เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 417 ไฟไหม้ทำลายจวนกั๋วกงราบเป็นหน้ากลอง (2)
ตอนที่ 417 ไฟไหม้ทำลายจวนกั๋วกงราบเป็นหน้ากลอง (2)
มั่วจื่อฮว่าพยักหน้า คิดในใจว่าก็ใช่
“เจ้าเร็วหน่อย จะหาเจอไหม”
“รีบร้อนอะไร ใครจะไปรู้ว่าสตรีแพศยานางนี้ซ่อนของไว้ที่ใด ห้องนอนใหญ่ขนาดนี้ก็ต้องค้นหาอย่างละเอียดไม่ใช่หรือ! ถ้าหากเจ้ารีบ เจ้าก็พานางล่วงหน้าไปก่อนเลยสิ!”
มั่วจื่อฮว่าที่ได้ยินวาจานั้นก็ถูกทำให้พูดไม่ออกทันที!
ถ้าหากไม่กลัวว่ามั่วจื่อเยี่ยทำงานเชื่อถือไม่ได้ เขาจะอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
แม้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะสะลึมสะลือ มึนงงสับสน แต่วาจาของสองคนนี้กลับไม่เลี่ยงคำต้องห้ามเลยแม้แต่น้อย แม้ว่านางจะทั้งเหนื่อยทั้งง่วง แต่ก็ไม่ใช่คนตาย ย่อมต้องตื่นขึ้นมาเป็นธรรมดา
เมื่อได้ยินเช่นนั้น มั่วเชียนเสวี่ยก็ตกใจไม่มีที่สิ้นสุด!
มั่วจื่อเยี่ย? มั่วจื่อฮว่า?
สองคนนี้ถึงกับลอบเข้าห้องนอนของนางในยามวิกาล?
แม้ว่าในใจจะหวาดกลัว คิดจะรวบรวมเรี่ยวแรง แต่กลับพบว่ามือของตนเองยกไม่ขึ้น นี่…ถูกเล่นงานแล้ว? โดนเมื่อไรกัน
ขณะที่สงบเยือกเย็น มั่วเชียนเสวี่ยก็โคจรกำลังภายในที่มั่วเหนียงมอบให้นาง หวังว่าจะสามารถฟื้นฟูเรี่ยวแรงบางส่วนได้อย่างรวดเร็ว
ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า ในบรรดาเรื่องราวทั้งหมดนี้จะต้องมีคนแอบให้การสนับสนุนพวกเขาแน่นอน! มิเช่นนั้นเรือนเสวี่ยหว่านที่แข็งแกร่งจนยากจะบุกทะลวงเข้ามาจะถูกบุรุษสองคนนี้ลอบเข้ามาได้เช่นไร กุ่ยซาที่อยู่นอกเรือนตายไปแล้วหรือ
ในเมื่อไม่มีใครเข้ามาช่วยจากข้างนอก เช่นนั้นก็ต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่นอน!
แม้จะโคจรกำลังภายใน มั่วเชียนเสวี่ยกลับพยายามทำให้ตนเองมีท่าทีผ่อนคลาย เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้พวกเขาสองคนพบเบาะแสอะไร!
ในที่สุด หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง มั่วจื่อเยี่ยที่หาอะไรไม่พบ ก็เริ่มตามหาด้วยความหงุดหงิดบ้างแล้ว
“มารดามันเถอะ! สตรีแพศยานางนี้ซ่อนของไว้ที่ใดกันแน่ ถึงได้หาไม่พบสักที!”
มั่วจื่อฮว่าพิจารณามองห้องนอนห้องนี้ครู่หนึ่ง ก็คิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
“พอแล้ว พวกเราก็หาแล้ว หาไม่เจอก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ อย่างไรคนก็อยู่ในมือพวกเราแล้ว ผู้นำตระกูลก็ไม่ได้สั่งว่าต้องหาของชิ้นนั้นให้พบ ขอเพียงแค่ส่งคนไปยังสถานที่ที่กำหนดไว้ ผู้นำตระกูลไม่มีทางกล่าวโทษพวกเราหรอก”
“แต่ว่า?” มั่วจื่อเยี่ยยังคงรู้สึกไม่ยินยอมอยู่บ้าง อย่างไรเสียอสรพิษของเขาก็เป็นของล้ำค่าที่หาได้ยาก ของที่กระทั่งอสรพิษยังหาไม่พบนั้นทำให้เขารู้สึกสนใจขึ้นมาเล็กน้อย
มั่วจื่อฮว่าเขย่ามั่วเชียนเสวี่ยเบาๆ พลางเอ่ยอย่างหงุดหงิดว่า “มีอันใดแต่ว่าไม่แต่ว่ากัน ใกล้จะถึงเวลาแล้ว พวกเราต้องรีบจากไป ไม่เช่นนั้นจะเสียเรื่องได้ รีบหน่อย อย่าเอ่ยวาจาไร้สาระอีก!”
มั่วจื่อเยี่ยคิดไปคิดมา ก็รู้ว่าสถานที่แห่งนี้ไม่เหมาะสมที่จะอยู่นาน ดังนั้นจึงพยักหน้า
มั่วจื่อฮว่าเห็นมั่วจื่อเยี่ยพยักหน้าแล้วก็หมุนตัวเดินออกไปข้างนอก
มั่วเชียนเสวี่ยเดือดดาล คิดจะพานางไป? ไม่มีทาง!
ถ้าหากให้พวกเขาส่งไปยังสถานที่ที่ระบุเอาไว้จริงๆ จะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เกรงว่าเซ่าชิงจะต้องตามหาตนเองอย่างเป็นบ้าเป็นหลังแน่นอน ถึงตอนนั้นทำเกินเลยลงไป ถูกผู้อื่นจับจุดอ่อนได้ ก็ท่าไม่ดีแล้ว
ด้วยความเร่งรีบ มั่วเชียนเสวี่ยยื่นมือออกไป ในมือปรากฏเข็มเงินสามเล่มขึ้นมาทันที แม้ว่าในยามนี้มั่วเชียนเสวี่ยจะฟื้นฟูเรี่ยวแรงกลับมาได้บางส่วนแล้ว แต่ท่ามกลางความมืด ประการแรกคือฝังเข็มได้ยาก ประการที่สองคือถูกแบกเอาไว้ จุดสำคัญนี้นางเอื้อมไม่ถึง แม้ว่าจะเอื้อมถึง ก็จะทำให้มั่วจื่อฮว่าตกใจ การลอบโจมตีนี้ก็จะไม่ประสบผลสำเร็จแน่นอน
ดังนั้น นางจึงแทงเข็มลงไปบริเวณแผ่นหลังช่วงล่างของมั่วจื่อฮว่าอย่างแรงโดยไม่สนใจอะไรอีก ให้ดีที่สุดคือสามารถทำให้ช่วงล่างของเขาไร้ความรู้สึกแล้วล้มลงบนพื้นเป็นอัมพาตไปในครั้งเดียว
มั่วจื่อฮว่าถูกเข็มเงินโจมตีกะทันหัน ทั้งยังเป็นบริเวณแผ่นหลังช่วงล่าง จึงเจ็บจนวิงเวียนศีรษะ และโยนมั่วเชียนเสวี่ยออกไปตามปฏิกิริยาตอบสนอง จากนั้นก็ล้มลงไปร้องโหยหวนบนพื้น!
นอกจากศีรษะกับทรวงอกแล้ว แผ่นหลังช่วงล่างเป็นจุดที่อ่อนแอที่สุดของร่างกายคนเรา
อีกทั้งมั่วเชียนเสวี่ยก็แทงลงไปเต็มแรงภายใต้ความเดือดดาล ผลลัพธ์ไม่ต้องคิดก็รู้!
“จื่อฮว่า! เจ้าเป็นอะไร” มั่วจื่อเยี่ยที่เพิ่งจะออกมาจากด้านในห้อง บวกกับตอนนี้ฟ้ามืด จึงมองไม่เห็นทัศนียภาพด้านนอกแม้แต่น้อย เพิ่งจะก้าวข้ามธรณีประตูออกมา ก็เห็นมั่วจื่อฮว่าร้องโหยหวนแล้ว ใจย่อมกระตุก!
จะกล่าวว่าช้า แต่กลับเร็ว!
ในตอนนี้ มั่วเชียนเสวี่ยที่ถูกมั่วจื่อฮว่าโยนทิ้งเมื่อครู่นี้ก็อาศัยแรงหมุนตัวกลางอากาศแล้วลงไปยืนบนพื้น
นางรู้ดีว่ามิอาจพลาดโอกาสนี้ไป จึงพุ่งทะยานไปทางมั่วจื่อเยี่ยทันทีอย่างมิกล้ารีรอ!
มั่วเชียนเสวี่ยย่อมรู้ดีว่าตนมีน้ำหนักตัวเท่าใด อาศัยวรยุทธ์ที่นางฝึกได้ครึ่งๆ กลางๆ มาหนึ่งเดือนกว่านี้ของตนเอง เป็นไปไม่ได้ที่จะจัดการบุรุษสองคนนี้ในเวลาเดียวกัน!
อีกทั้ง นางก็รู้จากองครักษ์ลับนานแล้วว่ามั่วจื่อฮว่ากับมั่วจื่อเยี่ยล้วนเป็นคนมีวรยุทธ์!
ตอนนี้ความได้เปรียบของนางมีเพียงแค่ฉวยความมืดในยามค่ำคืน จู่โจมฉับพลันในขณะที่อีกฝ่ายยังเผอเรอ!
ถ้าหากให้พวกเขาสองคนสังเกตเห็น แม้ว่าวันนี้จะไม่ได้ตายที่นี่ ก็ต้องถูกตีสลบแล้วส่งไปยังสถานที่ที่ระบุไว้อะไรนั่นแน่นอน
ทว่า มั่วเชียนเสวี่ยคิดง่ายเกินไป! สามารถกล่าวได้ว่ามั่วจื่อฮว่าถูกนางทำให้บาดเจ็บจากการจู่โจมฉับพลันในขณะที่อีกฝ่ายยังเผอเรอ แต่มั่วจื่อเยี่ยนั้นไม่เหมือนกัน!
ตอนที่เขาได้ยินเสียงร้องของมั่วจื่อฮว่า ก็มีการระแวดระวังตัวแล้ว!
เขาเป็นผู้ควบคุมอสรพิษมาแต่ไหนแต่ไร เชี่ยวชาญการฟังเสียงลมและแยกแยะทิศทาง ดังนั้นในตอนที่มั่วเชียนเสวี่ยพุ่งตัวมาทางเขา ก็หลบการโจมตีสุดแรงของมั่วเชียนเสวี่ยไปได้!
“สตรีแพศยา คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้าจะได้สติแล้ว! ดูท่าพวกเราจะดูแคลนเจ้าเกินไป!”
มั่วจื่อเยี่ยที่เอียงร่างหลบวูบ ก็ยืนอยู่บนขั้นบันได
ตอนนี้มั่วเชียนเสวี่ยยืนอยู่ในตำแหน่งที่มั่วจื่อเยี่ยยืนอยู่เมื่อครู่นี้ มั่วจื่อเยี่ยย่อมเห็นรูปโฉมของนางได้ชัดเจน
แม้ว่าในใจเขาจะประหลาดใจที่มั่วเชียนเสวี่ยได้สติเร็วขนาดนี้ แต่กลับยังคงตั้งสติได้อย่างมั่นคง พลางจ้องมองมั่วเชียนเสวี่ยด้วยแววตาไม่สบอารมณ์
มั่วเชียนเสวี่ยในตอนนี้ได้สลัดความอ่อนหวานและความสุขุมที่สตรีชนชั้นสูงมีทั้งหมดในเวลากลางวันทิ้งไป ทั้งสรรพางค์กายแผ่กลิ่นอายดุร้ายออกมาจากภายใน! นางมีสติได้ เกรงว่าเป็นเพราะนางเคยกินยาป้องกันการถูกเล่นงานที่หมอประหลาดให้มาพวกนั้น
แต่ทว่า ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาวิเคราะห์ มั่วเชียนเสวี่ยถูกคนผู้นี้ด่าว่าสตรีแพศยาก็เกิดโทสะขึ้นมานานแล้ว จึงไม่มีท่วงท่าของสตรีที่มีจิตใจดีงามอะไรอีก นางด่าว่า “คนสารเลว ไว้หน้าเจ้าแล้วเจ้าไม่รับไว้ ใครมอบความกล้าให้กับพวกเจ้ากัน”
มั่วจื่อเยี่ยไม่เห็นนางอยู่ในสายตา เอ่ยอย่างเหยียดหยามว่า “ไม่สำเหนียกความสามารถของตนเอง!”
คุยกันไม่ถูกคอ กล่าววาจาครึ่งคำก็มากเกินแล้ว เสี้ยวพริบตาเดียวทั้งสองคนก็ปะทะกันอีกรอบแล้ว!
มั่วจื่อเยี่ยฝึกวรยุทธ์ตั้งแต่วัยเยาว์ งานอดิเรกเขาคือเลี้ยงอสรพิษ ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างร้ายกาจ วิทยายุทธ์ก็ไม่เลว
อย่างน้อย มั่วเชียนเสวี่ยคิดจะต่อสู้กับเขา ก็ต้องสิ้นเปลืองกำลังอยู่บ้าง เคล็ดกระบี่ของมั่วเชียนเสวี่ยมีซูชีเป็นผู้สอน ไม่อ่อนแอแน่นอน ทว่าตอนนี้ในมือไร้กระบี่ ทำได้เพียงแค่รับมือตามสัญชาตญาณ และรอโอกาสสาดเข็มออกไป
แม้ว่ามั่วจื่อเยี่ยจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่ก็ไม่กล้าหุนหันพลันแล่น บนพื้นยังมีมั่วจื่อฮว่าที่ร้องโหยหวนเป็นตัวอย่าง นางแพศยาผู้นี้มีอาวุธลับ
ดังนั้น ทั้งสองคนจึงปะทะกันไปอีกหลายรอบ มั่วจื่อเยี่ยส่งเสียงฟ่อๆ อสรพิษที่อยู่ภายในห้องก็พุ่งมาลอบโจมตีมั่วเชียนเสวี่ยอย่างรวดเร็ว
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นอสรพิษที่ไร้กระดูกสันหลังเหล่านี้แล้ว ก็ขาอ่อน ทว่ามือกลับไม่หยุดนิ่ง เข็มหนึ่งตัวหนึ่ง ขอเพียงแค่อสรพิษที่เข้าใกล้นางในรัศมีหนึ่งฉื่อ[1] ทั้งหมดล้วนถูกเข็มของนางปักนิ่งอยู่กับพื้น
[1] หนึ่งฉื่อ เท่ากับ 10 นิ้ว