เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 294 รอดพ้น ความเฉลียวฉลาดของท่านจย่า (2)
ตอนที่ 294 รอดพ้น ความเฉลียวฉลาดของท่านจย่า (2)
เฟิงอวี้เฉินต้องการที่จะปกป้องมั่วเชียนเสวี่ย เขาสละชีวิตของตนได้ แต่เขาไม่อาจเอาชีวิตคนทั้งตระกูลเฟิงทิ้งไปด้วยกัน ขณะครุ่นคิดเขาไตร่ตรองได้แล้ว ประเดี๋ยวส่งจดหมายนกพิราบ ให้ท่านปู่มาขอร้องฮ่องเต้ด้วยตนเอง
ฮ่องเต้ไม่เห็นแก่เกียรติของตนไม่เป็นเช่นไร แต่ท่านปู่ผ่านราชวงศ์เทียนฉีมาสามรัชสมัย ทั้งยังเป็นหัวหน้าตระกูล นอกจากนี้เคยร่วมมือกับท่านกั๋วกงช่วยฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์ ฮ่องเต้ไม่อาจกระทำเกินไปได้…
สีหน้าของซูชีมีความเคร่งขรึมที่ยากจะพบเจอ นี่เป็นสงครามที่ไร้อาวุธ ไม่ใช่การกวัดแกว่งกระบี่ฆ่าฟันเพื่อเปิดทาง สำหรับเรื่องนี้ ตระกูลซูของพวกเขา ไม่มีสิทธิ์พูด
แต่…แม้จะไม่มีสิทธิ์ เขาก็ไม่อาจทนเห็นนางถูกส่งตัวเข้าไปในที่แบบนั้น ให้นางเข้าไปอยู่ในสถานที่เช่นนั้นแค่เพียงหนึ่งคืนเขาก็รู้สึกผิดจนแทบอยากจะตายแล้ว!
ซูชีจัดการอารมณ์ของตนเอง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ขณะที่เขากำลังจะพูด เสียงแก่ชราทว่าเปี่ยมไปด้วยความน่าเกรงขามดังขึ้น
“ช้าก่อน!” คนที่พูดคือบัณฑิตจย่า คือหนึ่งในน้อยคนที่ไม่คุกเข่าร้องขอให้ฮ่องเต้ใจเย็น
พวกองครักษ์หยุดฝีเท้า ไม่มองฝ่าบาท แต่ตามองไปยังจมูก ก้มหน้าลง เกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหันในท้องพระโรง แม้จะเป็นคำสั่งของฮ่องเต้ พวกเขาก็ไม่กล้าจับใครอย่างหุนหันพลันแล่น
เมื่อจับกุมเร็ว สังหารผิด ฮ่องเต้นึกเสียใจทีหลัง สุดท้ายพวกเขาต้องเป็นคนรับผิดชอบ
บัณฑิตจย่าส่งเสียงหยุดฝีเท้าของเหล่าองครักษ์ หันกลับไปประสานมือทำความเคารพฮ่องเต้ “ฮ่องเต้โปรดใจเย็นก่อน กระหม่อมมีเรื่องจะพูด”
ฮ่องเต้อาจจะไม่ให้เกียรติผู้อื่นได้ แต่เกียรติของบัณฑิตจย่า ฮ่องเต้กลับจำต้องให้
บัณฑิตจย่าคือหัวหน้าสำนักวิชาการของแคว้น เป็นคนเก่าคนแก่ของจักรพรรดิสามรัชสมัย สำหรับปัญญาชนแล้วเขาคือบุคคลสำคัญ แค่เพียงคำพูดเดียวก็ทำให้เกิดคลื่นในใจปัญญาชนได้ คือคนที่ฮ่องเต้ต้องการให้สวามิภักดิ์ต่อตนมาโดยตลอด
ท่านบัณฑิตจย่าลุกขึ้นพูดเช่นนี้ ฮ่องเต้ไม่คาดคิด
ท่านบัณฑิตจย่าไม่สนใจเรื่องในราชสำนักมานานแล้ว แม้คนมากมายในราชสำนักล้วนถูกควบคุมโดยตระกูลเซี่ย แต่คนที่ตระกูลเซี่ยควบคุมก็ล้วนเป็นปัญญาชน ขอเพียงเป็นปัญญาชน ไม่มีคนใดไม่อยากเข้าไปอยู่ในสำนักวิชาการ เป็นลูกศิษย์ของท่านบัณฑิตจย่า หากท่านบัณฑิตจย่าบอกว่าผู้ใดไร้คุณธรรม เช่นนั้นอนาคตของคนผู้นั้นก็จะถูกทำลาย เขาเป็นบัณฑิตทั่วไปที่ไหนเล่า นี่มันขั้นมหาบัณฑิตแล้ว
ฮ่องเต้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง สิ่งที่สำนักวิชาการให้ความสำคัญคือจริยธรรม ท่านจย่าคือตัวแทนของจริยธรรม
เขากับเจิ้นกั๋วกงมั่วเทียนฟ่างไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ต่อกันแม้แต่น้อย ไม่เพียงไม่มีความสัมพันธ์กัน ทั้งยังเคยมีความขัดแย้งกัน ในอดีตมั่วเทียนฟ่างทำให้หัวหน้าตระกูลมั่วขายหน้า ท่านจย่าเคยพูดตำหนิ มั่วเทียนฟ่างไม่เพียงไม่ขอโทษ ทั้งยังโต้กลับอย่างแรง หลังจากนั้นท่านจย่ากลับจวนถึงขั้นล้มป่วย
พฤติกรรมของมั่วเชียนเสวี่ยไร้คุณธรรม คุณธรรมสตรีและคำสอนของสตรี มีข้อใดบ้างที่ไม่ต่ำทราม คาดว่าท่านจย่าออกหน้าในครั้งนี้ ประการแรกเพื่อแก้แค้นความอับอายในอดีต ประการที่สองคืออยากเป็นตัวอย่างที่ดี ไม่ว่าจะเป็นข้อใด ล้วนส่งผลดีต่อตน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฮ่องเต้ข่มความพิโรธ พยายามทำให้น้ำเสียงอ่อนโยนและไม่คลายความน่าเกรงขาม “ท่านจย่าเชิญพูด”
เมื่อได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้ ท่านจย่าเงยหน้าขึ้น พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เมื่อวานกระหม่อมได้รับคำเชิญให้ไปวิจารณ์กลอนและภาพวาดในงานเลี้ยงดอกท้อ ตอนที่คนแซ่หนิงในท้องพระโรงขวางรถม้าของจวนเจิ้นกั๋วกง กระหม่อมออกเดินทางได้ไม่ไกล ด้วยเหตุนี้จึงเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน”
“หืม?”
“กระหม่อมกล้าพูดว่า หากคุณหนูมั่วแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงมีโทษ เช่นนั้นองค์หญิงอวี้เหอก็มีโทษเช่นเดียวกัน ฝ่าบาททำโทษเพียงบุตรีกั๋วกงแต่ไม่ลงโทษองค์หญิง เป็นการเข้าข้างองค์หญิงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ท่านจย่าไม่ได้ช่วยมั่วเชียนเสวี่ยพูด แต่กลับเริ่มจากองค์หญิงอวี้เหอ
ฮ่องเต้ถูกคนสรรเสริญจนชินไปเสียแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดของบัณฑิตจย่าซึ่งแฝงด้วยความเย้ยหยันและถากถาง ตำหนิตนเช่นนี้ สีหน้าของฮ่องเต้ย่อมไม่สบอารมณ์ น้ำเสียงของฮ่องเต้ตักเตือนด้วยความพิโรธ “วันนี้ท่านจย่ามาประชุมราชสำนักเพราะเรื่องนี้หรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ!” บัณฑิตจย่านิ่งงัน สีหน้าของเขายังคงเดิม ทว่าน้ำเสียงกลับคมเฉียบยิ่งกว่าเดิม “วังหลังไม่อาจข้องเกี่ยวกับการเมือง แม้แต่ฮองเฮาและไทเฮาก็ไม่มีสิทธิ์จับนักโทษเข้าไปขังในคุกหลวง องค์หญิงอวี้เหอไม่ได้รับราชโองการของฝ่าบาทก็รับสั่งให้ทหารจับตัวบุตรีกั๋วกงเข้าไปในคุกหลวงนี่คือโทษข้อที่หนึ่ง เมื่อวานกระหม่อมได้ยินองค์หญิงอวี้เหอรับปากกับบุตรีกั๋วกง จะเชิญฮูหยินซันกงมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของคุณหนูมั่ว แต่วันนี้กลับคืนคำ ฐานันดรศักดิ์สูงส่งเป็นถึงองค์หญิงใหญ่ของราชวงศ์ ทุกวาจาและการกระทำล้วนเป็นตัวแทนด้านมารยาทของราชวงศ์ เวลานี้กลับพูดโดยไม่คิดนี่คือความผิดข้อที่สอง ฟังความข้างเดียว ไม่สืบให้แน่ชัดและไม่ไถ่ถาม ปล่อยให้ผู้อื่นป้ายสีสตรีชั้นสูงนี่คือความผิดข้อที่สาม…”
ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าท่านทันทีที่ท่านจย่าพูด ก็เริ่มร้องเรียนความผิดขององค์หญิงใหญ่ก่อนเลย ทันทีที่พูดก็พูดถึงโทษทั้งสามข้อขององค์หญิง แม้แต่ฮ่องเต้ก็ถึงกับตั้งตัวไม่ทันกับคำพูดของท่านจย่า ฮ่องเต้ถึงกับใบ้รับประทานครู่หนึ่ง
แน่นอนว่ามั่วเหนียงส่งเสียงกระแอมไอเมื่อวานให้มั่วเชียนเสวี่ยฟังแล้ว เล่าตั้งแต่เสียงไอนี้มาจากรถม้าคันใดเหตุใดจึงไอเช่นนั้นวิเคราะห์ให้ตนฟังอย่างละเอียด
ท่านจย่าเงียบมานาน ขณะที่นางกำลังจะถูกฮ่องเต้ลงโทษกลับเดินออกมาจากแถว เบื้องหน้าพูดถึงองค์หญิง แต่ความเป็นจริงกำลังช่วยตน มั่วเชียนเสวี่ยคิดไม่ถึงว่าบัณฑิตชราที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตนจะช่วยตน พูดเข้าข้างตนเช่นนี้ หากบอกว่าไม่ซาบซึ้งก็คงจะเป็นการโกหก
ว่าไปแล้วบัณฑิตจย่าสมกับเป็นหัวหน้าบัณฑิตของแคว้นจริงๆ ไม่พูดขอความเห็นใจให้แก่มั่วเชียนเสวี่ยแม้แต่คำเดียว แต่ทุกคนพูดของเขากำลังช่วยมั่วเชียนเสวี่ยให้รอดพ้น
นี่ต่างหากคือความเฉลียวฉลาดของผู้ปราดเปรื่อง
แค่เพียงเอาผิดองค์หญิงอวี้เหอ ก็เป็นการเอาผิดตระกูลเซี่ย คนของตระกูลเซี่ยต้องให้ฮูหยินซันกงแสดงตัวอย่างแน่นอน แล้วพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตน
แค่เพียงพิสูจน์ว่าตนเป็นหญิงบริสุทธิ์ เช่นนั้นคำพูดของทั้งสามคนก็หันกลับไปทำร้ายพวกเขาโดยที่ตนไม่ต้องทำอะไร เรื่องนี้ก็มีโอกาสพลิกผัน
เมื่อขุนนางของตระกูลเซี่ยได้ยิน เป็นจริงตามคาดพวกเขากระวนกระวายแล้ว แต่ว่าพวกเขาไม่คิดไกลเท่ามั่วเชียนเสวี่ย สิ่งที่พวกเขาคิดคือจะทำอย่างไรให้องค์หญิงพ้นผิด
“กราบทูลฝ่าบาท องค์หญิงยังทรงเยาว์วัย ยังไม่ได้เข้าร่วมพิธีปักปิ่น การที่ไม่มีความรู้เรื่องกฎระเบียบและกฎหมายมากเท่าใดนัก ก็เป็นเรื่องปกติ”
“กราบทูบฝ่าบาท องค์หญิงอวี้เหออ่อนโยนและจิตใจดีมาโดยตลอด จะปล่อยให้ผู้อื่นป้ายสีสตรีชั้นสูงได้อย่างไร คาดว่าเป็นเพราะองค์หญิงใสซื่อ ทั้งยังมีหัวใจที่รักความยุติธรรม ชั่วขณะหนึ่งจึงคิดไม่รอบคอบ ตัดสินใจผิดพ่ะย่ะค่ะ…”
“กราบทูลฝ่าบาท องค์หญิงอวี้เหอรักษาสัญญามาโดยตลอด ฮูหยินซันกงรออยู่ที่ตำหนักข้างมานานแล้ว รอฝ่าบาทรับสั่งให้เข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ…”
“กราบทูลฝ่าบาท องค์หญิงอวี้เหอ…”
อัครมหาเสนาบดีบอกเป็นนัยแก่ขุนนางเหล่านั้น พยายามช่วยองค์หญิงให้พ้นผิด
เวลานี้ฮ่องเต้ไม่อยากพูดถึงอวี้เหอ แม้อวี้เหอจะเป็นธิดาของฮองเฮา มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับตระกูลเซี่ย แต่ถึงอย่างไรก็เป็นธิดาของเขา คือเกียรติยศของข้า หากไม่มีความจำเป็น เขาไม่มีวันใช้นางเป็นเครื่องมือ
สิ่งที่ขุนนางต่างๆ พูดก็มีเหตุผล ฮ่องเต้ย่อมคล้อยตาม “ในเมื่อฮูหยินซันกงรอที่ตำหนักข้างมานานแล้ว เช่นนั้นพามั่วเชียนเสวี่ยไปยังตำหนักข้าง ให้ฮูหยินซันกงดู พิสูจน์ว่าสุดท้ายแล้วมั่วเชียนเสวี่ยอาจหาญ หรือว่าสามคนนั้นพูดจาเหลวไหล!”
พูดจบ สีหน้าของฮ่องเต้ฉายความทะนงตนและเย้ยหยันอย่างไม่รู้ตัว ฮองเฮาวางแผนแยบยลเช่นนั้น จากที่คนของเขารายงาน คนของฮองเฮาทำสำเร็จแล้ว
ในเมื่อท่านจย่าอยากจะแก้แค้นเรื่องในวันนั้น อยากให้มั่วเชียนเสวี่ยอับอายขายหน้าในท้องพระโรง เช่นนั้นก็ไม่อาจตำหนิเขา เขายินดีที่จะแสดงน้ำใจนี้ หลังจากนั้นองครักษ์ที่ถือดาบก็นำตัวมั่วเชียนเสวี่ยไปตามรับสั่งของฮ่องเต้
ทว่าก่อนที่องครักษ์เหล่านั้นจะเดินมา มั่วเชียนเสี่ยกลับลุกขึ้นกะทันหัน นางถอยหลังหนึ่งก้าว หลบเลี่ยงมือขององครักษ์เหล่านั้นที่คิดจะจับมือของนาง “องครักษ์โปรดนำทางเถอะ”