เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 320 ยังไม่ทันได้แต่ง พวกฝันกลางวันขอเปิดตัว (3)
ตอนที่ 320 ยังไม่ทันได้แต่ง พวกฝันกลางวันขอเปิดตัว (3)
เมื่อได้ยินหลี่อี๋เหนียงนำบุตรีของตนเองมาเปรียบเทียบกับมั่วเชียนเสวี่ย จย่าฮูหยินก็มีสีหน้ามึนตึง เอ่ยตำหนิในทันที “ไม่มีมารยาท! บุตรีภรรยาเอกกับบุตรีอนุภรรยานั้นต่างกันราวฟ้ากับดิน จะนำมาเทียบกันได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากนี้มั่วเชียนเสวี่ยก็จะกลายเป็นฮูหยินอันดับหนึ่งตระกูลขุนนางเก่าแก่ เจ้ากล้าเกินไปแล้ว ถึงกับกล้านำบุตรีที่ไม่ได้ความของเจ้าสองคนมาเปรียบเทียบ”
เจียงซื่อลุกขึ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “แม้ว่าคุณหนูรองกับคุณหนูสามจะถือกำเนิดจากท่าน แต่นางคือผู้เป็นนาย ท่านที่เป็นอี๋เหนียงคนหนึ่งวิพากษ์วิจารณ์ผู้เป็นนายนั้นมีความคิดอันใดกัน…”
นางเป็นสะใภ้ของบุตรชายคนโตจวนจย่า ขณะที่พูดย่อมแผ่กลิ่นอายน่าเกรงขามออกมา
หลี่อี๋เหนียงตกใจจนคุกเข่าลงกับพื้น และรีบร้อนเอ่ยว่า “บ่าวเลื่อมใสในกิริยาท่าทางของคุณหนูใหญ่มั่ว รีบเอ่ยพูดจึงล่วงเกินไปชั่วขณะ หวังว่าคุณหนูใหญ่มั่วจะไม่ถือโทษนะเจ้าคะ”
บรรยากาศภายในห้องตึงเครียดขึ้นมาทันที สายตาของทุกคนมองไปทางมั่วเชียนเสวี่ยโดยไม่รู้ตัว
มั่วเชียนเสวี่ยยกถ้วยชาขึ้นมา เป่าใบชาที่ลอยอยู่ด้านบนออกมา หลังจากจิบไปคำหนึ่ง ก็เอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “อี๋เหนียงกล่าวอันใดกัน” ตอนนี้นางตอบว่าถือโทษหรือไม่ถือโทษล้วนไม่เหมาะสม
ถ้าหากว่าถือโทษ ก็จะวางอำนาจมากเกินไป ถ้าหากว่าไม่ถือโทษ ก็จะปล่อยให้คนอื่นเอาตนเองไปเปรียบเทียบกับบุตรีอนุภรรยาได้
จย่าฮูหยินเห็นว่ามั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้มีสีหน้าโมโห และรู้สึกว่าอี๋เหนียงคนหนึ่งมาคุกเข่าให้กับผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบุตรีบุญธรรมของตนเองนั้นไม่เหมาะสมอยู่บ้าง จึงตวาดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดว่า “เจ้าทำอะไรกัน ยังไม่รีบลุกขึ้นมาขอบคุณคุณหนูเชียนเสวี่ยที่ใจกว้างอีก”
“ขอบคุณคุณหนูเชียนเสวี่ยเจ้าค่ะ” หลี่อี๋เหนียงลุกขึ้น แต่ปากนางกลับยังไม่หุบ
และเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “บ่าวกำลังคิดว่า คุณหนูเชียนเสวี่ยร่างกายบอบบาง ข้างกายย่อมจำเป็นต้องมีคนดูแลเอาใจใส่ สาวใช้เหล่านั้น แม้ว่าจะมีความสามารถ แต่ก็มีบางอย่างที่มองไม่เห็น บางเรื่องที่ทำไม่ได้ ไม่สู้ให้หว่านรั่วกับหว่านหรูไปปรนนิบัติท่านที่จวนกั๋วกง ติดตามอยู่ข้างกายท่าน แม้ว่าพวกนางจะโง่งมอยู่บ้าง แต่ก็ทำงานได้ มือไม้ย่อมอ่อนนุ่มกว่าสาวใช้เหล่านั้นอยู่บ้าง ติดตามท่านไปเร็วหน่อย ก็ยังสามารถเรียนรู้บุคลิกคุณหนูตระกูลใหญ่ได้เล็กน้อย ท่านเห็นเป็นเช่นไรเจ้าคะ”
วาจานี้ฟังเผินๆ นั้นน่าฟังมาก
ทว่า เมื่อฟังให้ละเอียดแล้วกลับรู้สึกหงุดหงิด
เมื่ออี๋เหนียงเอ่ยจบแล้ว บุตรีทั้งสองคนก็มีสีหน้าแดงระเรื่อขึ้นมา
ถ้าหากมั่วเชียนเสวี่ยยังฟังไม่ออกถึงความหมายในวาจานี้ โทรทัศน์กับนิยายพวกนั้นก็คงดูและอ่านอย่างเสียเปล่าแล้ว
อายุประมาณสิบห้าปี เป็นอายุที่ต้องออกเรือนพอดี
พูดว่าวางไว้ข้างกายตนเองเพื่อเรียนรู้สิ่งต่างๆ แต่ความจริงแล้วจะให้ตนเองนำสองคนพี่น้องกลับไปยังจวนกั๋วกงก่อน เพื่อให้น้องสาวสองคนนี้เป็นเดิม รอจนถึงเวลาแต่งเข้าตระกูลหนิงก็จะแต่งตามเข้าไปด้วยกัน
ตระกูลขุนนางและตระกูลใหญ่ในสมัยโบราณล้วนมีประเพณีแต่งสตรีที่ติดตามข้างกายภรรยาเอกเข้าไปในบ้านสามี
หากสตรีสูงศักดิ์ที่จะแต่งงานมีพี่สาวน้องสาวเยอะ ตอนออกเรือนล้วนนำบุตรีอนุภรรยาหนึ่งหรือสองคนแต่งไปด้วยเพื่อคอยช่วยเหลือ
อาศัยฐานะภรรยาเอกของตนเอง เพียงแค่รอถึงตอนแต่งงาน พวกนางแต่งเข้าไปก็เป็นอนุภรรยา และเป็นถึงกุ้ยเชี่ย[1]
กุ้ยเชี่ยของหัวหน้าตระกูลขุนนางเก่าแก่ ตำแหน่งฐานะไม่สูงไปกว่าเหนียงเหนียงในวังแต่ก็ต่ำกว่าไม่เท่าไร
ทว่า ตนเองยังไม่ทันจะได้แต่งงาน ก็มีคนคิดจะยัดคนมาไว้ข้างกายนางแล้ว ในใจนางย่อมรู้สึกแย่อยู่บ้าง มั่วเชียนเสวี่ยมองไปทางจย่าฮูหยิน นางอยากรู้ว่านี่เป็นแผนการของนางหรือว่าอี๋เหนียงผู้นี้คิดเองตัดสินใจเอง
แววตาของจย่าฮูหยินก็มีความประหลาดใจเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าไม่รู้เรื่องนี้ แต่กลับดูเหมือนจะไม่ได้มีทีท่าคัดค้านอะไร บนใบหน้ามีแววครุ่นคิด
มั่วเชียนเสวี่ยยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มไปคำหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ ขอเพียงแค่ไม่ใช่ความต้องการของจย่าฮูหยิน ขอเพียงแค่จย่าฮูหยินไม่ได้เป็นคนวางแผนเล่นงานนาง คนอื่นจะคิดอย่างไร นางล้วนไม่สนใจ
มั่วเชียนเสวี่ยไม่พูดอะไร จย่าฮูหยินก็กำลังไตร่ตรอง ภายในเรือนหน่วนเก๋อจึงเงียบกริบในทันที
เจียงซื่อกับเหยาซื่อต่างก้มหน้าลง ไม่สนใจรอบด้าน และในขณะเดียวกันนั้นก็ยกถ้วยชาขึ้นมา โนเวล-พีดีเอฟ
จางอี๋เหนียงมีสีหน้าริษยา หลี่อี๋เหนียงผู้นี้มักจะมีแผนการตลอด ไม่เพียงแต่ทำให้ฮูหยินยิ้มเเย้มเบิกบานใจ ยังสามารถตั้งครรภ์ติดต่อกันได้ถึงสองครา เพียงแต่ว่า ทั้งสองครรภ์นี้ล้วนเป็นบุตรี
หลังจากนางริษยาแล้ว ก็ลอบถอนหายใจที่ตนเองโชคไม่ดี
บัณฑิตในครอบครัวยากจนคนหนึ่งจะนิสัยใจคอดีเช่นไร ก็เป็นแค่ตัวเปล่า ในบ้านมีห้องหับอยู่ไม่กี่ห้อง ที่นามีไม่มาก ทั้งครอบครัวมีบ่าวรับใช้ที่อายุมากแล้วไม่กี่คน จะนำมาเปรียบเทียบกับกุ้ยเชี่ยที่สูงศักดิ์ในตระกูลขุนนางได้อย่างไร
ถ้าหากบุตรสาวของตนเองยังไม่ได้หมั้นหมาย ก็จะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ หลี่อี๋เหนียงกลับรู้สึกตื่นเต้นมาก มองจย่าฮูหยินอย่างรอคอย เรื่องนี้ขอเพียงแค่จย่าฮูหยินพยักหน้า คุณหนูเชียนเสวี่ยย่อมไม่มีความเห็นอันใด
หว่านหวายังคงนั่งเฉยๆ อยู่ตรงนั้น ร่างกายไม่ขยับ ศีรษะไม่เขยื้อน ราวกับคนที่ไม่รู้สึกอะไรกับสถานการณ์ตรงหน้านี้
หว่านรั่วกับหว่านหรูจิกผ้าเช็ดหน้าในมืออย่างอดไม่อยู่ ตื่นเต้นจนบิดไปบิดมาอยู่กลางฝ่ามือ นิ่งเงียบกันอยู่ครู่หนึ่ง จย่าฮูหยินก็มีสีหน้าจริงจัง คิดว่าคงจะตัดสินใจได้แล้ว “ความจริงแล้วที่หลี่อี๋เหนียงพูดมาก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล” แม้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้คล้อยตามและเห็นด้วยกับความหมายในคำพูดของนาง แต่กลับรู้ว่านางหวังดี จึงหาวาจาอ้อมค้อมมาโต้เถียงไม่ได้ไปชั่วขณะ
เมื่อเห็นมั่วเชียนเสวี่ยไม่กล่าววาจา จย่าฮูหยินก็เข้าใจความรู้สึกดี นางก็เป็นบุตรีภรรยาเอก นับตั้งแต่สมัยโบราณมีภรรยาเอกคนไหนบ้างที่ชอบสิ่งที่เรียกว่าอนุภรรยา ภรรยาเอกกับอนุภรรยา บุตรีภรรยาเอกกับบุตรีอนุภรรยา ก็คือศัตรูตามธรรมชาติ ใครก็ล้วนเห็นว่าอีกฝ่ายขัดตา
แต่ว่า ไม่ใช่ว่าขัดตาแล้วจะอยู่ร่วมกันไม่ได้ ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าหัวหน้าตระกูลขุนนางไม่รับอนุภรรยา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสุดยอดหัวหน้าตระกูลขุนนางเก่าแก่เลย เชียนเสวี่ยไม่มีมารดา เป็นเพราะความดื้อดึงของกั๋วกงในปีนั้น มั่วเชียนเสวี่ยจึงไม่มีน้องสาวแต่งตามไปด้วย เรื่องมาถึงวันนี้ มีเพียงนางที่เป็นมารดาบุญธรรมต้องชี้แนะด้านนี้ให้มากหน่อย
คิดถึงตรงนี้ นางก็พยายามเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล โน้มน้าวว่า “เชียนเสวี่ย เจ้าก็อย่าคิดมาก แม่บุญธรรมไม่ได้อยากจะยัดคนไปไว้ข้างกายเจ้า เพียงแต่ว่า จวนกั๋วกงมีบุตรีเพียงคนเดียว เจ้ากับตระกูลมั่วก็ไม่ลงรอยกัน ข้างกายไม่มีพี่สาวน้องสาวที่พูดคุยกันได้ ถ้าหากว่าในภายหน้าแต่งงานเข้าตระกูลหนิงไป แม้ว่าเจ้าจะมีบุญคุณช่วยชีวิตต่อหัวหน้าตระกูลหนิง แต่บุญคุณนี้จะอยู่ได้นานเท่าใด ถึงตอนนั้นเกรงว่าตบมือข้างเดียวไม่ดัง ทำสิ่งใดย่อมไม่เกิดผล…พวกนางสองคนข้าเห็นมาตั้งแต่เล็กจนโต แม้ว่าจะไม่ได้มีความสามารถเก่งกาจอะไร แต่นิสัยก็นุ่มนวลอ่อนหวาน ไม่เก็บอะไรไว้ในใจ…” ความหมายโดยนัยคือควบคุมได้ง่าย
ความรู้สึกระหว่างคนสองคน บุคคลที่สามไม่มีวันที่จะเข้าใจ หากมองจากมุมมองของจย่าฮูหยิน การจัดการเช่นนี้ไม่ใช่แผนการรักษาอำนาจและความโปรดปรานให้มั่นคง แต่นางคิดเผื่อมั่วเชียนเสวี่ยทั้งนั้น มีตระกูลใดบ้างที่ไร้สาวใช้หน้าตาสะสวยสองสามคนติดตามเจ้าสาวไปในยามแต่งงาน
แต่…นางจะรู้ได้อย่างไรว่ามั่วเชียนเสวี่ยไม่ต้องการ หนิงเซ่าชิงยิ่งไม่มีทางอนุญาต
มั่วเชียนเสวี่ยยังคงไม่พูดจา มั่วเหนียงที่ปรนนิบัติอยู่ด้านข้างสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าถูกจย่าฮูหยินโน้มน้าวให้เห็นด้วย จึงลอบแตะมั่วเชียนเสวี่ยเบาๆ “ความปรารถนาดีของจย่าฮูหยิน…”
อีกประการหนึ่ง แม้ว่าชูอีกับสืออู่เคยพูดให้นางฟังว่ากูเหยียเคยลั่นวาจาไว้ว่าในภายภาคหน้าจะแต่งงานกับคุณหนูใหญ่เพียงผู้เดียว แต่ความจริงในใจนางไม่เชื่อ อย่างน้อยก็ไม่อาจวางใจได้ บุรุษเช่นมั่วเทียนฟ่างสูญพันธ์ไปจากโลกใบนี้นานแล้ว
อีกอย่าง สถานการณ์ระหว่างคนทั้งคู่ก็ไม่เหมือนกันแม้แต่น้อย มั่วเทียนฟ่างสู่ขอเฟิงชิงอวี่เพื่อตบแต่งเป็นภรรยา ตอนนั้นทุกคนล้วนรู้สึกว่าเป็นการอาจเอื้อม ตอนนี้มั่วเชียนเสวี่ยจะตบแต่งให้กับหนิงเซ่าชิง ทุกคนก็รู้สึกว่าเป็นการอาจเอื้อมเช่นกัน
ทว่า อาจเอื้อมที่ว่านี้…ไม่ใช่อาจเอื้อมเดียวกัน
[1] กุ้ยเชี่ย คืออนุภรรยาที่มาจากตระกูลใหญ่หรือตระกูลขุนนาง แต่อาจเป็นลูกที่เกิดจากอนุภรรยาในตระกูลนั้นๆ