในท้องพระโรง ภายใต้สายพระเนตรของฮองเต้ ผู้ตรวจการวั่นหมายจะให้นางตาย
สำหรับศัตรู นางจำได้ดี ในตอนหลังนางถามซูชี จึงได้รู้ว่าผู้ตรวจการวั่นคือพี่ชายแท้ๆ ของอวี้กุ้ยเฟยชายาคนโปรดของฮ่องเต้
เมื่อหลายวันก่อนยังคิดจะฆ่านาง เหตุใดเวลานี้จึงเมตตายิ่งนัก ให้บุตรีมาผูกมิตรกับนาง ในงานสังคมเช่นนี้ นางไม่เชื่อว่าผู้ใดจะชื่นชมความสามารถของนางจากใจจริง แล้วมาพูดคุยผูกมิตรกับนาง
แต่ทว่า เรื่องในราชสำนักเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เป็นศัตรูหรือเป็นมิตร ต้องรอพบเจอจึงจะกล่าวได้
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ตอนชูอีเดินเข้ามารายงาน มั่วเชียนเสวี่ยฝากนางไปบอกสาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านนอกว่า ประเดี๋ยวพักผ่อนครู่หนึ่งแล้วยินดีต้อนรับคุณหนูวั่นมาวิจารณ์กลอนร่วมกัน
ทันทีที่สาวใช้เดินออกไป มั่วเชียนเสวี่ยเดินออกมา บอกชูอีเก็บกวาดห้องให้เรียบร้อย เปลี่ยนไปรับแขกอีกห้องหนึ่ง
นั่งอยู่ในห้องนั้น มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกสะอิดสะเอียน
ความเป็นจริงก็ไม่ได้มีสิ่งใดต้องเก็บกวาด มีเพียงเสื้อผ้าสกปรกหนึ่งชุด ขนมที่ท่านหญิงซูซูให้คนส่งมาหนึ่งกล่อง ชูอีไม่ได้ถามสิ่งใดให้มากความ ถึงอย่างไรในเรือนหลังนี้ก็ไม่มีผู้อื่น คุณหนูอยากนั่งห้องใดก็ห้องนั้น ด้วยเหตุนี้จึงเก็บเสื้อผ้าเข้าไปในห่อผ้า แล้วถือขนมเดินออกไป
เมื่อนายและบ่าวเดินเข้าไปในเรือนข้างฝั่งตะวันออก มั่วเชียนเสวี่ยนั่งอยู่บนตั่งไม้ ชูอีเก็บกวาดข้าวของ แล้วเดินไปขอน้ำร้อนและชากับผอจื่อเฝ้าประตู จากนั้นไม่นานวั่นจื่ออิ๋งก็มาถึง
คนที่มาพร้อมนางยังมีอีกหนึ่งคน หลันรั่วเมิ่งแห่งตระกูลหลัน
หลันรั่วเมิ่งคือสตรีที่ได้ตราดอกท้อด้านการร่ายรำ แววตาที่นางมองมาเป็นแววตาชื่นชมจากใจจริง พวกนางนั่งลง เอ่ยปากถามเรื่องกลอน
มีคารมคมคาย พูดอย่างไม่รีบร้อนและไม่ช้า แฝงความหมาย ในท้องเต็มไปด้วยกลอนกวีที่แท้จริง! มั่วเชียนเสวี่ยเชื่อว่า หากนางกับหลันรั่วเมิ่งได้รู้จักกัน ต้องกลายเป็นมิตรแท้ของกันและกันได้อย่างแน่นอน
ผู้ฟังที่ดี โดยมากล้วนเป็นนักคิดที่ดีเช่นเดียวกัน แววตาของวั่นจื่ออิ๋งเป็นกลาง บางทีอาจจะมีเจตนาอื่นแอบแฝง ทว่าไม่ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจน นางพูดไม่เก่งเท่าใดนัก โดยมาก นางล้วนเป็นผู้ฟัง แต่หากเมื่อพูดออกมา ก็พูดถึงประเด็นสำคัญได้พอดี
ทั้งสามทานขนมที่ท่านหญิงซูซูนำมาให้และดื่มน้ำชา วิจารณ์กลอนกวี สำหรับมั่วเชียนเสวี่ยที่เรียนเอกภาษาจีนมานั้น อิ่มเอมใจยิ่งนัก
ไม่นาน มีนางกำนัลร้องตะโกนเสียงดัง งานเลี้ยงในช่วงบ่ายเริ่มขึ้นแล้ว เชิญคุณหนูทั้งหลายไปที่หอดอกท้อ
เมื่อพวกนางไปถึงศาลา องค์หญิงและบรรดาสตรีชั้นสูงคนอื่นๆ ก็ไปถึงแล้ว
ทำความเคารพเสร็จ กำลังจะนั่งลง เสียงเอ่ยถามของงอค์หญิงอวี้เหอก็ดังขึ้นข้างหูมั่วเชียนเสวี่ย “คุณหนูมั่วไม่สบายเหตุใดไม่พักผ่อนให้มากๆ หลังจากจบงานเลี้ยง ข้าย่อมส่งคนไปบอกกล่าว”
มั่วเชียนเสวี่ยเหยียดกายลุกขึ้น “ขอบพระทัยเพคะองค์หญิง งานเลี้ยงดอกท้อหนึ่งปีมีเพียงหนึ่งหน หม่อมฉันจะพลาดได้อย่างไรเพคะ อีกอย่าง หม่อมฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น อาจจะไม่สบายเล็กน้อย แต่นั่งชมคุณหนูทั้งหลายที่นี่ ย่อมไม่มีปัญหาเพคะ”
ท่านหญิงซูซูที่นั่งอยู่ข้างๆ พูดขึ้น “องค์หญิงอวี้เหอเลื่องชื่อว่าจิตใจดี แต่ว่า หม่อมฉันเห็นคุณหนูมั่วมีเรี่ยวมีแรง น่าจะไม่เป็นไรอะไรมากเพคะ องค์หญิงไม่ต้องเป็นกังวล”
องค์หญิงอวี้เหอพูด “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านหญิงซูซูช่วยดูแลคุณหนูมั่วหน่อย ข้าจะได้วางใจมากขึ้น”
“ขอบพระทัยเพคะองค์หญิง!” มั่วเชียนเสวี่ยกล่าวขอบคุณแล้วนั่งลง
สูดลมหายใจเข้า บอกกับตนเอง ยิ่งองค์หญิงไม่อยากให้นางโดดเด่น นางก็ต้องยิ่งโดดเด่น ทางที่ดีที่สุดคือเอาชนะให้ได้ตราดอกท้อหลายๆ อัน ทำให้สองแม่ลูกคู่นี้โมโหจนกระอักเลือด
จากนั้น เมื่อไม่มีเรื่องอะไรอีก จึงพูดถึงเรื่องการแข่งขัน
ช่วงเช้าพูดเสนอให้มีการแข่งขันเพิ่มสามแขนง ก่อนหน้านี้แข่งขันไปสองแขนงแล้ว แน่นอนว่าถึงคราวเริ่มการแข่งขันแขนงที่สาม ซึ่งก็คือการแข่งขันศิลปะการชงชา
ในโลกยุคปัจจุบันวัฒนธรรมด้านศิลปะการชงชาเป็นที่รู้จักแล้ว แบ่งเป็นศิลปะการชงชาชาววัง ศิลปะการชงชาปราชญ์ ศิลปะการชงชาพื้นบ้าน ศิลปะการชงชาศาสนา แน่นอนว่าทักษะการชงชาคือการชิม การชม
การชิมชาคือการชิมรสชาติ ชิมเนื้อสัมผัส ชมชาคือชมสี ความหอม กลิ่นและรูปร่างของชา…
องค์หญิงอวี้เหอเพิ่งพูดจบ ไม่รอให้นางเรียกคนเริ่มการแข่งขัน มั่วเชียนเสวี่ยก็เสนอตัว “หม่อมฉันพอจะมีความรู้ด้านพิธีชงชาอยู่พอดี ให้หม่อมฉันโยนกระเบื้องล่อหยกดีหรือไม่เพคะ”
นางสามารถโยนกระเบื้องล่อหยก แต่ไม่มีสิทธิ์พูดเช่นเดียวกับองค์หญิงอวี้เหอและท่านหญิงซูซูได้ว่าจะไม่ขอร่วมการแข่งขัน
ตราดอกท้อนั้นมอบโดยราชวงศ์ พวกนางเป็นคนของราชวงศ์ การไม่ยี่หระต่อตราดอกท้อก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่หากนางไม่ต้องการตราดอกท้อ เช่นนั้นจะเป็นการดูแคลนความกรุณาของราชวงศ์
องค์หญิงอวี้เหอหรี่ตาลง จากนั้นยิ้มแล้วพูดขึ้น “เคยได้ยินเสด็จแม่บอกว่าคุณหนูมั่วเป็นสตรีที่มากความสามารถ คาดว่าจะเป็นเรื่องจริง ไม่เพียงแต่งกลอนได้ดี ทั้งยังมีความรู้ด้านพิธีชงชา เมื่องานเลี้ยงดอกท้อจบลง คุณหนูมั่วต้องไปหาข้าที่วังหลวงบ่อยๆ ข้าจะได้ให้คุณหนูช่วยสอน”
“หม่อมฉันมิกล้าเพคะ หม่อมฉันไม่อาจรับไว้ได้!” ตอบกลับด้วยความถ่อมตน
ขณะพูด มั่วเชียนเสวี่ยจัดวางอุปกรณ์ชงชาเรียบร้อยแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยเองก็ไม่อ้อมแอ้ม ก้าวไปด้านหน้า
ขั้นตอนแรก อุ่นถ้วยน้ำชา มั่วเชียนเสวี่ยยกมือทั้งสองข้างขึ้นหยิบผ้า จากนั้นมือซ้ายจับผ้า มือขวายกกาน้ำชา รินน้ำลงไปหนึ่งส่วนสาม จากนั้นมือทั้งสองข้างหมุนถ้วยชาทวนเข็มนาฬิกา
ท่วงท่าของนางสง่างาม เชี่ยวชาญ ไม่รีบร้อน เคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับเมฆเหินน้ำไหล
ขั้นตอนที่สอง เทใบชา มั่วเชียนเสวี่ยใช้ช้อนเขี่ยใบชาจากโถใส่ชาเข้าไปในที่พักใบชา อย่าดูถูกการกระทำง่ายๆ นี้ มือหนักเพียงเล็กน้อย ใบชาก็จะหกบนโต๊ะ…
ไม่รู้ว่าลมพัดดอกท้อมาจากแห่งหนใด ดอกท้อตกลงบนอาภรณ์มั่วเชียนเสวี่ย ช่วยขับให้โดดเด่น ทำให้ท่วงท่าของนางราวกับกลอนกวีเสมือนภาพวาด สง่างามยิ่งนัก
ขั้นตอนที่สาม ชมชา มั่วเชียนเสวี่ยยกที่พักใบชาขึ้นมาให้องค์หญิงและบรรดาสตรีชั้นสูงชม ชมลักษณะภายนอกของใบชา สี แล้วค่อยเทลงไปในถ้วยชาแต่ละใบ ใบละหนึ่งถึงสองขีด
ปิดโถใส่ชา วางไว้ที่เดิม จากนั้นแช่ครู่หนึ่ง หมุนถ้วยชาให้เกิดกลิ่นหอมแล้วชง