เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 336 ม้าพยศ ซูชีปกป้องภาพวาดสุดกำลัง (2)
ตอนที่ 336 ม้าพยศ ซูชีปกป้องภาพวาดสุดกำลัง (2)
สำหรับเรื่องวิชากระบี่ คุณหนูใหญ่มีคำถามจะถามคุณชายซูชีมากมาย ระยะหลังมานี้ วิชากระบี่ของคุณหนูใหญ่พัฒนาขึ้นมาก วิชากระบี่ที่คุณชายซูชีสอน แม้กระทั่งองครักษ์อวี่ก็กล่าวชมไม่หยุด
แม้วิชากระบี่นี้จะมีกระบวนท่าไม่มาก แต่ยิ่งคุณหนูฝึกฝนจนชำนาญ ยิ่งเห็นความเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์ของวิชากระบี่ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ทำให้คุณหนูดีใจยิ่งนัก แต่ก็ไม่เข้าใจว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร คุณหนูรอคุณชายซูชีมาให้คำชี้แนะนานแล้ว แต่คุณชายซูชีกลับงานยุ่งยิ่งนัก กว่าจะมาสักครั้งยากอย่างยิ่งยวด มิเช่นนั้น นางคงไม่มารายงาน
ขณะพูด ชูอีชำเลืองมองไปที่ท่านหญิงซูซูครู่หนึ่ง ทั้งยังพูดหยั่งเชิง “คุณหนูมีแขกคนสำคัญ วันนี้ไม่สะดวกที่จะฝึกกระบี่ ข้าน้อยไปบอกคุณชายซู ให้เขามาวันหน้ายามมีเวลาว่างดีหรือไม่เจ้าคะ”
เมื่อได้ยินว่าซูชีมา มือของท่านหญิงซูซูที่จับแก้วน้ำชาสั่นเทาเล็กน้อย
มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้มองสีหน้าของท่านหญิงซูซูอย่างถี่ถ้วน นางตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ไม่ต้อง ท่านหญิงซูซูไม่ใช่คนนอก ไปบอกซูชี ประเดี๋ยวข้าจะไปหา อย่าให้เขารีบร้อนกลับไปก่อน” ประจวบเหมาะนางสวมชุดทะมัดทะแมงพอดี แม้แต่เสื้อผ้าก็ไม่ต้องเปลี่ยน
หลังจากสั่งชูอีเสร็จ มั่วเชียนเสวี่ยมองไปที่ท่านหญิงซูซู “หากซูซูเหนื่อย เช่นนั้นก็พักผ่อนในห้องของข้าก่อน เจ้าไม่รู้อะไร ปกติแล้วซูชีงานยุ่งยิ่งนัก วันนี้เขาอุตส่าห์มีเวลามาก ข้ามีคำถามมากมายอยากให้เขาชี้แนะ ข้าขอตัวประเดี๋ยว”
“ไม่ล่ะ ซูซูเองก็อยากเห็นวิชากระบี่ของเชียนเสวี่ย จะพลาดโอกาสดีๆ เช่นนี้ได้อย่างไร”
“ได้ อวี่เสวียนไปหยิบกระบี่มา พวกเราไปกันเถอะ!”
เจตนาของมั่วเชียนเสวี่ยคือพาท่านหญิงซูซูไปฝึกกระบี่กับนาง แต่ว่าอยู่ต่อหน้าจางหมัวมัวเช่นนี้นางไม่สะดวกที่จะพูด ในเมื่อซูซูเป็นคนเสนอ เช่นนั้นย่อมดีที่สุด
เมื่อวานซูชีส่งท่านหญิงซูซูกลับจวนนางก็สงสัยมากอยู่แล้ว ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ แค่ว่า ซูซูไม่พูดถึง เช่นนั้นนางก็ไม่สะดวกที่จะถาม
เวลานี้ มั่วเชียนเสวี่ยเองก็ไม่เกรงใจแล้ว นางจับมือท่านหญิงซูซูแล้วเดินออกไป
เพิ่งเดินไปถึงหน้าประตูเรือน เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าภาพวาดที่นางเคยรับปากซูชีวาดเสร็จแล้ว เท้าที่ก้าวเดินหยุดชะงัก มั่วเชียนเสวี่ยหันข้างเล็กน้อยมองไปทางมั่วเหนียงที่เดินตามหลัง บอกให้หมัวมัวไปหยิบกล่องเก็บภาพวาดที่อยู่บนชั้นหนังสือมา แล้วตามไปให้ที่ลานฝึกยุทธ์ในป่าไผ่
มั่วเหนียงเงียบ ตั้งสติ แล้วขานรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นเดินกลับไปที่ห้อง
มอบกล่องเก็บภาพวาดให้ซูชีเร็วเท่าใด นางก็ยิ่งสบายใจมากเร็วเท่านั้น
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคราวก่อน นางจำได้เป็นอย่างดี แม้ครั้งนั้นคุณหนูใหญ่จะเป็นฝ่ายยอม แต่เรื่องเช่นนี้ มีครั้งแรกได้แต่ไม่อาจมีครั้งที่สอง หากเกิดขึ้นอีกครั้ง นางไม่กล้ารับปากว่าสิ่งที่กลายเป็นผุยผงจะเป็นภาพวาด หรือเรือนหลังนี้ หรือว่าจะเป็น…บรรดาสาวใช้อย่างพวกนาง หรือว่าจะเป็น…คุณหนู
ไม่อาจล้อเล่นกับความขุ่นเคืองของกูเหยียจริงๆ! เศษภาพวาดบนพื้นในวันนั้น ในตอนหลังนางเป็นคนเข้าไปเก็บกวาด ภาพวาดกลายเป็นผุยผงจนไม่รู้จะเป็นผุยผงอย่างไรแล้ว
คำพูดนี้ ผู้อื่นอาจจะไม่สนใจ ทว่า กุ่ยซาที่อยู่นอกเรือนเสวี่ยหว่านได้ยิน กลับมีลำแสงแล่นผ่านแววตาของเขา
ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น ในมุมลับ กุ่ยซาดีดนิ้ว
ผู้ที่ได้รับการดีดนิ้วซึ่งเป็นสัญญาณลับ ต้นไม้ที่อยู่ไกลๆ สั่นเทา มีองครักษ์ลับลอบออกมาจากป่าไผ่
ซูชีเห็นท่านหญิงซูซูเดินตามหลังมั่วเชียนเสวี่ย สีหน้าของเขาไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก ความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายฉายออกมาจากแววตาของเขา
แต่เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยเห็นซูชี นางก็ดึงตัวซูซูมาด้านหน้า “ซูชี วันนี้เจ้ามาได้เวลาจริงๆ ประเดี๋ยวตอนกลับไป ช่วยส่งซูซูกลับจวนหน่อย”
สีหน้าของซูชีแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ทว่ายังเปื้อนยิ้ม “ประเดี๋ยวสอนเจ้าเสร็จ ข้าต้องรีบกลับสำนักแม่ทัพเก้าประตู เจ้าให้องครักษ์ไปส่งท่านหญิงซูซูเถอะ”
เวลานี้มั่วเหนียงนำกล่องเก็บภาพวาดมาพอดี มั่วเชียนเสวี่ยยกมือขึ้น มั่วเหนียงรับรู้ ยื่นกล่องเก็บภาพวาดให้นาง
นางรับกล่องเก็บภาพวาดมา แล้วส่งสายตาให้ซูชี ขยับปากพูดโดยไร้ซึ่งเสียง ‘เจ้ายังอยากจะได้ภาพวาดนี้หรือไม่’
แน่นอนว่าสิ่งที่อยู่ในกล่องคือภาพวาดน่ารักศิลปะการต่อสู้สิบแปดแขนงของซูชี
“ข้าไปส่งเอง” ซูชียอมประนีประนอมด้วยความจนปัญญา นัยน์ตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความดีใจ
ท่านหญิงซูซูยืนด้านหลังมั่วเชียนเสวี่ย แม้จะมองไม่เห็นสีหน้าของมั่วเชียนเสวี่ย แต่นางรู้ดีว่าซูชีไม่อยากไปส่งนาง ทว่าในตอนหลังเพราะกล่องนั้นทำให้สีหน้าของเขาโอนอ่อนลง นางเห็นอย่างชัดเจน
แม้จะสงสัยว่าในกล่องนั้นคือภาพวาดล้ำค่าใด แต่นางสงสัยความสัมพันธ์ของมั่วเชียนเสวี่ยและซูชีมากกว่า แต่ว่า นางตัดสินใจแล้ว หลังจากกลับจวน นางจะเอาภาพวาดที่เสด็จพ่อเก็บสะสมบางส่วนไปให้ซูชี
ทั้งสองไม่ได้พูดสิ่งใดมากมาย ระหว่างซูชีและมั่วเชียนเสวี่ยคนหนึ่งอธิบายวิชากระบี่ สอนอย่างละเอียด คนหนึ่งตั้งใจฟัง และตั้งใจฝึกฝน ระหว่างพวกเขาดูเข้ากันได้เป็นอย่างดี แม้คนนอกอยากจะพูดแทรกก็ไม่อาจแทรกได้
ถึงแม้มั่วเชียนเสวี่ยและซูชีจะไม่ได้พูดคุยเรื่องอื่น แต่ปฏิสัมพันธ์ที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดีของทั้งสองล้วนอยู่ในสายตาของท่านหญิงซูซู มองดูทั้งสองที่สนิทสนมกัน ดูท่าไม่ได้เพิ่งรู้จักกันอย่างแน่นอน
ตระกูลซูและจวนกั๋วกง เป็นจริงตามคาด ทั้งสองตระกูลรู้จักกันมานานแล้วจริงๆ พวกเขาสองคนนั้นน่าจะเป็นสหายกันตั้งแต่เล็ก แต่ว่า เมื่อก่อนนางกลับไม่เคยได้ยินว่าจวนกั๋วกงและตระกูลซูมีความสัมพันธ์กัน…ช่างเถอะ คราหน้ามาจวนกั๋วกงอีกครั้งต้องถามเชียนเสวี่ยอย่างละเอียดว่าซูชีชอบสตรีเช่นไรกันแน่
ท่านหญิงซูซูอิจฉารูปแบบความสัมพันธ์ของมั่วเชียนเสวี่ยและซูชีเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดใจ โชคดีที่เชียนเสวี่ยหมั้นหมายแล้ว มิเช่นนั้น นางคงจะคิดว่าพวกเขามีความสัมพันธ์กัน
อีกด้านหน้าตอนที่มั่วปี้หรุ่ยและมั่วปี้หรงถูกพาไปที่เรือนเฝ่ยชุ่ยและเรือนหู่พั่ว พวกนางทั้งสองโมโหจนหน้านิ่วคิ้วขมวด นี่คือเรือนที่ให้พวกนางอยู่เช่นนั้นหรือ
ไม่เพียงแค่ห่างจากเรือนเสวี่ยหว่าน แต่ทั้งเก่าและทรุดโทรม สภาพของเรือนราวกับไม่ได้ซ่อมแซมมานาน ยืนอยู่ที่หน้าประตู ก็ได้กลิ่นอันไม่พึงประสงค์แล้ว…
ผอจื่อที่เดินมาส่งกลับไปทันทีที่มาถึงหน้าเรือน พวกนางทำความเคารพเล็กน้อยก็กลับไปแล้ว
สีหน้าของมั่วปี้หรงบูดบึ้งขึ้นมาทันที ไม่อยากจะเข้าไปในเรือนแม้แต่น้อย สาวใช้ที่ติดตามนางมาดันมองสถานการณ์ไม่ออก พูดด้วยสีหน้ารังเกียจ “อยู่ในเรือนนี้ได้จริงๆ หรือเจ้าคะ คุณหนู พวกเรากลับกันเถอะเจ้าค่ะ”
“พี่หก เห็นชัดว่าพ่อบ้านรังแกพวกเรา พวกเราไปหาพี่เก้า พี่สิบเอ็ดและพี่สิบห้าให้พวกพี่ออกหน้าทวงความยุติธรรมแก่เรากันเถอะ พวกเขาอยู่ในจวนเป็นเวลานานแล้ว พ่อบ้านไม่มีอำนาจเหนือพวกเขาแน่นอน”
มั่วปี้หรุ่ยอายุมากกว่าหนึ่งปี ถึงอย่างไรก็ควบคุมอารมณ์ได้มากกว่า นางคว้ามั่วปี้หรงเอาไว้ ความเป็นจริงตอนอยู่ที่ตระกูลมั่วพวกนางไม่ถูกกัน แต่เวลานี้ แน่นอนว่าต้องร่วมมือกัน “น้องแปด เจ้าโง่หรือ ทั้งหมดนี้เพียงแค่ฟังก็รู้ว่าเป็นเจตนาของมั่วเชียนเสวี่ย เห็นชัดว่าเมื่อครู่หลังจากมั่วเหนียงกล่าวชื่อเรือนจบ มั่วเชียนเสวี่ยไม่คัดค้านแม้แต่น้อย เรือนในจวนกั๋วกงดีหรือไม่ดี มั่วเชียนเสวี่ยจะไม่รู้ได้อย่างไร”
ดวงหน้าของมั่วปี้หรงบูดบึ้ง เงียบและไม่พูดสิ่งใด
มั่วปี้หรุ่ยเกลี้ยกล่อม “เจ้าก็อย่าใจร้อน ขอเพียงพวกเราได้รับความเอ็นดูจากหัวหน้าตระกูลหนิง พี่น้องร่วมใจกัน แล้วจะมีที่ของมั่วเชียนเสวี่ยได้อย่างไร”
“อืม หรงเอ๋อร์ฟังพี่หกทุกอย่างเจ้าค่ะ” มั่วปี้หรงคิดได้แล้ว ขอเพียงอยู่ต่อ ก็จะมีโอกาส รอให้นางได้ขึ้นเป็นอนุภรรยา เช่นนั้นมั่วเชียนเสวี่ยได้เห็นดีแน่
———————————————-