เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 301 แผนการ แม้ไม่ยินยอมแต่ก็ต้องพระราชทาน (1)
ตอนที่ 301 แผนการ แม้ไม่ยินยอมแต่ก็ต้องพระราชทาน (1)
“องค์หญิงเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ ฐานะสูงส่ง เมื่อทำผิดกลับกล้าที่จะแสดงความรับผิดชอบ จิตใจเช่นนี้พวกกระหม่อมนับถือ…”
เหล่าขุนนางกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน ฮ่องเต้ไม่กล่าวอันใด ราวกับว่าลำบากใจเป็นอย่างมาก
เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้ลำบากใจ องค์หญิงอวี้เหอก็เอ่ยถึงเรื่องการกตัญญูต่อบิดามารดาขึ้นมา นางกล่าวว่าตนเองสร้างความเดือดร้อนให้กับเสด็จพ่อ…
หยดน้ำตาอุ่นร้อนเอ่อคลอหน่วยตา องค์หญิงอวี้เหอสะอื้นอีกครั้ง พลางเอ่ยว่า ตนเองอกตัญญูที่ทำให้เสด็จพ่อลำบากใจ ขอให้ฮ่องเต้ไม่ต้องเป็นกังวลถึงสิ่งใดเพราะฐานะของตน หลังจากนั้นก็มีสีหน้าละอายใจ ขอรับโทษอีกครั้ง…
สุดท้ายกระทั่งบัณฑิตจย่าก็ยังเกิดความรู้สึกประทับใจ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขอร้องด้วย ฮ่องเต้สร้างสถานการณ์เต็มที่แล้ว ถึงได้กล่าวตำหนิองค์หญิงอวี้เหอเฉกเช่นฟ้าร้องเสียงดัง แต่ฝนกลับตกปรอยๆ[1] ลงโทษนางให้คัดคัมภีร์สวดภาวนาถึงพระโพธิสัตว์แล้ว ถึงได้ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป
มั่วเชียนเสวี่ยมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดเงียบๆ
ตั้งแต่สมัยโบราณการต่อสู้กันในวัง หรือกลยุทธ์ในท้องพระโรง ล้วนแล้วแต่มีความคิดที่แปลกประหลาดยากจะคาดเดา แผนการนับร้อยถูกนำออกมาใช้ แต่ไหนแต่ไรก็สนเพียงแค่ผลลัพธ์ ไม่สนใจกระบวนการ
เรื่องดำเนินมาจนถึงขั้นนี้ ก็อยู่นอกเหนือความคาดหมายของนางอยู่บ้าง แม้ว่านางจะไม่ได้เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่กลับไม่สามารถจัดการส่งอวี้เหอให้ลงสู่เหวลึกหมื่นวาอย่างที่ปรารถนาเอาไว้ได้
เมื่อเรื่องนี้ผ่านไป องค์หญิงอวี้เหอก็กลับคืนสู่ลักษณะท่าทางที่ไม่เพียงแต่สูงส่ง แถมยังเรียบง่ายเป็นกันเองอีกด้วย
นางรุกได้ถอยได้ มั่วเชียนเสวี่ยย่อมรุกและถอยได้อย่างเหมาะสมเช่นกัน
ตอนที่องค์หญิงอวี้เหอหันหน้ามา นางก็ปรับเปลี่ยนท่าทีเป็นคนใจกว้างอย่างเหมาะสมด้วยความระมัดระวังแล้ว นัยน์ตาองค์หญิงอวี้เหอมีประกายลำพองใจพาดผ่านไปเล็กน้อย ขณะมีท่าทีใกล้ชิดอ่อนโยนแฝงไปด้วยความรู้สึกเสียใจ “คุณหนูมั่ว เรื่องนี้อวี้เหอคิดไม่รอบคอบเอง โชคดีที่ไม่ได้ทำให้เกิดผลลัพธ์ร้ายแรงอันใด คุณหนูมั่วยังคงเป็นลูกหลานตระกูลขุนนางเก่าแก่เช่นเดิม คิดว่าคงจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับอวี้เหอหรอกนะ”
ยามที่พวกมั่วเชียนเสวี่ยก้าวออกจากห้องโถงด้านข้าง ก็มีขุนนางมารายงานผลการตรวจร่างกายต่อนางกับเสด็จแม่แล้ว เสด็จแม่พิโรธ ส่วนตัวนางกลับยิ้ม และลุกขึ้นมาขอเข้าเฝ้าที่ท้องพระโรง
ก่อนหน้านี้นางดูถูกศัตรูไปจริงๆ
ยากที่จะมีคู่ปรับคนหนึ่ง นางจะยอมแพ้เช่นนี้ได้อย่างไร คิดอยากจะเปลี่ยนจากผู้แพ้เป็นผู้ชนะ ก็ทำได้เพียงแค่ยอมถอยเพื่อก้าวไปข้างหน้า นางต้องการเป็นสหายกับนางต่อหน้าผู้คนในใต้หล้า และรอโอกาสที่จะทำให้นางอับอายขายหน้า
ในสายตาของผู้อื่น การยอมลดเกียรติขององค์หญิงอวี้เหอ แม้ว่าจะกระทำความผิด แต่กลับผิดแล้วใจกว้าง รู้ว่าผิดแล้วแก้ไข ไร้ซึ่งการวางมาดแม้แต่น้อย…
ทว่าในสายตาของมั่วเชียนเสวี่ยกลับมองเห็นประกายโหดร้ายเบื้องหลังศีลธรรมอันดีงาม และได้กลิ่นอายความสกปรกของแผนร้าย
แม้ว่าประโยคนี้จะไม่ได้กล่าวขอโทษชัดเจน แต่ในฐานะองค์หญิงสามารถทำจนถึงขั้นนี้นั้นนับว่าไม่ง่ายแล้ว อย่างน้อยในใจของเหล่าขุนนางทุกคนก็เป็นเช่นนี้ ถ้าหากว่ามั่วเชียนเสวี่ยยังคงยืนหยัดที่จะเรียกร้องให้องค์หญิงไปขอโทษถึงจวน เช่นนั้นก็จะกลายเป็นคนที่มองข้ามความหวังดีของผู้อื่นไป
มั่วเชียนเสวี่ยย่อมไม่ใช่คนที่มองข้ามความหวังดีของผู้อื่น ไม่รู้จักประเมินความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ จึงยิ้มเช่นกัน “องค์หญิงอวี้เหอกิริยางดงามไม่ธรรมดาอย่างคำร่ำลือจริงๆ ไม่ว่าองค์หญิงจะเชื่อหรือไม่ หม่อมฉันก็ไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยมาก่อนเพคะ”
องค์หญิงอวี้เหอยิ้ม นางย่อมยิ้มเช่นกัน ยิ้มจริงใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
“คุณหนูมั่วศีลธรรมสูงส่งงดงาม ได้รับการยกย่องว่าเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ อวี้เหอนับถืออย่างสุดซึ้ง…”
“องค์หญิงต่างหากเล่าที่เป็นแบบอย่างของสตรีที่ประพฤติตัวมีคุณธรรม หม่อมฉันยังต้องเรียนรู้จากองค์หญิงให้ดีเพคะ…”
สีหน้าของทั้งคู่เต็มไปด้วยความจริงใจ ชั่วพริบตาก็ปรองดองกันราวกับพี่น้องแท้ๆ อย่างไรอย่างนั้น เรื่องนี้จึงทำได้เพียงแค่สิ้นสุดลงตรงนี้
ในท้องพระโรง เต็มไปด้วยมิตรภาพทันที มั่วเชียนเสวี่ยได้หน้าได้ตา องค์หญิงอวี้เหอก็รักษาชื่อเสียงเอาไว้ได้หมด ขุนนางนับร้อยประทับใจในตัวสตรีทั้งสอง
นอกตำหนักมีเสียงลากยาวของขันทีดังขึ้นมาอีกครั้ง
“หัวหน้าตระกูลหนิงขอเข้าเฝ้า…”
หลังจากหัวหน้าตระกูลขุนนางเก่าแก่มีการผลัดเปลี่ยนแล้ว ตามกฎข้อบังคับจะต้องมาถวายความเคารพฮ่องเต้ที่ตำหนักเพื่อแจ้งชื่อเสียงเรียงนาม และประกาศให้ใต้หล้าได้รับรู้ทั่วกัน
การเปลี่ยนหัวหน้าตระกูลหนิงเป็นเรื่องใหญ่ในเมืองหลวง ฮ่องเต้ได้รับสาสน์กราบทูลจากตระกูลหนิงเรียบร้อย เหล่าขุนนางก็ย่อมรู้ข่าวเรื่องนี้ตั้งนานแล้ว
เขามาที่ตำหนักในยามนี้ ก็เป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดหมาย
เดิมเรื่องนี้ถึงจะเป็นเรื่องใหญ่ที่สำคัญที่สุด คิดไม่ถึงว่าเพราะเรื่องการให้ร้ายของบุตรีเมื่อครู่นี้เกือบจะทำให้ลืมเรื่องใหญ่เช่นนี้ไป
ฮ่องเต้รู้สึกอับอายขายขี้หน้าจนพูดไม่ออกอยู่บ้าง เหล่าขุนนางก็ได้สติกลับคืนมา
หนิงเซ่าชิงก้าวเดินเข้าไปพร้อมกับเสียงเคร่งขรึมที่เอ่ยว่า “ทูล…”
เขาสวมเครื่องแต่งกายสีน้ำเงินเข้ม บริเวณปกคอเสื้อ แขนเสื้อ และสาบเสื้อล้วนใช้ดิ้นเงินทองปักลายกิ่งก้านเกี่ยวกระหวัดซับซ้อนงดงาม นี่คือลวดลายที่ผู้เป็นหัวหน้าตระกูลหนิงจึงจะสามารถปักได้เท่านั้น เป็นสัญลักษณ์ของตระกูลหนิง
แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาทางประตูตำหนัก ทอประกายเจิดจ้าดึงดูดสายตา ยามที่สะท้อนกับนัยน์ตาสว่างพร่างพราว ยิ่งขับเน้นความน่าเกรงขามและความสูงส่งของตำแหน่งฐานะอย่างเห็นได้ชัด
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
หัวหน้าตระกูลขุนนางเก่าแก่เข้าเฝ้าฮ่องเต้เพียงแค่ประสานมือคำนับก็พอแล้ว หนิงเซ่าชิงย่อมไม่ทำลายกฎระเบียบเช่นกัน
หัวหน้าตระกูลหนิงเปลี่ยนคน นับตั้งแต่นี้ บนโลกใบนี้ก็จะมีคนที่ไม่ต้องคุกเข่าให้เวลาพบกับตนเองเพิ่มขึ้นอีกคน พระทัยของฮ่องเต้เป็นทุกข์ ประกายแสงในนัยน์ตาวูบวาบ หัวเราะแห้งๆ ขณะเอ่ยว่า “ยินดีกับคุณชายใหญ่หนิงที่ได้ครองตำแหน่งหัวหน้าตระกูลอันทรงเกียรติด้วย”
หนิงเซ่าชิงเพียงแค่ยิ้มบางๆ ขณะสบเข้ากับนัยน์ตาคมปลาบฉลาดเฉลียวคู่นั้นของฮ่องเต้” “ขอบพระทัยในความเป็นห่วงของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
เขาเอ่ยจบ ก็เหลือบตา หันหน้าเล็กน้อย ครั้งนี้กลับพิจารณาอยู่ที่ร่างของมั่วเชียนเสวี่ยรอบหนึ่ง แต่เมื่อเห็นว่านางไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ก็มีสีหน้าสงบเยือกเย็น ในใจก็ยิ่งมั่นคงมากขึ้น
องค์หญิงอวี้เหอยืนอยู่ข้างกายมั่วเชียนเสวี่ย ตอนที่หนิงเซ่าชิงมองมั่วเชียนเสวี่ยนั้นราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิ แต่ตอนที่สายตานั้นกวาดมองมาที่องค์หญิงอวี้เหอ กลับเย็นเยียบราวกับน้ำค้างแข็ง
หลังจากเห็นรูปร่างหน้าตาของหนิงเซ่าชิงชัดเจนแล้ว องค์หญิงอวี้เหอกลับตะลึงค้างอย่างอดไม่ได้
งดงามมาก! นางอาศัยอยู่ในวังมาหลายสิบปียังไม่เคยพบเจอบุรุษที่หล่อเหลางดงามเช่นนี้มาก่อน
ดวงดาราที่ส่องแสงพร่างพราวระยิบระยับท่ามกลางผืนฟ้ามากมาย จะงดงามเพียงใดก็มิอาจสู้ดวงหน้าสมบูรณ์แบบของบุรุษผู้นี้ได้ บุรุษผู้นี้ผ่านวัยสวมกวานมาแล้ว บุคลิกลักษณะไม่ธรรมดา เรือนผมยาวราวกับน้ำหมึกสีดำใช้แถบผ้าสีเดียวกับเครื่องแต่งกายรวบเอาไว้ด้านหลัง บนแถบผ้ามีหยกชิ้นหนึ่ง ทอประกายเจิดจ้า ขับเน้นให้ดวงหน้าของเขาน่าเกรงขามมากขึ้นส่วนหนึ่ง
คิ้วทรงกระบี่พาดเฉียง จมูกโด่งเป็นสัน นัยน์ตาคู่นั้นงดงามถึงที่สุด เย็นยะเยือกและนิ่งลึกราวกับน้ำในทะเลสาบที่ไร้ก้นบึ้ง ยามที่สายตาจับจ้องไปยังเบื้องหน้า ก็สงบนิ่งไร้ซึ่งคลื่นความรู้สึกแม้แต่น้อย แต่ทุกความเคลื่อนไหวให้ความรู้สึกสูงส่งสง่างาม งดงามไม่ธรรมดา ไม่แยแส และมีมารยาท
ใครจะไปคิดว่าบุรุษสำอางหล่อเหลาผู้นี้จะมีฐานะเป็นถึงหัวหน้าตระกูลหนิงที่ไม่ธรรมดากัน…
องค์หญิงอวี้เหอนัยน์ตาเป็นประกาย หัวใจเต้นระรัว มีเพียงแค่คนแบบนี้ ฐานะเช่นนี้ถึงจะคู่ควรกับตนเอง
เพียงแต่ เหตุใดแววตาที่เขามองมาถึงได้เย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็งเช่นนี้ เป็นเพราะวันนี้นางจงใจทำให้ตนเองมีสภาพตรอมใจ เพื่อที่จะได้รับความเห็นอกเห็นใจจากเหล่าขุนนาง จึงไม่สง่าผ่าเผยเช่นนั้นหรือ
ฮ่องเต้ไม่ได้สังเกตเห็นถึงความผิดปกติขององค์หญิงอวี้เหอ เพียงแค่ให้ความสนใจกับท่าทีที่หนิงเซ่าชิงมีต่อมั่วเชียนเสวี่ยอย่างใกล้ชิด
ตั้งแต่เข้าตำหนักมา หนิงเซ่าชิงเพียงแค่หันหน้าไปกวาดตามองมั่วเชียนเสวี่ยแวบเดียวด้วยสีหน้าเฉยเมย ทั้งยังไร้ซึ่งท่าทีทวงความยุติธรรมให้กับนางแม้แต่น้อย
ดูท่า สิ่งที่เขาวินิจฉัยเอาไว้ก่อนหน้านี้จะถูกต้อง หนิงเซ่าชิงกับมั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้ไปมาหาสู่กันโดยสิ้นเชิงแล้ว
ถ้าหากว่าหนิงเซ่าชิงสนใจมั่วเชียนเสวี่ยจริงๆ จะต้องไม่ยินยอมให้มั่วเชียนเสวี่ยกลับไปยังจวนกั๋วกงด้วยตัวคนเดียวเด็ดขาด
ถ้าหากว่าเขาสนใจมั่วเชียนเสวี่ยจริงๆ หลังจากที่ชื่อเสียงของมั่วเชียนเสวี่ยถูกทำให้แปดเปื้อน จะยังสามารถขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูลด้วยความสงบเยือกเย็น และมาถวายความเคารพยามเช้าที่ตำหนักได้อย่างใจเย็นและสุขุมเช่นนี้หรือ
ไม่มีทาง!
หากว่าหนิงเซ่าชิงมีใจให้จริงๆ ก็คงจะรับมั่วเชียนเสวี่ยไปแล้ว ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก ค่อยพากลับไปยังตระกูลหนิง มอบฐานะอนุภรรยาให้ก็เรียบร้อยแล้ว เช่นนี้ ประการแรกก็จะได้ครอบครองอำนาจทางการทหารของจวนกั๋วกง ประการที่สองสามารถจัดหาตำแหน่งภรรยาได้ตำแหน่งหนึ่ง ค่อยดึงอำนาจของอีกฝ่ายมาเป็นพวก
[1] ฟ้าร้องเสียงดัง แต่ฝนกลับตกปรอยๆ เป็นการเปรียบเปรยถึง การทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนจะยิ่งใหญ่ แต่ความจริงแล้วกลับเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น