เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 313 บ่มพิษ ความเกลียดชังของหนิงเซ่าอวี่ (1)
ตอนที่ 313 บ่มพิษ ความเกลียดชังของหนิงเซ่าอวี่ (1)
ก็แค่คนชั่วร้ายที่ก่อความวุ่นวายด้วยความอวดดีกลุ่มหนึ่งเท่านั้นเอง นางจะจัดการไม่ได้หรือไง!
ทั้งสองคนใจตรงกัน หนิงเซ่าชิงย่อมเข้าใจนาง เขายื่นมือออกมาทาบลงบนมือของนางที่ลูบแก้มตนเองไว้กลางฝ่ามือ
มุมปากยกขึ้นเป็นเส้นโค้งที่ชวนให้หลงใหล นัยน์ตาทอประกายอ่อนโยนออกมา “อย่างนั้นก็ดี ปล่อยให้เสวี่ยเสวี่ยเล่นฆ่าเวลาแล้วกัน…”
เดิมเขาก็หน้าตาดีมากอยู่แล้ว เมื่อจ้องมองมาในยามนี้ นัยน์ตาก็ปิดบังประกายขบขันที่เอ่อล้นออกมาไม่มิด เดิมทั้งสองคนล้วนคิดถึงอีกฝ่าย ในที่สุดความคิดถึงในแววตาที่จ้องมองมานั้นก็ทะลักออกมาภายใต้แสงจันทร์ที่อ่อนโยน
หนิงเซ่าชิงโอบกอดนางไว้ในอ้อมแขน แนบริมฝีปากตนเองลงไป ประสาทสัมผัสถูกรวมอยู่บนริมฝีปากเล็กคู่นั้น สิ่งอื่นๆ ทั้งหมดล้วนไร้ตัวตน
มีเพียงแค่ริมฝีปากคู่นี้เท่านี้ ถึงจะเป็นจุดที่เขาหวังว่าจะหยุดอยู่กับมันมากที่สุด
แสงจันทร์สลัวเลือนราง โลกเงียบงันไร้สุ้มเสียง
ธรรมชาติบนผืนดินทั้งหมดคล้ายกับสนับสนุนความสนิทสนมกันของคู่รักคู่หนึ่ง จนกระทั่งเสียงร้องที่ไร้ความกลมกลืนของนกกาเหว่าดังขึ้นหลายครา
อีกอย่างหัวหน้าตระกูลมั่วก็ถูกฮ่องเต้เรียกตัวเข้าวังอย่างลับๆ
อาศัยฐานะของหัวหน้าตระกูลมั่ว จะมีคุณสมบัติในการพบหน้าโอรสสวรรค์ได้อย่างไร ย่อมต้องระมัดระวังอยู่แล้ว
ตอนที่เขาไปถึง ฮ่องเต้กำลังนั่งพลิกอ่านฎีกาอยู่หน้าโต๊ะทรงพระอักษรในห้องทรงritอักษรกว้างใหญ่ เมื่อได้ยินเสียงรายงานของคนในวังด้านนอก ก็เอ่ยโดยไม่เงยพระพักตร์ขึ้นมา “ประกาศราชโองการลงไป”
ข้าวของเครื่องใช้ภายในห้องล้วนเป็นของชั้นยอด ฉากกั้นห้องที่แกะสลักด้วยไม้จื่อถานยี่สิบสี่บาน ตรงกลางใช้หยกชั้นดีแกะสลักเป็นวิวทิวทัศน์ริมระเบียง
หัวหน้าตระกูลมั่วเดินอ้อมฉากกันลมไป ตั้งสติเล็กน้อย และคุกเข่าทำความเคารพฮ่องเต้
รอจนเขาคุกเข่าทำความเคารพ ฮ่องเต้ถึงได้วางฎีกาในมือง และไม่บอกให้ลุกขึ้น หัวหน้าขันทีให้เหล่าขันทีที่รับใช้อยู่ด้านในห้องทรงพระอักษรทั้งหมดออกไปอย่างรู้ใจ
หลังจากหัวหน้าตระกูลมั่วจากไปแล้ว ทั่วทั้งพระวรกายฮ่องเต้ก็แผ่กลิ่นอายความเดือดดาลออกมา
นิ้วพระหัตถ์ของพระองค์กำพนักแขนเก้าอี้มังกรที่ทำจากทองบริสุทธิ์แน่น แววตาราวกับกระบี่สาดออกไปด้านนอก
หัวหน้าขันทีกลับรู้ว่า ฮ่องเต้เกิดความคิดที่จะสังหารคนขึ้นมาแล้ว ถ้าหากไม่ใช่ว่าคนผู้นั้นยังมีประโยชน์ ก็เกรงว่าฮ่องเต้จะคว้ากระบี่ขึ้นมาแล้วผ่าเขาออกเป็นสองส่วนด้วยพระองค์เองไปแล้ว
เดิมหลายวันมานี้ฮ่องเต้ก็อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว หัวหน้าตระกูลที่ศักดินาต่ำต้อยผู้หนึ่ง ไม่รีบนำสิ่งที่ฮ่องเต้ต้องการมาถวายให้พระองค์อารมณ์ดี แล้วยังจะกล้าเสนอเงื่อนไขให้ฮ่องเต้ปูนบำเหน็จให้อีก ดูท่าจะเบื่อหน่ายกับการมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับสายน้ำไหล พริบตาเดียวก็กลับมาจากในวังได้เจ็ดแปดวันแล้ว
ยามนี้คือเดือนห้า อุณหภูมิสูงขึ้น อากาศจึงร้อนเล็กน้อย
มั่วเชียนเสวี่ยตื่นเช้ามาก็มาฝึกเพลงกระบี่ที่ซูชีสอนนางในลานฝึกยุทธ์ ตอนนี้นางมีคู่ฝึกซ้อมด้วยแล้ว ทุกครั้งที่ฝึกเสร็จ อวี่เสวียนก็จะประลองกับนาง
อวี่เสวียนรู้สึกชื่นชมเพลงกระบี่นี้มาก นางสติปัญญาไม่แย่ ฝึกกำลังภายในขั้นสูง อวี่เสวียนก็เป็นคู่
ฝึกซ้อมที่ดีคนหนึ่ง นางเข้มงวดมาก เพียงแค่ขึ้นไปอยู่บนลานฝึกยุทธ์ ก็ไม่ได้มองมั่วเชียนเสวี่ยเป็นเจ้านาย ดังนั้น สามสี่วันมานี้ ปฏิกิริยาตอบสนองของมั่วเชียนเสวี่ยเร็วขึ้นหลายเท่าตัว และก้าวหน้าด้วยความรวดเร็ว
รอจนมั่วเชียนเสวี่ยฝึกเสร็จ เก็บกระบี่ มั่วเหนียงก็ก้าวขึ้นไปรับกระบี่ในมือนางมา และส่งผ้าเช็ดหน้าที่เตรียมเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ไปให้ พร้อมกับยื่นจานใส่ของว่างที่อยู่ในมือของชูอีไปตรงหน้ามั่วเชียนเสวี่ย พลางเอ่ยอย่างปวดใจว่า “คุณหนูใหญ่ฝึกกระบี่มาครึ่งชั่วยามแล้วนะเจ้าคะ เกรงว่าจะหิวแย่แล้ว ตรงนี้มีของว่างเล็กน้อย เมื่อกลับไปยังห้อง ล้างหน้าล้างตาแล้วค่อยรับสำรับยามเช้าดีไหมเจ้าคะ…”
ทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมาฝึกกระบี่ยามรุ่งสาง มั่วเชียนเสวี่ยล้วนให้พวกนางต้มไข่ไก่ไม่กี่ฟอง นางกินเพียงแค่ไข่ไก่ไม่กี่ฟองนั้น กับดื่มน้ำผึ้งเล็กน้อยก็ได้แล้ว
“หมัวมัว บอกกับท่านไปกี่รอบแล้วว่าอย่าให้ข้ากินๆๆ ในยามที่ข้าเพิ่งจะฝึกเสร็จ…” มั่วเชียนเสวี่ยหมดวาจาจะกล่าวอยู่บ้าง
กินมากไปแล้วออกกำลังกายนั้นไม่ดีต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก เพิ่งจะออกกำลังกายเสร็จก็กินอาหารเลยก็ไม่ดีต่อกระเพาะเช่นกัน นางเชี่ยวชาญเรื่องการดูแลสุขภาพ จะไม่รู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไรกัน
ช่วงเช้าและช่วงเย็นเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายดูดซึมโปรตีนได้ดีที่สุด รุ่งสางเพิ่งจะตื่นนอน ผ่านการนอนหลับมาทั้งคืน พลังงานในร่างกายก็ถูกใช้ไปพอสมควรแล้ว ตอนนี้เสริมโปรตีนจะถูกร่างกายดูดซึมได้ง่าย โปรตีนของไข่ไก่หลายฟองสามารถเสริมองค์ประกอบของคุณค่าทางโภชนาการในยามที่ร่างกายสูญเสียไปขณะออกกำลังกายได้
เพียงแต่น่าเสียดายที่มั่วเหนียงไม่เข้าใจถึงสิ่งเหล่านี้
นางรู้สึกว่าคุณหนูของตนเองกินมื้อเช้าน้อยเกินไป มักกลัวว่าเจ้านายตนเองจะหิว ดังนั้นทุกครั้งที่ฝึกกระบี่เสร็จแล้วมีเวลาพักเล็กน้อย ก็จะยกของว่างอย่างนั้นอย่างนี้เข้ามา มั่วเชียนเสวี่ยพูดไปกี่รอบนางก็ไม่ฟัง
ความคาดหวังในแววตานั้น ขาดเพียงแค่หยิบยัดเข้าปากมั่วเชียนเสวี่ยด้วยมือตนเองเท่านั้น
มั่วเหนียงเห็นมั่วเชียนเสวี่ยเพียงแค่ซับเหงื่อ โดยไม่ชายตามองแม้กระทั่งของว่างในจานที่อยู่ในมือนาง ก็เจ็บปวดใจจนหันหน้าไป แกล้งเอ่ยด้วยความเป็นห่วงว่า “องครักษ์อวี่ก็เหนื่อยแล้วเช่นกัน ลงไปพักสักครู่เถอะ ที่นี่มีข้ากับชูอีสืออู่คอยปรนนิบัติก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
นางกลัวว่าเมื่อมั่วเชียนเสวี่ยซับเหงื่อเรียบร้อยแล้ว อวี่เสวียนก็จะเอ่ยกับคุณหนูใหญ่ว่าโปรดพยายามมากกว่านี้อีกสักหน่อยด้วยสีหน้าเย็นชา
คุณหนูเป็นคุณหนูที่เกิดแต่ภรรยาเอก ย่อมมีคนคอยปกป้องอยู่แล้ว ไม่ได้จะเป็นจอมยุทธ์หญิงสักหน่อย จะมีวิทยายุทธ์ที่ดีขนาดนั้นไปเพื่ออะไรกัน
เมื่อเห็นอวี่เสวียนยืนนิ่ง มั่วเหนียงก็จนปัญญา แม้ว่านางจะเป็นหมัวมัวที่คอยจัดการดูแลเรื่องราวอยู่ข้างกายมั่วเชียนเสวี่ย แต่ก็ทำได้เพียงแค่ควบคุมดูแลสาวใช้กับบ่าวรับใช้น้อยใหญ่เท่านั้น อวี่เสวียนผู้นี้ไม่ใช่ข้าทาสของจวนกั๋วกง กระทั่งพ่อบ้านมั่วก็ยังต้องให้เกียรติสามส่วน โดยการเรียกนางว่าองครักษ์อวี่
องครักษ์อวี่ฟังเจ้านายเพียงคนเดียว กับคนอื่นล้วนมีสีหน้าไม่แยแส ท่าทีเหมือนกับกุ่ยซาที่มีสีหน้าเย็นชาราวกับแกะออกมาจากพิมพ์เดียวกัน
อวี่เสวียนไม่สนใจ ส่วนมั่วเชียนเสวี่ยก็เป็นเพราะหลายวันมานี้ฝึกกระบี่ได้ก้าวหน้าขึ้นในทุกๆ วัน กำลังอยู่ในช่วงกระตือรือร้น เมื่อซับเหงื่อเสร็จ ก็หยิบกระบี่จากมือมั่วเหนียงมา พลางส่งสายตาไปทางอวี่เสวียน เตรียมจะกระโดดขึ้นไปบริเวณพื้นที่ว่างเปล่าใจกลางลานฝึกยุทธ์
มั่วเหนียงรีบก้าวขึ้นไปขวางเอาไว้ เกลี้ยกล่อมไม่หยุด “คุณหนูใหญ่เจ้าคะ ทางที่ดีที่สุดวันนี้อย่าฝึกอีกเลย กินอาหารเช้าเสร็จแล้วก็ไปทักทายจย่าเหล่าฮูหยินยามเช้าที่จวนจย่าเถอะเจ้าค่ะ…เรื่องนี้ได้จัดการเรียบร้อยในหลายวันก่อนหน้านี้แล้ว เทียบเชิญก็ส่งไปแล้ว หากไปสายจะไม่ดีนะเจ้าคะ…”
ได้รับการเตือนจากมั่วเหนียง มั่วเชียนเสวี่ยถึงได้นึกออกว่าวันนี้เป็นวันนัดหมายกับจย่าฮูหยินว่าจะไปเยี่ยมเยียน จึงรีบโยนกระบี่คืนให้มั่วเหนียงแล้วเดินกลับไป พลางเอ่ยว่า “อาหารเช้านั้นไม่ต้องแล้ว อาบน้ำแต่งตัวไปจวนจย่าเลย”
เดิมที เมื่อออกจากวังก็ควรจะไปเยี่ยมเยียน เพียงแต่คิดว่าคนสมัยโบราณมีพิธีมากมาย ออกมาจากคุกหลวงมีกลิ่นอายความไม่เป็นมงคล ไม่เหมาะสมจะไปเยี่ยมเยียน ถึงได้ส่งเทียบเชิญไปนัดหมายเจ็ดวันให้หลัง
มั่วเชียนเสวี่ยที่อยู่ด้านหน้าเดินอย่างรีบร้อน มั่วเหนียงตามติดอยู่ด้านหลัง เดินไปพลางกล่าวเรื่อยเปื่อยว่า
“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ หลายวันนี้อย่าฝึกกระบี่เลยนะเจ้าคะ วันนี้หลังจากที่ท่านไปทักทายยามเช้าที่จวนจย่าแล้ว พรุ่งนี้ท่านหญิงซูซูนัดท่านออกไปเที่ยวเล่นในยามบ่าย…”
“อีกไม่กี่วันก็จะถึงเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างแล้ว ท่านยังรับปากบุตรีของตระกูลลันว่าจะไปชมบุปผาที่สวนร้อยบุปผาของตระกูลหลัน…”
“แต่ว่าต้องตัดอาภรณ์ใหม่ ไม่ควรจะสวมชุดไว้ทุกข์สีฟ้าอ่อนพวกนั้นบ่อยๆ แม้ว่าจะไม่สามารถสวมชุดที่สีสันโดดเด่น แต่ก็ให้ดูยิ่งใหญ่หน่อยก็ดีเจ้าค่ะ…”
“ยังมีบัณฑิตจย่าเชิญท่านไปสอนบทกวีที่สถานศึกษาด้วยนะเจ้าคะ…”
……
ณ จวนจย่า
จวนจย่าให้ความสำคัญกับการมาเยี่ยมเยียนของมั่วเชียนเสวี่ยในวันนี้เป็นอย่างมาก
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่มั่วเชียนเสวี่ยเป็นบุตรีบุญธรรมของจวนจย่า เพียงแค่ฐานะของนางในตอนนี้…คู่หมั้นหัวหน้าตระกูลขุนนางเก่าแก่ จวนจย่าก็จำเป็นต้องให้ความสำคัญแล้ว!
———————————————-