เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 290 วางแผน ค่ำคืนที่นอนไม่หลับ (3)
ตอนที่ 290 วางแผน ค่ำคืนที่นอนไม่หลับ (3)
จากนั้นบัณฑิตจย่าก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นด้านนอกสวนดอกท้อให้จย่าฮูหยินฟัง แล้วพูดขึ้น “ผู้ที่เขียนกลอนเช่นนั้นได้ ไม่ใช่คนที่ยึดติดกับอำนาจ การพรรณนาของกลอนสองบทนั้น คนธรรมดาอย่างพวกเขาจะเข้าใจได้อย่างไร บัณฑิตคนนั้นบอกว่านางโลภในอำนาจ! บุตรีตระกูลกั๋วกง มีอำนาจใดที่นางจำต้องโลภอีก…”
จย่าฮูหยินฟังคำพูดของบัณฑิตจย่า เห็นสามีของตนโมโหอย่างมาก ตบแผ่นหลังของเขาเบาๆ แล้วพูดเกลี้ยกล่อม “ท่านพี่อย่าโมโหเลยเจ้าค่ะ ไม่คุ้มค่าที่จะโมโหแล้วทำให้ตนเสียสุขภาพเพราะคนไม่รู้จักมองการณ์ไกล…”
ความขุ่นเคืองในใจบัณฑิตจย่าลดลงเพราะคำพูดเกลี้ยกล่อมของฮูหยิน นึกถึงเรื่องที่ได้ยินเมื่อหลายวันก่อน สีหน้าของเขาฉายความสงสาร “คุณหนูมั่วคนนี้ ชะตาอาภัพยิ่งนัก สูญเสียบิดามารดา ระหว่างทางกลับมาถูกคนลอบทำร้าย ซ่อนตัวอยู่ด้านนอกนานกว่าครึ่งปี กว่าจะกลับมาเมืองหลวง ทว่าผู้ใดจะคาดคิดกลับมาถึงเมืองหลวงวันแรก ก็ถูกฮองเฮารับสั่งให้เข้าเฝ้า เกือบจะโดนประหาร ระหว่างทางกลับจวนก็ถูกอันธพาลขวางทาง เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด วันที่สองเข้าไปในท้องพระโรง ก็ต้องเอาชีวิตรอดจากความตาย ไม่เพียงถูกงดเว้นเบี้ยหวัดสามปี ทั้งยังถูกกักบริเวณเจ็ดวัน วันนี้เพิ่งได้ออกมาวันแรก ก็ถูกผู้อื่นใส่ร้ายป้ายสี เป็นถึงสตรีชั้นสูง ไม่มีการสืบและไม่มีการไถ่ถาม แค่เพียงคำป้ายสี ก็ถูกจับตัวเข้าคุกหลวง…พวกเขารังแกนางเพราะนางไม่มีผู้ใด ไม่มีคนให้พึ่งพิง!”
บัณฑิตจย่ายิ่งพูดยิ่งโมโห! การรักษาความปลอดภัยในเมืองหลวงนั้นดีมาโดยตลอด จะมีอันธพาลชิงทรัพย์ได้อย่างไร ทั้งยังชิงทรัพย์สตรีชั้นสูงที่เพิ่งกลับเข้าเมืองหลวง
ขอเพียงเป็นคนมีสมอง ย่อมรู้ว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำบางอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นคนที่อยู่ในเมืองหลวงมาทั้งชีวิตเยี่ยงบัณฑิตจย่า สอนการเมืองการปกครองมานับไม่ถ้วน จะคิดไม่ออกได้อย่างไร
จย่าฮูหยินก็เป็นผู้ที่มีจิตใจดี ได้ยินสามีของตนพูดเช่นนี้ ขอบตาของนางแดงก่ำ “คุณหนูมั่วน่าสงสารจริงๆ คนพวกนี้รังแกกันเกินไปแล้ว”
นึกถึงกลอนสองบทนั้น แล้วนึกถึงเสียงที่ดังมาจากด้านในรถม้าซึ่งมีผ้าขวางกั้น น้ำเสียงนั้นไม่กระวนกระวายแม้แต่น้อย หลังจากความขุ่นเคืองของบัณฑิตจย่าได้รับการบรรเทาจากฮูหยิน ขณะเดียวกันที่เขารู้สึกสงสารมั่วเชียนเสวี่ย ก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมนางแม้ยามเผชิญอันตรายก็ไม่ไหวติง
บัณฑิตจย่าตั้งสติ บอกกับจย่าฮูหยินด้วยสีหน้าจริงจัง “ฮูหยิน เจ้าไปเตรียมตัวให้เรียบร้อย องค์หญิงอวี้เหอจะเชิญฮูหยินซันกงไปพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของคุณหนูมั่ว เวลานี้ผู้ที่เป็นซันกงในราชสำนักมีเพียงมหาราชาจารย์ มหาราชครูและมหาองครักษ์…”
ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้น “ฮูหยินส่งเทียบเชิญไปให้ฮูหยินมหาราชครูบอกว่าพรุ่งนี้จะไปด้วย นางย่อมให้เกียรติฮูหยินอย่างแน่นอน อย่าให้ผู้อื่นครหาคุณหนูมั่วได้สำเร็จ”
มหาราชครูเป็นลูกศิษย์ของบัณฑิตจย่า ย่อมต้องให้เกียรติเป็นธรรมดา
จย่าฮูหยินเช็ดน้ำตา “ท่านพี่วางใจเถอะ มีข้าอยู่ ข้าจะไม่ยอมให้ผู้อื่นป้ายสีคุณหนูมั่วเด็ดขาด…”
……
ณ ตำหนักคุนหนิง
ฮองเฮาประทับอยู่บนที่นั่ง คนที่นั่งอยู่ด้านล่างคือหัวหน้าตระกูลเซี่ย
แววตาของหัวหน้าตระกูลเซี่ยเปี่ยมไปด้วยแผนการ “ฮองเฮา เรื่องนั้นอวี้เหอทำสำเร็จแล้วจริงๆ หรือ จะให้พี่ส่งคนไปจัดการในคุกหลวงอีกครั้งหรือไม่”
ฮองเฮาจิบน้ำชา น้ำเสียงของนางอ่อนโยน “ย่อมทำสำเร็จแล้ว อวี้เหอทำงานไม่เคยทำให้ข้าต้องกังวลมาก่อน”
เดิมทีนางต้องการที่จะให้มั่วเชียนเสวี่ยเสื่อมเสียชื่อเสียง แล้วค่อยตายอย่างอนาถ นางต้องการให้เฟิงชิงอวี่ที่อยู่ในนรกเห็นว่า ผู้ใดคือคนที่หัวเราะเป็นคนสุดท้าย
เวลานี้เพราะผลประโยชน์ของตระกูล แผนการจึงเปลี่ยนแปลง ยังไม่อาจเอาชีวิตมั่วเชียนเสวี่ยได้ นางนึกเสียใจเล็กน้อย ทว่า เช่นนี้ก็ยิ่งดี ค่อยๆ ทรมานนาง ทำให้ตนมีความสุขได้นานยิ่งขึ้น
นางไม่ได้อารมณ์ดีเช่นนี้มานานแล้ว!
หัวหน้าตระกูลเซี่ยพยักหน้า “เช่นนั้นเป็นการดีที่สุด องค์หญิงอวี้เหอไม่เคยต้องให้ใครเป็นกังวลจริงๆ” ใบหน้าของเขาฉายความลำพองใจออกมาอย่างเก็บไว้ไม่อยู่ แม้บัณฑิตคนนั้นจะแซ่หนิง แต่เป็นคนของตระกูลเซี่ย
สิ่งที่ตระกูลเซี่ยขาดแคลนมากที่สุดคืออำนาจทางการทหาร แม้เขาจะไม่รู้แน่ชัด แต่เรื่องนี้ต้องมีบางอย่างผิดปกติอย่างแน่นอน ทว่าจากรายงานของฝ่ายต่างๆ อำนาจทางตะวันตก ยังคงเป็นของเจิ้นกั๋วกงอย่างไม่ต้องสงสัย
หากทำเรื่องนี้สำเร็จ มั่วเชียนเสวี่ยกลายเป็นตัวตลกของใต้หล้า เมื่อไม่เหลือความบริสุทธิ์เช่นนั้นหนิงเซ่าชิงไม่มีวันแต่งงานกับนางอย่างแน่นอน นางก็ทำได้เพียงข่มความเจ็บปวดเอาไว้ แต่งงานกับบัณฑิตของตระกูลเซี่ย หากนางไม่แต่ง เช่นนั้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั่วหล้าก็จะทำให้นางตาย
สตรีที่สูญสิ้นความบริสุทธิ์ ยังคิดอยากจะเลือกสามีเช่นนั้นหรือ
สำหรับโทษหลอกลวงจักรพรรดิ ตอนประชุมราชสำนัก เขาย่อมนำเหล่าขุนนางทูลขอต่อฝ่าบาทให้ไว้ชีวิตมั่วเชียนเสวี่ย เมื่อถึงเวลานั้น ให้บัณฑิตแซ่หนิงแต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วกง เป็นสามีภรรยาที่แท้จริงกับมั่วเชียนเสวี่ย
สตรีแต่งกับชายใดก็ต้องติดตามชายนั้น รอให้เป็นสามีภรรยากันอย่างแท้จริง อำนาจทางการทหารของจวนกั๋วกง มั่วเชียนเสวี่ยย่อมให้สามีเป็นคนคอยดูแล แล้วส่งมาให้ตระกูลเซี่ยของเขา เมื่อถึงเวลาตระกูลเซี่ยไม่ต้องมีชีวิตโดยคอยดูสีหน้าของฮ่องเต้อีกแล้ว เดินอกผายไหล่ผึ่งเช่นเดียวกับตระกูลซูและตระกูลหนิงได้
ทั้งสองจิบน้ำชา ต่างคนต่างคิดเรื่องของตนเอง เวลานี้เององค์หญิงอวี้เหอเดินเข้ามา
“น้อมทำความเคารพเสด็จแม่” องค์หญิงอวี้เหอทำความเคารพฮองเฮา เมื่อเห็นว่าหัวหน้าตระกูลเซี่ยยังคงอยู่ที่นี่ จึงเอ่ยถาม “ท่านลุงอยู่ด้วยหรือเจ้าคะ”
หัวหน้าตระกูลชั้นสูงเมื่อพบเจอฮ่องเต้เพียงทำความเคารพไม่ต้องคุกเข่า แน่นอนว่าย่อมไม่ต้องทำความเคารพองค์หญิง “ลุงกำลังรอฟังข่าวดีจากองค์หญิง”
ฮองเฮาพยักหน้า นางในเวลานี้ คำพูดและกิริยาท่าทางของนางแลดูเกียจคร้านเล็กน้อยทว่าสง่างามอย่างมาก “ได้รับพระราชโองการหรือยัง”
สีหน้าขององค์หญิงอวี้เหอย่ำแย่ “เสด็จพ่อยังคงไม่ให้ลูกเข้าเฝ้าเพคะ” เดิมทีนางคิดว่า ขอเพียงกลับถึงวังหลวง ด้วยความรักและเอ็นดูของเสด็จพ่อที่มีต่อนาง และหลักฐานเหล่านั้นที่นางนำกลับมาเสด็จพ่อต้องมีพระราชโองการอย่างแน่นอน
ทว่า เวลานี้ท่านพ่อกลับไม่ยอมให้นางเข้าเฝ้า นี่ไม่ได้อยู่ในความคาดหมายของนาง
เมื่อได้ยินว่ายังไม่ได้รับพระราชโองการ หัวหน้าตระกูลเซี่ยเพียงหัวเราะเบาๆ ฮ่องเต้เป็นจิ้งจอกเฒ่า เกรงว่าเวลานี้กำลังคิดว่าจะใช้ประโยชน์จากเรื่องของมั่วเชียนเสวี่ยให้กับตนเองเช่นไร
แท้จริงแล้วการที่อวี้เหอไม่ได้รับพระราชโองการเป็นสิ่งที่เขาคาดคิดเอาไว้ตั้งแต่แรก แต่ว่า สำหรับเขาแล้วไม่ว่าจะมีพระราชโองการหรือไม่มีก็ล้วนไม่เป็นเช่นไร
หลังจากความเจ้าเล่ห์แล่นผ่านแววตาของหัวหน้าตระกูลเซี่ยเขายิ้มแล้วพูดปลอบ “องค์หญิงไม่ต้องเป็นกังวล ขอเพียงพรุ่งนี้พวกเรากำหนดโทษของมั่วเชียนเสวี่ยให้ร้ายแรง เมื่อถึงเวลาสายตาของทุกคนจดจ่ออยู่ที่มั่วเชียนเสวี่ย แล้วจะคิดถึงเรื่องที่อวี้เหอจัดการเรื่องนี้ก่อนกราบทูลฝ่าบาทได้อย่างไร ลิ้นของขุนนางโดยมากในท้องพระโรงโดยมากล้วนเป็นคนของตระกูลเซี่ย หากข้าไม่พยักหน้า ไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวโทษองค์หญิงแน่นอน”
ฮองเฮาครุ่นคิด มีเหตุผล คิ้วของนางคลายตัวเล็กน้อย “เช่นนั้นลำบากหัวหน้าตระกูลเซี่ยแล้ว”
หัวหน้าตระกูลเซี่ยยิ้มแห้ง “พูดอะไรกัน หากฮองเฮาอยู่ดี ตระกูลเซี่ยก็อยู่ดี”
เช่นเดียวกัน เมื่อตระกูลเซี่ยอยู่ดี เช่นนั้นฮองเฮาจึงจะอยู่ในวังหลวงได้อย่างมั่นคง น้ำเสียงของหัวหน้าตระกูลเซี่ยทั้งถ่อมตนและตักเตือน ไม่อาจให้น้องสาวเกิดข้อผิดพลาดในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้เด็ดขาด
……
ณ ตำหนักเหยียนชิ่ง
“ดึกป่านนี้แล้ว ฝ่าบาทยังไม่เสด็จมา เกรงว่าวันนี้คงไม่มาแล้ว พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ” อวี้กุ้ยเฟยผายมือบอกให้ทุกคนออกไป เหลือเพียงหนีหมัวมัว “ได้ยินว่าวันนี้มั่วเชียนเสวี่ยชนะเลิศ แต่กลับถูกอวี้เหอที่ไร้สมองสั่งจับเข้าคุกหลวง?”
เสียงของนางไพเราะยิ่งนัก แม้ฮ่องเต้ไม่อยู่ แต่เสียงของนางยังคงอ่อนโยนราวกับลมฤดูวสันต์ในเดือนสาม
หนีหมัวมัวพูดอย่างระมัดระวัง “เหนียงเหนียง ข่าวที่ได้รับมาเป็นเช่นนี้เพคะ”
“ไปบอกผู้ตรวจการวั่น พรุ่งนี้กล่าวโทษองค์หญิงอวี้เหอให้หนัก โอกาสดีๆ เช่นนี้ ไม่อาจปล่อยให้หลุดมือ ขอเพียงอวี้เหอล้มลง องค์หญิงที่สูงศักดิ์ที่สุดในวังหลวง ก็จะเป็นของหนิงเซียงและหนิงจือธิดาของข้า”
หนีหมัวมัวพูดเตือน “เช่นนั้น…คุณหนูตระกูลมั่วจะยังสนใจหรือไม่เพคะ”
“เรื่องนั้นขึ้นอยู่กับพระประสงค์ของฝ่าบาท หากฝ่าบาทยังคงเห็นใจนาง เช่นนั้นก็ให้ผู้ตรวจการวั่นช่วยพูดเล็กน้อย แต่หากฝ่าบาทไม่อยากจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีต ก็ไม่ต้องสนใจนางแล้ว เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ชีวิตของนางจบสิ้นแล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไปแล้ว…”
เสียงของกุ้ยเฟยยังคงไพเราะ คล้ายกำลังอ่านบทกลอนที่ไพเราะอย่างไรอย่างนั้น