เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 416 ไฟไหม้ทำลายจวนกั๋วกงราบเป็นหน้ากลอง (1)
ตอนที่ 416 ไฟไหม้ทำลายจวนกั๋วกงราบเป็นหน้ากลอง (1)
“สั่งการลงไป พรุ่งนี้ข้าจะต้องได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับองค์หญิงอวี้เหอทั่วเมืองหลวง พูดไปว่าองค์หญิงอวี้เหอประพฤติตัวไม่เหมาะสม มีสัมพันธ์กับองครักษ์ในวังหลวง…อย่างไรที่น่ารังเกียจก็เอ่ยอย่างนั้น”
องค์หญิงอวี้เหอผู้นี้ เขาไม่มีทางปล่อยนางไปง่ายๆ เด็ดขาด!
เชียนเสวี่ยไม่ให้เขาสอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องในเรือนหลัง แต่เขาสามารถลอบกระพือข่าวที่ไม่ดี ทำให้ชื่อเสียงขององค์หญิงอวี้เหอเสียหายจนมิกล้าออกจากวังนับแต่นี้ไป
กุ่ยซาพยักหน้ารับคำ คำสั่งนี้ตรงกับความต้องการของเขาพอดี สตรีนางนี้หาญกล้าเกินไปแล้ว ถึงกับวางแผนเล่นงานสตรีของนายท่านครั้งเเล้วครั้งเล่า รนหาที่ตายจริงๆ
กุ่ยซารับคำสั่งแล้วก็จากไป แต่หนิงเซ่าชิงกลับนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยขึ้นตามหลังเขา “กลับมา”
“ครั้งหน้าหากพบว่าอวี้เหอผู้นี้ยังวางแผนลับหลังอันใดอีก ไม่ต้องรายงานคุณหนูใหญ่มั่ว แต่ส่งคนให้กับสหายที่อยู่ใต้บังคับบัญชาเจ้าได้เลย…”
“…” กุ่ยซาเหงื่อตก นั่นคือองค์หญิง เป็นองค์หญิงที่ประสูติแต่ฮองเฮา ไม่ใช่คณิกาที่หลับนอนกับผู้คนไปทั่ว แต่ เขาที่คุ้นชินกับการเชื่อฟังนายท่านตลอดมา จึงยังคงตอบไปว่า “…ขอรับ”
นายท่านไม่กลัวแล้วเขาจะกลัวอะไร อวี้เหอสูงศักดิ์ ถูกรักและทะนุถนอมมาตั้งแต่เยาว์วัย เหล่าสหายโชคดีแล้ว กุ่ยซารับคำสั่งด้วยความเย็นชาแล้วก็ลอยตัวจากไปอย่างรวดเร็ว ราวกับกลัวว่านายท่านจะเรียกกลับไปอีก
รอจนกุ่ยซาจากไปไกลแล้ว หนิงเซ่าชิงที่นิ่งไปครู่หนึ่ง ก็หมุนกายลอยตัวจากไปเช่นกัน
ทว่า หนิงเซ่าชิงเพิ่งจากไปไม่นาน ก็มีคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากที่ลับตาคน ลอยตัวไปตามทิศทางของหนิงเซ่าชิง พลางยิ้มเย็น
คนผู้นี้คือ บุรุษอาภรณ์สีฟ้า ผู้สวมหน้ากากที่คอยสังเกตความเคลื่อนไหวต่างๆ ในจวนกั๋วกงมาโดยตลอด บุรุษผู้นี้ยืนอยู่ในเงามืด ด้านหลังคล้ายกับมีลมพัดแผ่วเบา จากนั้นก็ค่อยๆ รวมตัวกันเป็นคนชุดดำที่ปิดบังหน้าตากลุ่มหนึ่ง
ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวเบาๆ นั่นแล้ว บุรุษอาภรณ์สีฟ้าก็เอ่ยเสียงเบาแต่ชัดเจนอย่างที่สุด โดยไม่หันหน้ากลับมา “หนิงเซ่าชิงจากไปแล้ว สั่งการลงไป แจ้งให้ทุกคนทราบว่า จะลงมือในยามจื่อ[1]คืนนี้”
คนชุดดำที่ยืนอยู่หน้าสุดหลังบุรุษอาภรณ์สีฟ้าเอ่ยเสียงเบา “ขอรับ”
คนชุดดำกระจายตัวแยกย้ายกันไป
ยามจื่อ ค่ำคืนอันเงียบสงัด
“อากาศร้อนอบอ้าว สิ่งต่างๆ แห้งแล้ง จุดเทียนระวังไฟไหม้”
เกิงฟูที่ทำหน้าตีฆ้องบอกเวลา เพิ่งจะรายงานบอกเวลาไป ด้านนอกจวนกั๋วกงก็เต็มไปด้วยเมฆดำทะมึน
เพียงแค่พริบตาเดียว เหนือจวนกั๋วกงก็ปรากฏเงามืดจำนวนนับไม่ถ้วน พุ่งทะยานไปทางนอกและในจวนกั๋วกงราวกับมีดวงตาก็มิปาน
ครู่หนึ่ง เงาดำนอกจวนกั๋วกงเหล่านั้นก็รวมตัวกันเป็นกลุ่ม เงาดำในจวนกั๋วกงกลับหลบซ่อนตัวอยู่ในความมืด
ดูท่า องครักษ์ลับที่อยู่นอกจวนมากมายยังไม่ทันได้ส่งเสียงอะไร ก็ถูกคนกลุ่มนี้จัดการเสียก่อนแล้ว
มิอาจโทษพวกองครักษ์ลับว่าฝีมือย่ำแย่ได้ แต่เป็นเพราะตำแหน่งของพวกเขาล้วนเปิดเผยหมดแล้ว ศัตรูก็ลงมือฉับพลันโดยพวกเขาไม่ทันได้ตั้งตัว
บุรุษอาภรณ์สีฟ้าที่สวมหน้ากากเห็นเงาดำด้านยอกรวมตัวกันเรียบร้อยแล้ว ก็ส่งสัญญาณมือหนึ่ง เงาดำเหล่านั้นก็พุ่งทะยานเข้าไปในจวนกั๋วกงทั้งหมดทันที
เงาดำพวกนั้นทะยานเข้าไปในจวน แต่บุรุษอาภรณ์สีฟ้ากลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่านอกจวนไม่มีเงาร่างของผู้ใดปรากฏตัวขึ้นมา เขาก็แตะปลายเท้าลอยตัวเข้าไปในจวนกั๋วกง มุ่งตรงไปยังเรือนเสวี่ยหว่าน เสียงลมลอยเข้าหู กุ่ยซาขยับ
มือของบุรุษอาภรณ์สีฟ้าถือกระบี่เล่มยาว กุ่ยซาที่อยู่ท่ามกลางแรงกดดัน ต่อสู้กันอย่างดุเดือดครู่หนึ่ง บุรุษอาภรณ์สีฟ้าตกเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด จึงหาโอกาสลอยตัวหนีไปนอกจวน
คนผู้นี้สวมหน้ากาก แต่กลับทำให้กุ่ยซารู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง ก็นึกขึ้นได้ว่านายท่านตามสืบเรื่องเกลือเป็นหนอนและผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังอยู่
กุ่ยซากัดฟัน เขาไม่อาจพลาดโอกาสที่ดีขนาดนี้ไปได้ นายท่านตามหาคนผู้นี้มานานมาก จะกล่าวเช่นไร ก็ไม่อาจคลาดกันได้
หันกลับไปมองเรือนที่สงบเงียบแวบหนึ่ง พลางส่งสัญญาณลับ เสียงนกกาเหว่าดังขึ้น รอบด้านเงียบสงัด เรือนเสวี่ยหว่านมีการป้องกันที่แข็งแกร่งจนมิอาจบุกรุกเข้าไปได้ กุ่ยซาจึงไม่พะวงอันใดอีก ลุกขึ้นติดตามไปยังทิศทางที่บุรุษอาภรณ์สีฟ้าหายตัวไป
กุ่ยซาตามออกไป บริเวณค่อนข้างห่างไกลจากเรือนเสวี่ยหว่านในจวนกลับมีเงาคนปรากฏขึ้นมา
เงาร่างคนแปลกหน้าปรากฏตัวขึ้นมา องครักษ์ลับก็เคลื่อนไหว สองฝ่ายประมือกัน เสียงอาวุธกระทบกันดังไปทั่ว
เสียงดังขนาดนี้ย่อมสร้างความตระหนกให้กับหน่วยลาดตระเวนในจวน
วันนี้คนที่เข้าเวรคือมั่วเหยียน สิ่งแรกที่เขาคิดถึงคือต้องปกป้องเรือนเสวี่ยหว่าน ทว่า ระหว่างทางโลดแล่นไปกลับมีคนกลุ่มหนึ่งมาขวางทางพวกเขาเอาไว้
เมื่อเห็นท่าไม่ดี มั่วเหยียนก็รีบชี้คนในหน่วยคนหนึ่ง “รีบออกจากจวน ไปรายงานตระกูลหนิง…”
ทว่าคนที่จะไปรายงานยังไม่ทันจะก้าวเท้าแม้แต่ครึ่งก้าว ก็สิ้นชีพเสียแล้ว
“ฆ่า! ฝ่าวงล้อมออกไปปกป้องคุณหนูใหญ่”
“ฆ่า!”
เสียงเอ่ยฆ่าดังขึ้น องครักษ์และองครักษ์ลับในจวนล้วนถูกทำให้ตื่นตระหนก ทว่า เพียงแค่เป็นเส้นทางที่เข้าใกล้เรือนเสวี่ยหว่านล้วนถูกปิดตาย คิดจะเข้าไป ก็ทำได้แค่ฝ่าเข้าไป
ในขณะเดียวกัน ด้านนอกที่สู้รบกันขึ้นมา เสียงดังโหวกเหวกไปทั่ว แต่ภายในเรือนเสวี่ยหว่านกลับเงียบกริบ
คนชุดดำสองคน อาศัยความมืดลอบเข้าไป
หลังจากคนหนึ่งปล่อยงูฝูงหนึ่ง แล้วค้นหาของทั่วห้อง
คนหนึ่งลากมั่วเชียนเสวี่ยออกมาจากผ้าห่ม แบกเอาไว้บนบ่า
คนที่แบกมั่วเชียนเสวี่ยเอาไว้ เอ่ยเสียงเบากับคนที่ค้นของอยู่ “จื่อเยี่ย เจ้าค้นให้ละเอียดหน่อย อย่าได้ปล่อยให้มีที่ใดตกหล่น”
มั่วจื่อเยี่ยยังคงค้นหาต่อไป แต่ปากกลับเอ่ยวาจาที่เจือไปด้วยความไม่พอใจ “จื่อฮว่า เจ้าวางใจได้ แม้ว่าจะข้าจะตกหล่น แต่งูของข้าไม่มีทางปล่อยผ่านลมปราณประหลาดใดๆ แน่นอน”
มั่วจื่อฮว่าที่แบกมั่วเชียนเสวี่ยอยู่คล้ายจะวางใจ “เช่นนั้นก็ดี”
มือที่รื้อของของมั่วจื่อเยี่ยหยุดชะงัก สาดนัยน์ตาโหดเหี้ยมไปทางมั่วเชียนเสวี่ย พลางแค่นเสียงเบา “ฆ่านางเสียจะได้ลดความยุ่งยาก ยังจะต้องการพยานปากที่รอดชีวิตอันใดอีก ยุ่งยากเสียจริง”
“พร่ำบ่นให้มันน้อยๆ หน่อย”
“พี่สิบเอ็ดเล่า”
“ไม่ต้องสนใจเขา เขาเป็นบัณฑิตขลาดเขลาผู้หนึ่ง ปกติพูดมาก แต่ในช่วงเวลาสำคัญกลับใช้การไม่ได้”
“บัณฑิตสมควรตาย มักจะขี้ขลาด”
“อย่าพูดพล่ามอีกเลย เจ้าตามหาที่นี่ต่อไป ข้าจะไปส่งคนก่อน ผู้นำตระกูลกำลังรออยู่”
มั่วจื่อฮว่าเขย่าร่างมั่วเชียนเสวี่ยที่อยู่บนบ่า เพื่อให้สะดวกต่อการแบก หลังจากนั้นก็ก้าวเท้าเดินออกไปข้างนอก
การเขย่าของเขา ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยที่นอนสะลึมสะลืออยู่รู้สึกตัวอยู่บ้าง
แต่เหนื่อยสายตัวแทบขาดมาตลอดวันเช่นนี้ ร่างกายอ่อนล้าย่อมเป็นเรื่องธรรมดา หน้าประตูมีหมัวมัวกับ อวี่เสวียนเฝ้าอยู่ ข้างนอกก็มีกุ่ยซาเฝ้าอยู่ ผู้ที่สามารถเข้ามาในเรือนและเข้าใกล้นางได้ก็มีเพียงแค่คนเดียว…หนิงเซ่าชิง
นางละเมออย่างหงุดหงิด “เซ่าชิง…อย่ากวน…”
ร่างกายรู้สึกไม่สบายเล็กน้อย มั่วเชียนเสวี่ยยกมือขึ้นตี จากนั้นศีรษะก็หนักอึ้ง ปล่อยให้ตนเองหลับต่อไปอย่างง่วงงุน
“เหอะ…เป็นสตรีเเพศยาจริงๆ! จื่อเยี่ย เจ้าดูสิ ถูกวางยาให้สับสนมึนงงแล้วยังรู้จักเอ่ยชื่อคนคนนั้นอีก ดูท่าก่อนหน้านี้คงมีการนัดพบกันเป็นการส่วนตัวไม่น้อยแน่นอน!”
มั่วจื่อฮว่าเดินไปถึงหน้าประตู คิดไปคิดมาก็ไม่ได้จากไปก่อน แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หันกลับมา เพราะเขาไม่วางใจให้มั่วจื่อเยี่ยทำภารกิจคนเดียว! มั่วจื่อเยี่ยยังคงรื้อของไปทั่ว และสื่อสารกับฝูงงูของเขาบ่อยๆ จึงไม่มีวาจาอันใดจะกล่าวสำหรับการหันกลับมาของมั่วจื่อฮว่า
ได้ยินวาจาของมั่วจื่อฮว่าแล้ว เขาก็ไม่ปฏิเสธ
“สตรีเเพศยานางนี้เหมือนกับมารดาผู้นั้นของนาง ล้วนมีชื่อเสียงในเรื่องการใช้ความงามหลอกล่อให้ผู้คนลุ่มหลง แค่เห็นนางสามารถยั่วยวนหนิงเซ่าชิงได้ก็พิสูจน์แล้วไม่ใช่หรือว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น มีอันใดน่าประหลาดใจกัน”
[1] ยามจื่อ คือเวล่า 23.00 – 24.59 น.