เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 389 ขอเพียงนางยังมีชีวิตอยู่ (5)
ตอนที่ 389 ขอเพียงนางยังมีชีวิตอยู่ (5)
ในเมื่อมีความตั้งใจแล้ว เฟิงอวี้เฉินจึงอยู่ต่อ ลอบสังเกตหลันรั่วเมิ่งเงียบๆ
เฟิงอวี้เฉินในอดีต ที่ไม่เคยสนใจสตรีอื่น เมื่อสนใจแล้ว เขากลับพบว่า…
หลันรั่วเมิ่งเป็นสตรีจิตใจดีที่แท้จริง นางไม่ใช่หญิงเสแสร้ง ทั้งยังมากความสามารถ เป็นหญิงพูดน้อย ผู้สามารถคลายความบาดหมางระหว่างสตรีชั้นสูงได้ นอกจากนี้ ดูเหมือนว่านางจะดูแคลนการแก่งแย่งชิงดีของเหล่าสตรีเรือนในอีกด้วย…
สตรีเช่นนี้ ทำให้เขาชื่นชม
ทว่า เพียงแค่ชื่นชมเท่านั้น
เฟิงอวี้เฉินไม่ใช่คนยืดยาด เมื่อถูกใจนางแล้ว เขาก็ชั่งน้ำหนักในใจ ทำการตัดสินใจทันที
คืนวันเดียวกันเขากลับไปยังจวนของตระกูลเฟิงที่อยู่ในเมืองหลวง ส่งจดหมายนกพิราบกลับไปที่จวน
เหตุเพราะเรื่องของเฟิงชิงอวี่ในอดีต ทำให้บรรดาผู้อาวุโสมีความคับข้องใจกับฮ่องเต้คนปัจจุบัน จึงไม่สะดวกที่จะเดินทางเข้าเมืองหลวง ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้พวกเขาไม่เคยย่างกายเข้ามาในเมืองหลวงเลย
เรื่องของมั่วเชียนเสวี่ยเมื่อคราวก่อน ท่านผู้อาวุโสเฟิงที่แก่ชราถึงขั้นเกือบจะเดินทางเข้าเมืองหลวง อ้อนวอนฮ่องเต้ให้เห็นแก่ชายชราเช่นเขา แต่โชคดี สุดท้ายลมเปลี่ยนทิศ เกิดเรื่องน่าตกใจแต่ไม่เป็นอันตราย ท่านผู้อาวุโสเฟิงจึงไม่ได้เดินทางมา
เรื่องที่มั่วเชียนเสวี่ยได้รับสมรสพระราชทาน ตระกูลเฟิงทราบเรื่องมานานแล้ว
แม้จะบอกว่าเฟิงชิงอวี่เคยรับปากที่จะยกมั่วเชียนเสวี่ยให้เฟิงอวี้เฉิน อีกทั้งบรรดาผู้อาวุโสก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้แล้ว แต่เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นมากมาย จึงได้แต่ปล่อยผ่านสัญญานั้นไป
มั่วเชียนเสวี่ยมีชีวิตรอดปลอดภัย ถือเป็นเรื่องที่ดีมากแล้ว ทั้งยังได้ตบแต่งไปยังตระกูลที่ดีกว่า ยิ่งถือว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้าย
เฟิงอวี้เฉินตัดใจได้ ชมชอบบุตรตีระกูลหลันที่มีฐานะทัดเทียมกัน บรรดาผู้อาวุโสตระกูลเฟิงต่างสบายใจยิ่งนัก แล้วจะไม่เห็นด้วยได้อย่างไร
ผู้อาวุโสตอบกลับจดหมายทันที บอกให้เฟิงอวี้เฉินดูท่าทีของตระกูลหลันก่อน
การแต่งงานคือเรื่องใหญ่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ย่อมต้องถามความเห็นของฝ่ายหญิงก่อนจึงจะทาบทามสู่ขอได้
ทั้งสองตระกุลล้วนมีบรรดาศักดิ์ เป็นตระกูลที่มีตำแหน่ง ในเทียนฉีถือว่าเป็นตระกูลที่มีอำนาจ หากเกิดปัญหาขึ้น วางตัวลำบากเป็นเพียงเรื่องเล็ก แต่หากทำให้สองตระกูลผิดใจกันเพราะเรื่องนี้ เกรงว่าจะกลายเป็นเรื่องตลกของตระกูลชั้นสูง
เมื่อวาน เฟิงอวี้เฉินได้รับจดหมายตอบกลับจากตระกูลเฟิง เขาจึงนัดหมายหลันเหวินเซวียนคุณชายใหญ่ตระกูลหลันออกมาดื่มน้ำชา เพื่อดูทีท่าของอีกฝ่าย
หลังจากคุณชายใหญ่ตระกูลหลันดื่มน้ำชาเสร็จ ก็กลับตระกูลหลันทันที
การแต่งงานของตระกูลชั้นสูง ไม่ใช่แค่บุตรีแต่งงานออกเรือนเท่านั้น พวกเขายังต้องชั่งน้ำหนักหลายๆ ด้าน
สำหรับเรื่องนี้ หัวหน้าตระกูลหลันเห็นด้วยอย่างมาก นี่คือการปองดองของสองตระกูลใหญ่ ในเทียนฉี บุรุษที่มีฐานันดรศักดิ์เช่นเฟิงอวี้ฉิน บุรุษที่มากความสามารถเช่นนี้ จะมีสักกี่คน
ไม่พูดถึงเรื่องที่ว่าเฟิงอวี้เฉินเป็นหัวหน้าตระกูลคนต่อไปของตระกูลเฟิง ที่ได้มีการตกลงกันภายในแล้ว ลำพังเพียงใบหน้าที่หล่อเหลา เก่งทั้งบุ๋นและบู๊ของเขา ทั้งยังได้ยินว่ากระทั่งเวลานี้เขายังไม่มีสาวใช้ห้องข้างแม้แต่คนเดียว…ลำพังข้อสุดท้าย ก็ทำให้นายหญิงตระกูลหลันยิ้มแก้มปริแล้ว
เมื่อทราบเรื่อง หลันรั่วเมิ่งก้มหน้าลง ยิ้มด้วยความเขินอาย
คนทั้งตระกูลหลันต่างเห็นด้วยกับเรื่องนี้ ตอนกลางคืน ส่งสมุดผูกดวงไปให้เฟิงอวี้เฉิน ตามธรรมเนียมของเทียนฉี ขอเพียงฝ่ายหญิงส่งสมุดผูกดวงก็เท่ากับว่าเห็นด้วยกับการแต่งงานในครั้งนี้ รอฝ่ายช่ายนำสมุดผูกดวงไปผูกแปดอักษรก็พอแล้ว
เมื่อผูกแปดอักษรเสร็จ ฝ่ายหญิงผ่านพิธีปักปิ่น ฝ่ายชายก็สามารถมาสู่ขอได้ หลังจากนั้นก็นัดหมายเวลาหารือเรื่องพิธีต่างๆ หลังจากนั้น…
ในห้องหนังสือ เฟิงอวี้เฉินที่ถือสมุดผูกดวงเอาไว้ ภายในใจของเขารู้สึกหนักอึ้งยิ่งนัก
เขารู้มานานแล้วว่าเรื่องระหว่างเขากับเสวี่ยเอ๋อร์เป็นไปไม่ได้ แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเรื่องนี้เข้าจริงๆ เขากับใจสลายยิ่งนัก
สมุดผูกดวงนี้ ขอเพียงส่งกลับไปยังเรือนตระกูลเฟิงที่หยางโจว เรื่องนี้ก็จะถูกตัดสินแล้ว ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อีก
…….
ใช้เวลาเพียงไม่นานเตาหนูก็รู้แล้วว่าหญิงวิปลาสที่โผเข้าหานายท่าน คือสตรีตระกูลใด
เป็นสตรีตระกูลใหญ่จริงๆ!
แต่ว่า สำหรับตระกูลหนิงแล้ว เป็นเพียงตระกูลเล็กๆ เท่านั้น
ตระกูลสวี่ที่มั่งคั่งนี้ เป็นตระกูลร่ำรวยในทะเลสาบพระจันทร์เสี้ยวซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ตระกูลสวี่ ไม่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง แต่เลื่องชื่อในทะเลสาบพระจันทร์เสี้ยว
ที่ดินกว่าครึ่งหนึ่งริมทะเลสาบพระจันทร์เสี้ยว รัศมีสิบจั้งล้วนเป็นของตระกูลสวี่ หากใช้คำพูดของคนในท้องถิ่นมาบรรยายก็คือ ดื่มน้ำในทะเลสาบพระจันทร์เสี้ยวแล้ว แม้จะถ่ายเบาก็ถ่ายเบาบนที่ดินของตระกูลสวี่ เป็นปุ๋ยให้ตระกูลสวี่
ตระกูลสวี่ร่ำรวยเงินทอง แต่กลับไม่ร่ำรวยผู้คน เมื่อถึงรุ่นของท่านผู้เฒ่าสวี่ เขาไม่เพียงมีภรรยาหลวง แต่ยังมีอนุภรรยามากมาย แต่กลับมีทายาทเพียงคนเดียวซึ่งเป็นหญิงผู้คลั่งไคล้บุรุษ
คุณหนูสวี่คนนี้ ดูปกติดี แต่ว่าในทุกฤดูวสันต์ของทุกปียามดอกไม้ผลิบาน อาการหลงใหลบุรุษของนางก็จะกำเริบ
ดังนั้น ฤดูวสันต์ในทุกปี ตระกูลสวี่จะขังคุณหนูของพวกเขาเอาไว้ในห้อง ไม่ให้นางออกมาทำตัวขายหน้า
แต่ว่า ครั้งนี้ ทั้งที่เข้าสู่ฤดูคิมหันต์แล้ว เมื่อหลายวันก่อนคุณหนูสวี่ก็ปกติดี ทว่าคิดไม่ถึงเมื่อพบเจอนายท่านแล้ว พบเจอทุ่งดอกไม้ อาการป่วยของนางก็กำเริบ
แค่ว่า ยังไม่รอเตาหนูไปหา คนตระกูลนั้นก็เริ่มกระวนกระวายแล้ว
เรื่องทำร้ายขอทาน เป็นเรื่องใหญ่ ตัวตนของหนิงเซ่าชิงและมั่วเชียนเสวี่ย ไม่อาจปิดบังได้
เดิมที…
เดิมที ตอนที่ท่านผู้เฒ่าสวี่ได้ยินบ่าวรับใช้มารายงาน ทั้งยังเห็นแก้วตาดวงใจของเขากลับมาอย่างเปียกโชก เขาโมโหเป็นฟืนเป็นไฟจะคิดบัญชี
แต่ว่า กลับถูกแก้วตาดวงใจของเขาห้ามปรามเอาไว้ นางร้องไห้ฟูมฟาย “ท่านพ่อ ท่านบอกว่าจะหาสามีให้ข้า วันนี้ลูกอยู่ที่ริมทะเลสาบพระจันทร์เสี้ยว ชมชอบบุรุษคนหนึ่ง ท่านพ่อได้โปรดพาตัวเขากลับมา มาเป็นสามีของลูก…”
คำพูดของนาง ชัดเจนอย่ารงมาก แม้หญิงวิปลาสสวี่จะร้องไห้ฟูมฟาย แต่ท่านผู้เฒ่าสวี่ก็ตั้งใจฟังสิ่งที่นางพูด ในอดีตบุตรีก็เคยทำเรื่องขายหน้า ทว่าไม่เคยพูดอย่างมีสติเช่นนี้มาก่อน ไม่เคยบอกว่าจะมีสามี ไม่เคยบอกว่าต้องการบุรุษ
ยามอาการป่วยของนางกำเริบ นางจะยิ้มแล้วมองบุรุษอย่างเหม่อลอย หลังจากนั้นก็เดินตามหลังบุรุษไป
ครั้งนี้ เกรงว่าจะไม่ใช่อาการป่วยแล้ว
ครุ่นคิด แก้วตาดวงใจของเขาก็เข้าพิธีปักปิ่นแล้ว เมื่อมีสามี ไม่แน่ว่าวันข้างหน้าโรคคลั่งไคล้บุรุษอาจจะหายดีก็ได้
ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด ชิงตัวมาก่อนค่อยว่ากัน ตระกูลสวี่ร่ำรวยเช่นนี้ บุรุษคนใดบ้างที่จะไม่ยอม
ด้วยเหตุนี้ ท่านผู้เฒ่าสวี่และบ่าวรับใช้ จึงออกไปด้วยความน่าเกรงขามและระคนไปด้วยความดีใจ แค่ว่า ไปถึงครึ่งทาง ก็ได้ยินคนบอกว่า ทางด้านนั้นมีการฆ่ากัน…
ท่านผู้เฒ่าสวี่มีชีวิตจนถึงทุกวันนี้ได้ย่อมไม่ใช่คนโง่เขลา เมื่อได้ยินว่ามีการสังหารกัน เขาไม่กล้าเดินหน้าต่อ แน่นอนว่าย่อมสั่งให้บ่าวรับใช้ไปสืบ
หลังจากนั้น คนของแม่ทัพเก้าประตูก็มา…
หลังจากนั้น ตัวตนของหัวหน้าตระกูลหนิงและคุณหนูกั๋วกงก็ถูกเปิดเผย…
หลังจากนั้น ท่านผู้เฒ่าสวี่ก็รีบกลับเรือนทันที…
สิ่งแรกที่เขาทำคือจัดการแก้วตาดวงใจของตนเอง…ส่งนางไปอยู่บ้านไร่ เพื่อเลี่ยงความวุ่นวาย
เรื่องที่สองคือไปหาเส้นสาย…เริ่มตั้งแต่สมัยของท่านปู่ ตระกูลหนิงเคยส่งคนมา หารือกับตระกูลสวี่ ให้พวกเขาขายที่ดินอันล้ำค่านี้ ท่านปู่ของเขาไม่ยอม ท่านพ่อของเขาไม่ยอม แน่นอนว่าเขาก็ไม่ยอมเช่นเดียวกัน
ตระกูลหนิงมั่งคั่งร่ำรวย ไม่ได้อาศัยกำลังและความรุนแรง ทั้งยังไม่ได้ลอบสังหารผู้ใด แต่อาศัยคุณธรรม อาศัยความน่าเชื่อถือ อาศัยความฉลาดหลักแหลม อาศัยวิถีการค้าที่ถูกต้อง
มิเช่นนั้น คงไม่อยู่ยืนยาวเช่นนี้
แน่นอน ตระกูลสวี่ของเขาอยู่มาถึงทุกวันนี้ได้ เป็นเพราะตระกูลหนิงไม่ได้ต้องการจะครอบครองที่ดินผืนนั้นให้ได้ และเพราะตระกูลสวี่มีสายสัมพันธ์ที่ดีในเมืองหลวง มากไปกว่านั้นเป็นเพราะตระกูลหนิงไม่แหกกฎเกณฑ์เพื่อเรื่องแค่นี้…
—————————–