เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 299 ปิดฉาก รุกได้ถอยได้ (2)
ตอนที่ 299 ปิดฉาก รุกได้ถอยได้ (2)
แน่นอนว่าพวกนางย่อมไม่อาจมีปัญหากับฮองเฮาและองค์หญิง แต่เมื่อความโกรธท่วมท้น พวกนางก็จะกลายเป็นเกราะป้องกัน เกรงว่าตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีของตระกูลตนคงยากจะรักษาไว้ได้
เมื่อถูกเรียกชื่อแล้วเอ่ยถาม ตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ ในที่สุดฉังฮูหยินและถานฮูหยินก็ไม่อาจอยู่เฉยได้
ถานฮูหยินพูด “คุณหนูมั่วพูดมีเหตุผล หากมีตัวอย่างเช่นนี้ แล้วสตรีชั้นสูงจะมีความสูงส่งอย่างไร แต้มพรหมจรรย์ของคุณหนู ข้าเห็นแล้ว คุณหนูมั่วเป็นหญิงบริสุทธิ์ยังไม่ได้ออกเรือนจริงๆ” ฉังฮูหยินพูด “เมื่อครู่พวกเราพิสูจน์ความบริสุทธิ์แล้ว แต้มพรหมจรรย์ของบุตรีเจิ้นกั๋วกงยังคงอยู่ ยังคงเป็นหญิงพรหมจรรย์จริงๆ”
ในเมื่อออกความเห็นแล้ว ย่อมต้องแสดงจุดยืนให้ชัดเจน ฉังฮูหยินและถานฮูหยินไอแห้งๆ สองสามครั้ง แววตาที่มองมั่วเชียนเสวี่ยมีรอยยิ้มจอมปลอม
เบื้องหน้ายิ้มแต่ภายในไม่ยิ้มเช่นนี้ ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยขนลุก
นางตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ “ขอบคุณฮูหยินทั้งสองที่แสดงความชอบธรรม พูดอย่างตรงไปตรงมา เชียนเสวี่ยยังไม่ได้ออกเรือน แน่นอนว่าย่อมเป็นหญิงพรหมจรรย์”
สวรรค์กลั่นแกล้ง หากตอนนั้นพวกเขาเข้าห้องหอด้วยกันแล้ว เช่นนั้นหนิงเซ่าชิงคงไม่ให้นางกลับจวนกั๋วกงกระมัง
แต่ว่าเขาเองก็คิดไม่ถึง นางกลับจวนกั๋วกงไม่เพียงไม่ปลอดภัยอย่างที่คาดคิด แต่กลับอันตรายทุกย่างก้าว
พระชายาจิ่งชินอ๋องยกมุมปากขึ้นคลี่ยิ้มบางๆ เมื่อครู่นางไม่ออกหน้า เพราะอยากดูว่า มั่วเชียนเสวี่ยคนนี้จะเอาชนะด้วยความสามารถของตนเองได้หรือไม่
เวลานี้เพียงคำพูดเดียวของมั่วเชียนเสวี่ย ก็ทำให้เซี่ยฮูหยิน อันฮูหยินที่หยาบคายและไร้เหตุผลถึงกับใบ้รับประทาน ทำให้ถานฮูหยิน ฉังฮูหยินที่ไม่อยากข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ต้องแสดงความคิดเห็น ฝีมือของนางไม่ธรรมดาจริงๆ
หลังจากชมการแสดงจบ ก็ควรปิดฉากได้แล้ว
พระชายาจิ่งชินอ๋องเหยียดกายลุกขึ้นตัดสินความยุติธรรม “เซี่ยฮูหยิน อันฮูหยิน ในเมื่อฮูหยินทั้งหลายต่างแสดงความคิดของตนแล้ว พวกเราสามารถกลับเข้าท้องพระโรงแล้วกราบทูลฝ่าบาทได้แล้วใช่หรือไม่”
เวลานี้เซี่ยฮูหยินและอันฮูหยินหมดแผนการแล้ว
มีสายตาของฮูหยินมากมายจับจ้อง แม้พวกนางอยากเล่นลูกไม้ ก็เป็นไปไม่ได้ ช่างเถอะ พวกนางทำสุดความสามารถแล้ว หากตระกูลเซี่ยจะตำหนิ ก็ต้องตำหนิฮองเฮาและองค์หญิงอวี้เหอที่ทำงานไม่สำเร็จ
ตอนที่มั่วเชียนเสวี่ยเดินออกไปจากท้องพระโรง บรรดาข้าราชบริพารนอกจากพวกที่เป็นคนกลางคงสถานะผู้ชมแล้ว ที่เหลือแบ่งเป็นสองฝ่าย โต้เถียงกันในท้องพระโรงไม่หยุดหย่อน
ด้านหนึ่งคือขุนนางฝ่ายบุ๋นที่นำโดยผู้ตรวจการวั่น ตำหนิมั่วเชียนเสวี่ยไร้ซึ่งคุณธรรมและจริยธรรม ใจกล้ายิ่งนัก
ด้านหนึ่งนำโดยขุนนางฝ่ายบู๊ ตำหนิขุนนางฝ่ายบุ๋นว่าไม่ทำตามหลักฐาน สร้างเรื่องตามอำเภอใจ ทำร้ายทายาทของขุนนางผู้จงรักภักดี
ขุนนางฝ่ายบู๊โดยมากล้วนเป็นคนของตระกูลซู เจตนาในการปกป้องนี้ เด่นชัดเกินไปแล้วกระมัง
ตระกูลซูคิดจะทำอะไรกันแน่ ยอมทำทุกอย่างเพื่อปกป้องมั่วเชียนเสวี่ยเช่นนั้นหรือ พวกเขาอยากแย่งอำนาจทางทหารกับเขาด้วย?
ฮ่องเต้ครุ่นคิด คิดว่า…เล่นตามน้ำดีหรือไม่ ให้ตระกูลซูช่วยมั่วเชี่ยนเสวี่ย ถึงอย่างไรอำนาจทางการทหารของตระกูลซูก็มากพอแล้ว มากขึ้นอีกเล็กน้อย เมื่อถึงเวลารวบเก็บพร้อมกันจะได้ไม่ลำบาก
น่าเสียดาย มั่วเชียนเสวี่ยหมากตัวนี้เสียหายแล้ว เวลานี้นางเป็นดอกไม้ที่บอบช้ำ แล้วจะคู่ควรกับซูจิ่นหันบุตรสายตรงของตระกูลซูได้อย่างไร เกรงว่าประเดี๋ยวผลตรวจพิสูจน์ความบริสุทธิ์ออกมา ตระกูลซูจะเสียหน้า ตัวซูจิ่นหันเองก็แทบอยากจะหมุดธรณี
ในเมื่อเป็นไปไม่ได้ เช่นนั้นฮ่องเต้จึงไม่ได้คิดอีก หลับตาลง แล้วเผยรอยยิ้มชั่วร้าย…ตามความคิดของเขา ยิ่งขุนนางเหล่านี้ขัดแย้งกัน ยิ่งมีประโยชน์ต่อเขา เวลานี้เขาย่อมไม่แสดงความเห็นของตนเด็ดขาด เมื่อเป็นเช่นนี้ เสียงของบรรดาขุนนางก็ดังมากยิ่งขึ้น ตำหนักจินหลวนเป่าเสียงดังวุ่นวายราวกับตลาด…
ฮ่องเต้ไม่แสดงความคิดเห็น สิ่งที่ขุนนางทะเลาะกัน ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงถอยห่างจากเรื่องของมั่วเชียนเสวี่ย แล้วแปรเปลี่ยนเป็นปัญหาการสอนลูกของทั้งสองฝ่ายได้
ขุนนางฝ่ายบุ๋นบอกว่าขุนนางฝ่ายบู๊ไม่รู้จักสอนทายาท เลี้ยงดูทายาทให้กลายเป็นคนโง่เขลา โตแต่ตัว รู้จักแต่ฆ่าฟัน ไม่เข้าใจคำสอน ไม่เข้าใจจริยธรรม…
ทางด้านขุนนางฝ่ายบู๊ไม่พอใจ หัวเราะร่วนแล้วโต้กลับ “ขุนนางฝ่ายบุ๋นเช่นพวกเจ้าสอนลูกเก่งจริงๆ เหตุใดจึงเลี้ยงดูลูก…ให้กลายเป็นเอาแต่กินดื่มเที่ยวสตรีและเล่นพนัน ทำเรื่องผิดศีลธรรม…” ในเมืองหลวงย่อมมีบุตรชายบางส่วนของขุนนางฝ่ายบุ๋นทำเรื่องต่ำช้าที่พูดถึงจริงๆ
เสียงของขุนนางฝ่ายบุ๋นดังไม่เท่าขุนนางฝ่ายบู๊ ไม่มีความน่าเกรงขามเท่าขุนนางฝ่ายบู๋ เมื่อโต้เถียงกันขึ้นมาจริงๆ พูดหลักการมากมายร่ายยาว แต่เมื่อเปล่งเสียงออกมา กลับเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
แต่ละคนสีหน้าแดงก่ำ แต่ก็ทำได้เพียงชี้หน้าขุนนางฝ่ายบู๊แล้วด่าทอพวกเขาว่าพูดจาหยาบคาย ไร้ความสุภาพ
ลืมเรื่องของมั่วเชียนเสวี่ย…ไปนานแล้ว!
ขณะที่คนทั้งสองฝ่ายกำลังโต้เถียงกันอย่างร้อนแรง ฮูหยินทั้งหกคนพามั่วเชียนเสวี่ยเดินเข้ามาในท้องพระโรง
ตามด้วยเสียงของขันทีที่ดังขึ้นด้านนอก ในท้องพระโรง เงียบกริบทันที
มั่วเชียนเสวี่ยเดินตามฮูหยินทั้งหกคนเข้ามาแล้วคุกเข่าทำความเคารพฮ่องเต้
สามคนนั้นยังคงคุกเข่าในท้องพระโรง เมื่อท้องพระโรงเงียบสงัดกะทันหัน พวกเขาหนาวสั่นทันที เหงื่อแตกท่วมตัว แท้จริงแล้วเสื้อผ้าของพวกเขาเปียกและแห้ง แห้งและเปียก เป็นเช่นนี้หลายครั้งแล้ว
ขณะคุกเข่า จ้าวเอ้อร์ลอบมองภรรยาของตนเอง ทองคำหนึ่งถุงได้มาด้วยความยากลำบากจริงๆ ทั้งสองสบตากัน แล้วรีบถอนสายตากลับ
เรื่องนี้แม้จะบอกว่าเชิญฮูหยินซันกงมาตัดสินความยุติธรรม แต่ท่ามกลางฮูหยินทั้งหกคน พระชายาจิ่งชินอ๋องมีฐานันดรศักดิ์สูงสุด
ด้วยเหตุนี้ หลังจากทั้งเจ็ดคนทำความเคารพ พระชายาจิ่งชินอ๋องก็พูดขึ้น “กราบทูลฝ่าบาท หม่อมฉันและฮูหยินทั้งห้าคนพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของคุณหนูมั่วบุตรีเจิ้นกั๋วกงแล้วเพคะ นางยังไม่ได้ออกเรือนจริงๆ ฝ่าบาทได้โปรดตัดสิน คืนความยุติธรรมให้กับนางด้วยเพคะ”
เวลานี้ถึงคราวฮ่องเต้ตกตะลึง
แต่ว่าฮ่องเต้ของเรานั้นเก่งกาจ แม้ภายในใจจะตกตะลึงยิ่งนัก ก่นด่าฮองเฮาในใจว่าเป็นหญิงโง่งม มือไม่พายแล้วยังเอาเท้าราน้ำ แต่กลับไม่แสดงออกทางสีหน้าแม้แต่น้อย
คล้ายโกรธเคืองที่ถูกหลอก โมโหทันที ตะคอกปัญญาชนแซ่หนิงและสองสามีภรรยาจ้าวเอ้อร์ “ทหาร! ลากตัวสามคนนี้ออกไป ประหาร!”
ทั้งสามคนตึงเครียดมาโดยตลอด เมื่อถูกตะคอก พวกเขาตกใจจนหมดสติทันที
“ช้าก่อนเพคะ”
เสียงของมั่วเชียนเสวี่ยดังขึ้นเบาๆ ทว่ากลับทำให้ข้าราชบริพารทั้งท้องพระโรงตกตะลึง สตรีคนนี้ใจกล้าเกินไปแล้ว! เพิ่งรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่กลับกล้าท้าทายรับสั่งของฮ่องเต้ต่อหน้าผู้คน
สายตาของเหล่าขุนนางมองมา ทว่ามั่วเชียนเสวี่ยกลับทำเหมือนมองไม่เห็น นางเพียงเงยหน้าขึ้นแล้วมองทั้งสามคน “หม่อมฉันมีเรื่องจะร้องเรียนเพคะ เรื่องนี้มีเงื่อนงำ ชาวบ้านที่ยากไร้ แม้จะมีความกล้ามากเพียงใดก็ไม่กล้าใส่ความบุตรีจวนกั๋วกงที่ฝ่าบาทเป็นคนแต่งตั้งอย่างแน่นอน เกรงว่าต้องมีคนอยู่เบื้องหลัง หม่อมฉันขอให้ฝ่าบาทได้โปรดคืนความยุติธรรมให้กับหม่อมฉันด้วย สืบว่าผู้ใดคือคนบงการอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้เพคะ”
คนบงการอยู่เบื้องหลัง? เขาจะไปสืบจากผู้ใด! หากสืบพบเรื่องที่เกิดขึ้นในป่าดอกท้อ ไม่เพียงแต่ฮองเฮาเดือดร้อน แม้แต่ตัวเขาก็ต้องแบกรับผลที่ตามมาด้วย
เปลวไฟแห่งความขุ่นเคืองปะทุขึ้นในดวงตาของฮ่องเต้ สตรีโง่ฮองเฮาไม่เคยทำงานสำเร็จสักครั้ง เวลานี้เกิดปัญหาขึ้น คนที่ต้องจัดการปัญหาก็มีแค่ตนเท่านั้น
มีผู้ใดบ้างที่จะดูไม่ออกว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำ ขุนนางที่เป็นคนของตระกูลเซี่ยย่อมไม่พูด เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับขุนนางที่เป็นกลาง ดังนั้นจึงไม่เข้าไปยุ่งอย่างแน่นอน ซูชีเห็นมั่วเชียนเสวี่ยไม่เป็นอะไร เขาพอใจอย่างมาก แม้เขาอยากจะเดือดร้อนแทนมั่วเชียนเสวี่ย กระนั้นตระกูลซูก็ไม่อาจปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจได้