เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 418 ไฟไหม้ทำลายจวนกั๋วกงราบเป็นหน้ากลอง (3)
ตอนที่ 418 ไฟไหม้ทำลายจวนกั๋วกงราบเป็นหน้ากลอง (3)
แต่การลอบโจมตีของอสรพิษได้ขัดจังหวะนาง ฝ่ามือของมั่วจื่อเยี่ยตบลงบนศีรษะของนางตรงๆ อย่างไม่ปรานี หัวหน้าตระกูลบอกว่าต้องการให้จับเป็น แต่สุดท้ายก่อนจากไปก็กำชับเอาไว้ว่า ถ้าหากไม่สามารถจับเป็นได้ ก็อาศัยช่วงชุลมุนจัดการให้สิ้นชีพ ค่อยนำศพของนางไป ก็ได้เหมือนกัน…
มั่วเชียนเสวี่ยตื่นตระหนก ทว่า ตอนนี้นางไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้ว ถ้าหากยกมือขวางกั้นฝ่ามือนี้ ก็จะถูกอสรพิษหลายตัวกัดในเวลาเดียวกัน นาง…ไร้หนทางหลบหนี
อสรพิษแต่ละตัวมีพิษร้ายมากนัก ถ้าหากถูกกัดสักครั้ง เกรงว่าไม่ตายก็กลายเป็นมนุษย์พิษแทน
มั่วเชียนเสวี่ยหนาวยะเยือก เข็มในมือถูกสาดออกไปปักลงบนร่างของอสรพิษที่เข้ามาจู่โจม นางยินยอมถูกฝ่ามือนี้ตบจนตาย แต่ไม่ต้องการเข้าปากอสรพิษ นางหลับตาลง เตรียมตัวรับแรงโจมตีในครั้งนี้
การทะลุมิติในครั้งนี้จะต้องจบสิ้นลงที่นี่ในวันนี้เช่นนั้นหรือ
เซ่าชิง…ลาก่อน
เซ่าชิง…ขอโทษ…ข้าต้องล่วงหน้าไปก่อนแล้ว…
เซ่าชิง…แม้ว่าจะไม่ได้กลายเป็นสามีภรรยากับท่านอย่างแท้จริง แต่ได้มาในต่างโลกแล้วรู้จักท่าน ได้รับความรักจากท่าน เชียนเสวี่ยก็พอใจแล้ว…
ได้ยินเพียงเสียงลมพัด มั่วเชียนเสวี่ยก็จินตนาการถึงภาพเหตุการณ์ที่ศีรษะของตนเองได้รับการกระทบกระเทือนจนตายไป นางหลับตาลง คิดถึงหนิงเซ่าชิงเงียบๆ อีกครั้ง และหวนนึกถึงรอยยิ้มบนริมฝีปากชุ่มชื้นของหนิงเซ่าชิง หวังเพียงแค่ว่าชาติหน้าอย่าได้ลืมเขาไป…หวังเพียงแค่ยังมีชาติหน้า…
ตาเห็นฝ่ามือที่กำลังจะวาดลงมากระแทกกับศีรษะของมั่วเชียนเสวี่ย
นอกประตูกลับมีเงาร่างหนึ่งวูบเข้ามา ยื่นฝ่ามือขวางฝ่ามือที่วาดลงมาอย่างรุนแรงนี้เอาไว้
แม้ว่าฝ่ามือจะไม่ได้กระแทกโดนมั่วเชียนเสวี่ย แต่มั่วเชียนเสวี่ยกลับถูกแรงลมจากฝ่ามือสะเทือนจนศีรษะปวดร้าว ร่างกายอ่อนแรง ล้มก้นกระแทกกับพื้น
ผู้มาเยือนประมือกับมั่วจื่อเยี่ย ทั้งสองคนลอยตัวขึ้นไปกลางอากาศ ประลองกันด้วยกำลังภายใน
บนพื้นมีซากศพอสรพิษเต็มไปหมด ด้านข้างยังมีอสรพิษอีกหลายตัวที่นัยน์ตาทอประกายจู่โจมเข้ามา มั่วเชียนเสวี่ยกระเด้งตัวลุกขึ้นมา อาศัยแสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง จัดการอสรพิษที่เหลือทั้งหมดจนสิ้นชีพ
มั่วจื่อฮว่าที่อยู่อีกด้าน แม้ว่าตอนนี้จะลุกไม่ขึ้น กลับรู้แต่แรกแล้วว่าถูกมั่วเชียนเสวี่ยเล่นงาน จึงอาศัยช่วงชุลมุนหยัดมือลงบนพื้นยันกายขึ้น พลางปล่อยหมัดไปทางมั่วเชียนเสวี่ย
เดิมมั่วจื่อฮว่าก็เป็นคุณชายเสเพลคนหนึ่ง หากว่าเป็นแรงหมัดในยามปกติ มั่วเชียนเสวี่ยอาจจะต้องระวังเขาสามส่วน แต่ตอนนี้ ไม่มีแรงจากร่างกายช่วงล่าง หมัดนี้นางจึงไม่กลัว ประจวบเหมาะกับที่หมัดลอยมาถึง เข็มก็ปักลงไปพอดี
เมื่อแทงเข็มลงไปแล้ว เรี่ยวแรงของมั่วจื่อฮว่าก็หายไปหมด ทั่วทั้งร่างเป็นอัมพาต ล้มลงไปบนพื้น
มั่วเชียนเสวี่ยฆ่าอสรพิษ จัดการมั่วจื่อฮว่า ทั้งสองคนที่ใช้กำลังภายในจนหมดแล้วก็แยกกันล้มลงไปบนพื้น
มั่วจื่อเยี่ยมือลูบทรวงอก
ผู้มาเยือนเอามือไพล่หลัง
สองคนประจันหน้ากัน ทว่า ผู้มาเยือนในภายหลังมีท่าทีสงบนิ่ง มั่วจื่อเยี่ยกลับร่างโงนเงนเล็กน้อย
แรงฝ่ามือนี้ กำหนดผลแพ้ชนะแล้ว
ทั้งสองคนกลั้นลมหายใจมองหน้ากัน มั่วเชียนเสวี่ยในยามนี้อ่อนเพลียเล็กน้อย นอนหอบหายใจอยู่ข้างประตู อย่างไรเสียก็ถูกวางยามา และศีรษะได้รับความสะเทือนจากฝ่ามือหนึ่ง ทั้งยังจัดการปักเข็มลงบนตัวอสรพิษที่น่าอันตรายเหล่านั้นจนตายโดยไม่ได้พัก รวมถึงจัดการมั่วจื่อฮว่าติดๆ กันด้วย
ท่ามกลางความเงียบงัน มั่วจื่อเยี่ยก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่งไม่หยุด “พี่สิบเอ็ดในเมื่อคิดจะมาแบ่งผลประโยชน์ ทำไมจะต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ ด้วยเล่า”
เมื่อถูกเปิดโปงฐานะ ผู้มาเยือนก็เปิดผ้าที่ปิดบังใบหน้าออก เป็นมั่วจื่อถังจริงๆ
มั่วเชียนเสวี่ยที่เดิมมีความเชื่อมั่นคืนมาเล็กน้อยก็ร่วงลงสู่เหวลึกทันที
แม้ว่ามั่วจื่อถังจะดูเหมือนมีท่าทีต่อนางไม่เหมือนกัน แต่ทุกครั้งที่มาหานางก็เข้าออกไปพร้อมกับคนสารเลวสองคนนั้น ย่อมเป็นพวกเดียวกัน…คราวนี้…เกรงว่าจะ…เกิดเรื่องขัดแย้งกันในตระกูล? แย่งผลงาน?
มั่วจื่อถังยืนนิ่งไม่ตอบคำถามอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเย็นชา แต่กลับปกป้องอยู่ด้านหน้ามั่วเชียนเสวี่ยกลายๆ บังทางมั่วจื่อฮว่าเอาไว้
มั่วจื่อเยี่ยเห็นทางถูกปิด ก็เอ่ยเสียงเย็นว่า “มั่วจื่อถัง คิดไม่ถึงว่าในบรรดาพวกเราสามคน ผู้ที่ร้ายกาจที่สุดจะเป็นท่าน ท่าทางที่วันๆ แสร้งทำตัวเป็นคนดี เอ่ยถึงหลักเมตตาธรรมและคุณธรรม ทำให้ข้ากับจื่อฮว่ารู้สึกคลื่นไส้ แม้ว่าท่านคิดจะแย่งผลงานของพวกเราสองคน แต่ก็ต้องดูสถานการณ์ด้วย ถ้าหากว่าให้นางผู้นี้หลบหนีไปได้ ท่านก็ต้องแบกรับผลที่ตามมาในภายหลัง…”
เอ่ยจบ ก็ยื่นมือไปหยั่งเชิงผลักมั่วจื่อถังออก
มั่วจื่อถังสะบัดฝ่ามือหนึ่งออกไปโดยปรานีแม้แต่น้อย รอจนจัดการมั่วจื่อเยี่ยให้ถอยไปได้แล้ว ก็หันกลับไปมองมั่วเชียนเสวี่ยที่นั่งนิ่งอยู่ข้างประตู “น้องเชียนเสวี่ย มิเป็นอันใดใช่ไหม”
มั่วเชียนเสวี่ยสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงของเขา แต่กลับไม่กล้าที่จะเชื่อ ใครจะไปรู้ว่าพวกเขากำลังแสร้งทำเป็นไส้ศึกมาทำลายความปรองดองให้นางดูหรือไม่ รีบฉวยโอกาสที่ทั้งสองคนทะเลาะกันภายในฟื้นฟูกำลังกายจะดีกว่า
มั่วเชียนเสวี่ยไม่สนใจ มั่วจื่อเยี่ยเย้ยหยัน “มั่วจื่อถัง เจ้าแสร้งทำตัวเป็นคนดีประจบนางไปก็ไร้ประโยชน์ นางเป็นสตรีแพศยาที่ไร้มโนธรรม เจ้าหลบออกไปเถอะ ข้าจะนำตัวนางไปส่งให้หัวหน้าตระกูล ย่อมไม่มีทางขาดผลประโยชน์ในส่วนของเจ้าหรอก…”
มั่วจื่อถังตวาด “บังอาจ! อย่านึกว่าทุกคนจะน่ารังเกียจเหมือนกับพวกเจ้า วันๆ โลภอยากได้ในสิ่งที่ไม่ใช่ของตนเอง”
มั่วจื่อเยี่ยเย้ยหยัน “ท่านไม่โลภ? ท่านไม่โลภแล้วจะมาจวนกั๋วกงทำไมกัน อย่ามาแสร้งทำเป็นคนดีที่นี่ ไสหัวไป ข้าไม่อยากลงมือกับท่าน”
มั่วจื่อถังกระชากกระบี่อี้เซียวออกจากฝัก “ถ้าหากว่าเจ้ารามือตอนนี้ ข้าจะเห็นแก่ไมตรีในวันวาน ละเว้นชีวิตเจ้า แต่ถ้าหากเจ้ายังดื้อดึงไม่เลิก ก็อย่าโทษว่าไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ของพวกเราแล้วกัน”
เขาเอ่ยอย่างแน่วแน่ มั่วเชียนเสวี่ยจึงเข้าใจขึ้นมาทันที
“เจ้ามองข้ามความหวังดีของผู้อื่น” เห็นได้ชัดว่ามั่วจื่อเยี่ยได้วิเคราะห์สถานการณ์เรียบร้อยแล้ว มั่วจื่อถังไม่มีวันหลีกทางให้เด็ดขาด ถ้าหากต้องการให้มั่วเชียนเสวี่ยตาย ก็ต้องจัดการมั่วจื่อถังเสียก่อน
เขาเหลือบตามองมั่วจื่อฮว่าที่เป็นอัมพาต ไม่อาจขยับเขยื้อนอยู่บนพื้น แต่กลับถลึงตามองมา ดูท่าทางมั่วจื่อฮว่าจะใช้การไม่ได้แล้ว คนที่สามารถแย่งชิงกับตนเองได้มีเพียงแค่มั่วจื่อถัง การต่อสู้ระหว่างคนสองคนเป็นเรื่องที่ยากจะหลีกเลี่ยง
คิดได้ดังนั้น เท้าก็ขยับทันควัน เคลื่อนที่ไปหนึ่งจั้งอย่างรวดเร็วราวกับสายน้ำไหล วางแผนหลบหลีกมั่วจื่อถังแล้วพุ่งตัวไปยังทิศทางของมั่วเชียนเสวี่ย กลางฝ่ามือมีหนามแหลมคม เขาพลิกฝ่ามือและตัวกลางอากาศ
ร่างกายเคลื่อนไหว เพื่อหลอกล่อสายตาของฝ่ายตรงข้าม ให้นึกว่าเขาคิดจะโจมตีมั่วเชียนเสวี่ย
จะรู้เสียที่ไหนกันว่ามั่วจื่อถังไม่หลงกล เพียงแค่โจมตีจุดสำคัญเขาด้วยกระบี่อย่างรุนแรงและโหดเหี้ยม ทำให้เขาจำเป็นต้องถอยกลับไป
มั่วเชียนเสวี่ยมองทั้งสองคนที่ต่อสู้ติดพันกันแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยใคร และไม่อยากจะช่วยใคร นางรวบรวมเรี่ยวแรงแล้วก้าวออกนอกประตูไป
นางเป็นห่วงพวกหมัวมัว
เพิ่งจะออกมา กลับพบควันลอยไปทั่ว รอบด้านเต็มไปด้วยเปลวเพลิง ประตูใหญ่ถูกเผาไปแล้ว
ถ้าหากว่านางออกไปตอนนี้ ย่อมหนีไฟไหม้ในครั้งนี้ไปได้ พวกหมัวมัวไม่มีสุ้มเสียงใดๆ แม้แต่น้อย นางไม่ไปดูสักหน่อยแล้วจะยอมแพ้ได้เช่นไร
นางวิ่งหัวซุกหัวซุนไปยังห้องเฝ้ายามด้านข้าง หมัวมัวกับอวี่เสวียนยังคงอยู่ในห้วงนิทรา ก้อนหินหนักอึ้งที่อยู่ในใจมั่วเชียนเสวี่ยถูกวางลง ไม่มีเวลามาคิดว่า ใครเป็นผู้วางยากันแน่ แล้ววางยาเช่นไร คิดเพียงแต่ว่าจะปลุกสองคนนี้ให้ตื่นโดยเร็วที่สุดอย่างไร
ยังดีที่เพื่อสะดวกในการปรนนิบัติมั่วเชียนเสวี่ยให้อาบน้ำในช่วงเช้า ภายในห้องนี้จึงเตรียมน้ำเอาไว้ตลอดเวลา
มั่วเชียนเสวี่ยคว้าน้ำขึ้นมาแล้วราดลงบนศีรษะหมัวมัวกับอวี่เสวี่ยคนละกะละมังอย่างไม่สนใจอะไรอีก
หมัวมัวกับอวี่เสวียนที่ถูกน้ำทำให้สะดุ้งตื่นก็ล้วนพลิกตัวลุกขึ้น ปากก็เอ่ยว่า “ใคร!” มือล้วนจับอาวุธเอาไว้โดยไม่รู้ตัว