เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 287 ปวดใจ ซูชีบุกคุกหลวง (2)
ตอนที่ 287 ปวดใจ ซูชีบุกคุกหลวง (2)
สตรีคนนั้นดวงหน้าขาวดั่งหิมะ ผมสีดำรวบขึ้นเป็นทรงกรวยแบบที่สตรีชั้นสูงนิยม ด้านบนประดับด้วยปิ่นหยกผีเสื้อสีทอง ผิวขาวนวลเนียน ภายใต้แสงไฟผิวของนางเจียนจะโปร่งใส เคล้าไปด้วยเสน่ห์ที่แตกต่าง
ขอเพียงเข้ามาในคุกหลวง มีคนใดบ้างที่ไม่มอมแมม นอกจากสีหน้าตกใจและน้ำตานองหน้าก็ไม่มีสีหน้าอื่นใด ผู้คุมไม่เคยเห็นสตรีที่งดงามและนิ่งงันเช่นนี้มาก่อน นอกจากนี้ใบหน้ายังเปื้อนรอยยิ้มจางๆ เป็นครั้งคราว ผู้คุมถึงกับตาลาย น้ำลายแทบหก หมุนตัวหันหลังพูดเสียงทุ้มต่ำกับหัวหน้าผู้คุ้มที่อยู่ข้างกาย “หัวหน้า สตรีคนนี้ช่างงดงามยิ่งนัก…”
หัวหน้าผู้คุมดื่มสุรา “ไอ้หนุ่ม เบื้องบนมีรับสั่งแล้ว ห้ามแตะต้องสตรีคนนี้เด็ดขาด”
ผู้คุมยิ้มร้ายกาจแฝงเจตนาร้าย “หืม? สตรีคนนี้เป็นผู้ใดและมาจากที่ใดหรือขอรับ” หญิงงามเช่นนี้ หากมีคนปกป้อง จะมาอยู่ในคุกหลวงได้อย่างไร
“นางคือบุตรีเจิ้นกั๋วกงที่เมื่อแปดวันก่อนสังหารชาวบ้านนับสิบ…มั่วเชียนเสวี่ย”
“อะไรนะ นางคือมั่วเชียนเสวี่ย?” ดวงตาของผู้คุมเบิกกว้างจนเกือบถลนออกมา รอยยิ้มร้ายกาจนั้นหายไปจนหมดสิ้น
เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่า หญิงงามตรงหน้าจะเป็นบุตรีเจิ้นกั๋วกงผู้เลื่องชื่อในเมืองหลวง สตรีที่ผู้คนลือกันว่าเป็นเทพสังหาร แม้เขาจะมีความกล้าหาญมากเพียงใด ก็ไม่กล้ามีความคิดชั่วร้ายกับนาง
ผู้คุมเก็บความคิดชั่วร้ายของตน ลูบคางแล้วพูดด้วยความสงสัย “แต่เหตุใดบุตรีท่านกั๋วกง…จึงมาที่นี่ได้ เรื่องเมื่อคราวก่อน ฝ่าบาททรงลงโทษสถานเบาแล้วไม่ใช่หรือ”
“เคราะห์ร้ายอย่างไรเล่า!”
“หมายความเช่นไร”
“วันนี้เป็นเทศกาลดอกท้อ…” หัวหน้าผู้คุมเล่าเรื่องที่ได้ยินมาจากผู้บัญชาจางให้ผู้คุมฟัง
หลังจากฟังจบ ความคิดชั่วร้ายของผู้คุมก็ก่อตัวขึ้นอีกครั้ง “คิดไม่ถึงว่าบุตรีท่านกั๋วกงจะแต่งงานแล้ว ทอดทิ้งสามีของตนเพื่อความมั่งคั่งและร่ำรวย…ในเมื่อเป็นเช่นนี้…” ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ต้องเป็นหญิงใจง่ายอย่างแน่นอน ไม่แน่ เขาเข้าไปอาจจะ…
หัวหน้าผู้คุมชำเลืองมองไปที่เขาปราดหนึ่ง “เจ้าอย่าแม้แต่จะคิด ไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นไร ฝ่าบาทก็เห็นแก่ความสัมพันธ์ที่มีต่อเจิ้นกั๋วกง ได้ยินว่าพรุ่งนี้ฝ่าบาทจะไต่สวนนางด้วยตนเอง นางยังไม่มีความผิด ทางที่ดีที่สุดพวกเราอย่าแตะต้องนาง”
ปกติยามไม่มีการใด ล้วนพูดคุยด้วยกัน เจ้าหนุ่มคนนี้คิดสิ่งใด เขาย่อมรู้ดี แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ไม่อาจประมาท
ผู้คุมประหม่าเล็กน้อย ถูมือไปมา “ข้าน้อยจะกล้าคิดได้อย่างไรขอรับ แค่เพียงล้อเล่นเท่านั้น”
“เช่นนั้นก็ดี ออกไป บอกให้คนที่เหลือตื่นตัวกันหน่อย วันนี้ข้าเฝ้ายามอยู่ที่นี่ หลังจากเจ้าไปบอกพวกเขาเสร็จ ก็มาเฝ้ากับข้า”
“ขอรับ” ผู้คุมขานตอบ เดินแล้วหันหลังกลับมาเป็นครั้งคราว
หัวหน้าผู้คุมเดินไปเปิดหน้าต่างบนประตูเหล็ก เห็นด้านในห้องจุดไฟเอาไว้ สตรีทั้งสองที่อยู่ด้านในพูดคุยกระซิบกระซาบ หลังจากมองครู่หนึ่ง เขาก็พูดขึ้น “คุณหนูมั่วรีบพักผ่อนเถอะ เบื้องบนมีรับสั่ง ไม่มีการใช้เครื่องมือลงโทษคุณหนู!”
พูดราวกับเป็นความเมตตาใหญ่หลวง พวกเขากล้าใช้เครื่องมือลงโทษนางเช่นนั้นหรือ มั่วเชียนเสวี่ยเงียบ มั่วเหนียงพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ลำบากท่านแล้ว” ผู้คุมคิ้วดกที่เมื่อครู่กล่าวทักทายกับหัวหน้าผู้คุม เดินอยู่ชั้นในของคุกหลวงยังไม่ทันออกไปจากประตูเหล็ก ทว่าคิดไม่ถึงเขากลับถูกคนขวางทาง
เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง คนที่เขาเห็นคือรองแม่ทัพซูที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งไม่นาน จึงรีบหลีกทางให้ทันที
แม่ทัพเก้าประตูคอยดูแลรักษาความปลอดภัยของทั้งเมืองหลวง มีแห่งหนใดบ้างที่พวกเขาไม่อาจไปได้ คุกหลวงก็เป็นขอบเขตในการลาดตระเวนของพวกเขา
ทว่า แม้พวกเขาจะสามารถลาดตระเวนคุกหลวงได้ แต่ทำได้เพียงลาดตระเวนด้านนอกคุกหลวงเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์เข้ามาด้านใน…
แม้ผู้คุมจะรู้หลักการข้อนี้เป็นอย่างดี แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ รองแม่ทัพซูคนใหม่นี้ ได้ยินว่าแม้แต่ผู้บังคับบัญชาของเขายังคุมไม่อยู่ ตนที่เป็นเพียงผู้คุมตัวเล็กๆ จะกล้าขวางทางได้อย่างไร มีเรื่องใดเกิดขึ้นเบื้องบนย่อมรับผิดชอบ การที่รองแม่ทัพซูเข้ามาด้านในนี้ได้ ย่อมพูดคุยกับเบื้องบนแล้ว
ผู้คุมคิ้วดกหลีกทางให้ซูชี ทว่าซูชีกลับจ้องเขม็งไปที่เขา
คำพูดของเขาเมื่อครู่ ไม่ได้ดังมาก มั่วเชียนเสวี่ยอยู่ห่างออกไประยะหนึ่ง ทั้งยังมีประตูเหล็กกั้นเอาไว้ ย่อมไม่ได้ยิน
แต่ซูชีมีพลังยุทธ์ลึกล้ำ การฟังของเขาดีมาโดยตลอด ตั้งแต่เข้ามาในคุกหลวง หูของเขาก็ตรวจสอบบริเวณโดยรอบ คุกหลวงนี้ไม่ใหญ่มาก ทั้งยังไม่มีคำพูดเรื่อยเปื่อยใดๆ เขาเดินมาถึงริมประตู จะไม่ได้ยินสิ่งที่ผู้คุมพูดได้อย่างไร
ถูกสายตาคมกริบเยือกเย็นราวกับกระบี่จ้องเขม็ง หัวใจของผู้คุมหนาวสั่น ยื่นมือด้วยความสั่นเทาอยากจะผายมือเชิญให้รองแม่ทัพซูชีเดินไปก่อน แต่สีหน้าของซูชีกลับเย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็ง ผู้คุมที่เมื่อครู่หัวเราะและพูดคุยเวลานี้ล้มลงบนพื้น กระอักเลือด แล้วสิ้นใจในบัดดล
เมื่อก่อนตอนอยู่ในเมืองหลวงซูชีเป็นคนเผด็จการอย่างยิ่ง ทำสิ่งใดล้วนไม่เคยคิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา หากไม่ใช่เพื่อปกป้องมั่วเชียนเสวี่ย เขาไม่มีวันเข้ารับตำแหน่งรองแม่ทัพขั้นห้าอย่างแน่นอน ในเมื่อผู้คุมคนนี้กล้ามีความคิดชั่วช้า เช่นนั้นก็รนหาที่ตายแล้ว
หันกลับไปมอง แม้หัวหน้าผู้คุมจะตกใจทว่าไม่ได้กระวนกระวาย เขาสามารถขึ้นเป็นหัวหน้าผู้คุมได้ คอยดูแลนักโทษคดีร้ายแรง ย่อมไม่ใช่คนไร้ความสามารถอย่างแน่นอน เขารวบรวมสติ แล้วพูดขึ้น “รองแม่ทัพซูมาที่นี่เพราะการใดขอรับ”
สังหารผู้คุมในคุกหลวง มีโทษหนักเทียบเท่าแหกคุก
ซูชีไม่อยากเปลืองน้ำลายกับเขา “เปิดประตูห้องคุมขัง” แค่ผู้คุมคนหนึ่งเท่านั้น ขอเพียงเขาต้องการ สามารถอ้างการตายนับพันที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนได้ แม้จะมีคนเห็นด้วยตาตนเองก็ตาม เนื้อตัวของผู้คุมไม่มีบาดแผล ฟาดฝ่ามือตัดขั้วใจ หรือจะอ้าง… ผู้คุมคนนี้ตายเพราะหัวใจวายเฉียบพลันก็ได้…
หัวหน้าผู้คุมไม่ยินยอม “เบื้องบนมีรับสั่ง…”
สีหน้าของซูชีเยือกเย็น ในความรำคาญของเขาแผ่ซ่านด้วยไอสังหาร “บอกให้เจ้าเปิดก็เปิดสิ! คุณหนูมั่วเป็นบุตรีของท่านกั๋วกง จะนอนในคุกแห่งนี้ได้อย่างไร ช่างน่าขันยิ่งนัก! ข้าซูชีจะส่งนางกลับจวนกั๋วกง เกิดเรื่องใดขึ้นตระกูลซูรับผิดชอบเอง วันพรุ่งนี้ข้าจะส่งนางไปที่ท้องพระโรง ให้ฝ่าบาทไต่สวนด้วยพระองค์เอง”
มีตระกูลซูรับผิดชอบ…
หัวหน้าผู้คุมลำบากใจ “ข้าน้อยไม่กล้า! นอกเสียจากมีพระราชโองการของฮ่องเต้ ข้าน้อยจึงจะปล่อยตัวคุณหนูมั่วได้” เขาไม่กล้ามีปัญหากับซูชี แต่เขายิ่งไม่กล้าปล่อยนักโทษโดยพลการ
ซูชีพูดด้วยความเย้ยหยัน “เช่นนั้นการที่นางถูกจับขังในคุกหลวงเป็นพระราชโองการของฝ่าบาทเช่นนั้นหรือ”
โดยทั่วไปแล้วในคุกหลวง ล้วนเป็นนักโทษที่ฮ่องเต้มีรับสั่งให้จับกุมเท่านั้น วังในไม่ข้องเกี่ยวกับการเมือง แม้จะเป็นรับสั่งของฮองเฮาหรือไทเฮาล้วนไม่อาจส่งคนเข้าคุกหลวงพร่ำเพรื่อ เป็นครั้งแรกที่มีคนเข้าคุกหลวงเพราะรับสั่งขององค์หญิง
หัวหน้าผู้คุมได้ยินเช่นนี้ก็ตกตะลึง ลำบากใจยิ่งกว่าเดิม พูดติดขัดเล็กน้อย “ไม่ใช่…ไม่ใช่ขอรับ เป็นรับสั่งขององค์หญิงอวี้เหอขอรับ” พูดจบก็รีบพูดเสริม “ผู้บัญชาจางบอกว่าองค์หญิงอวี้เหอจะไปเชิญพระราชโองการของฝ่าบาท ไม่แน่ว่าอีกไม่นานพระราชโองการของฝ่าบาทอาจจะมาถึงแล้วก็ได้ขอรับ”
ราวกับซูชีไม่ได้ยินคำพูดท้ายประโยคของเขา “แค่เพียงองค์หญิงคนหนึ่ง มีอำนาจสั่งการหัวหน้าคุกหลวงตั้งแต่เมื่อใด” องค์หญิงคนหนึ่งไม่เคยอยู่ในสายตาของตระกูลซูจริงๆ จึงอย่าได้กล่าวถึงหัวหน้าผู้คุมคนนี้
ตอนที่ผู้บัญชาจางบอกกับหัวหน้าผู้คุมว่านี่คือรับสั่งขององค์หญิง เขาก็รู้ทันทีว่าต้องมีเรื่องวุ่นวายอย่างแน่นอน แต่ว่า ตอนนั้นผู้บัญชาจางบอกว่าองค์หญิงจะไปทูลขอพระราชโองการของฮ่องเต้ อีกไม่นานก็จะมาถึง…องค์หญิงอวี้เหอ เบื้องหลังของนางคือฮองเฮา แม้จะแย่เพียงใดก็มีตระกูลเซี่ยคอยสนับสนุน ไม่อาจมีปัญหาด้วยจริงๆ