เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 448 ความกังวลใจของชูอี (1)
ตอนที่ 448 ความกังวลใจของชูอี (1)
โดยปกติแล้วล้วนเป็นสายตรงของหัวหน้าตระกูล เมื่อบิดาสิ้นบุตรก็จะแทนที่
แต่…ตอนนี้หัวหน้าตระกูลมั่วยังไม่ตาย ก็ส่งมอบตำแหน่งแล้ว?
ทุกคนเกิดความสงสัยในใจ
แต่ทว่า มีการเชือดไก่ให้ลิงดูจากหัวหน้าตระกูลมั่วในตอนที่ตัดสินใจเรื่องแรกไป การตัดสินใจในเรื่องที่สอง แม้ว่าจะก่อให้เกิดคลื่นลมยิ่งกว่า ก็ไม่มีใครกล้าก้าวออกมาวิจารณ์อีก
อีกอย่าง ผู้อาวุโสที่เหลือล้วนถูกหัวหน้าตระกูลมั่วกำจุดอ่อนเอาไว้ในมือ ตอนนี้ล้วนแสดงท่าทีเห็นด้วยหมด
พวกเขาทุกคนเป็นบุตรหลานทั่วไปในตระกูล มีหน้าที่ฟังคำสั่ง
มีผู้อาวุโสก้าวออกมาดำเนินพิธีส่งมอบตำแหน่งหัวหน้าตระกูลแล้ว
ท่ามกลางความเงียบงัน มั่วจื่อถังก้าวออกจากแถว หัวหน้าตระกูลมั่วส่งต่อกระบี่ในมือให้เขา
ขอเพียงแค่เป็นบุตรหลานตระกูลมั่ว กระบี่อาญาสิทธิ์ในมือมั่วจื่อถังล้วนสามารถทำให้พวกเขาฟังคำสั่ง
หากมีผู้ใดไม่ปฏิบัติตาม ก็สามารถฆ่าได้ทันที!
……
มั่วเชียนเสวี่ยฝัน ในฝันนางกับหนิงเซ่าชิงล้วนกลับไปที่หมู่บ้านหวังจยา ใช้ชีวิตผ่านคืนวันสบายๆ ไม่มีแผนการร้าย ไม่มีการต่อสู้แย่งชิง ไม่มีคนที่น่ารังเกียจทั้งหมด
ท้องฟ้าสดใส ใบหญ้าสีเขียว อากาศสดชื่น…
นางวิ่งเล่นกระโดดไปมาอย่างซุกซน หนิงเซ่าชิงตามอยู่ด้านหลังอย่างร้อนรน พลางตะโกนเรียกชื่อนาง
นางหยุดนิ่ง หันกลับไป แต่กลับเห็นเด็กน้อยน่ารักจ้ำม่ำอีกสามคนวิ่งตามหลังหนิงเซ่าชิงมาด้วย แต่ละคนเรียกเสียงใส “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านรอข้าด้วย…”
เด็กน้อยจ้ำม่ำสามคนนั้น น่ารักเป็นอย่างยิ่ง เดินเท้าด้วยท่าทางที่ไม่มั่นคงเท่าใดนัก เอียงไปเอียงมา ใจมั่วเชียนเสวี่ยก็สั่นตามไปด้วย
หนิงเซ่าชิงรักและทะนุถนอมลูกมาตลอด เขาอยู่ใกล้ จึงทำได้แค่หยุดนิ่ง
เจ้าก้อนจ้ำม่ำทั้งสามพุ่งเข้าไปกอดพร้อมกัน ป้ายน้ำลายลงบนตัวเขาอย่างซุกซน จากนั้นก็ตามพัวพันแข้งขา ไม่ยอมเดิน โวยวายจะให้อุ้ม
บุรุษแข็งแกร่งเพียงใด พบกับเด็กน้อยจ้ำม่ำที่น่ารักเช่นนี้ล้วนทำได้เพียงแค่ยอมศิโรราบ นับประสาอะไรกับหนิงเซ่าชิง
มองดูหนิงเซ่าชิงที่สุภาพอ่อนโยน อุ้มคนหนึ่ง แบกคนหนึ่ง หิ้วคนหนึ่งด้วยความอึดอัดใจ…
เด็กน้อยสามคนพัวพันอยู่บนร่างหนิงเซ่าชิงราวกับลูกวานร พลางเอ่ยเรียก “ท่านพ่อ รีบพาพวกเราบิน พาพวกเรานำหน้าท่านแม่ ให้ท่านแม่ตามพวกเราบ้างขอรับ…”
หนิงเซ่าชิงถูกเด็กน้อยสามคนทำให้ใจละลาย ทันใดนั้นก็พาพวกเขาลอยตัวมาอย่างรวดเร็ว
เด็กน้อยสามคนตื่นเต้นมาก
“โอ้ ท่านแม่รีบวิ่งเร็วขอรับ ท่านพ่อพาพวกเราตามมาถึงแล้ว…”
“ท่านแม่บินไม่ได้ ท่านพ่อจะตามทันแล้ว…”
มั่วเชียนเสวี่ยหัวเราะ หมุนตัวลอยไปทางขอบฟ้า
หัวเราะไปหัวเราะมา ก็หัวเราะจนตนเองตื่น ยังไม่ลืมตา ก็ยื่นมือไปลูบตำแหน่งข้างๆ ตามจิตใต้สำนึก
ใครจะรู้ว่ากลับสัมผัสได้เพียงความว่างเปล่า
รอยยิ้มบนใบหน้าเลือนหาย นางตื่นตระหนกใจ!
พลันลืมตาขึ้น
และลุกขึ้นมานั่งบนเตียงทันที
ผ้าห่มผืนบางร่วงหล่น ร่างกายหนาวเหน็บ มั่วเชียนเสวี่ยถึงได้ก้มหน้ามองตามสัญชาตญาณ ถึงได้ค้นพบว่าตนเองร่างกายเปลือยเปล่า
ยังไม่รอให้นางเชื่อมโยงความฝันกับความเป็นจริงเข้าด้วยกัน
ชูอีที่นั่งเฝ้าอยู่ไม่ใกล้บริเวณหัวเตียงรีบลุกขึ้นมา และดึงผ้าห่มขึ้นมาพันรอบตัวมั่วเชียนเสวี่ยที่เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งความรักอย่างรวดเร็ว
“คุณหนูใหญ่ ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”
มั่วเชียนเสวี่ยปรับสายตาเล็กน้อย มองชูอีแวบหนึ่ง และหันไปมองรอบๆ ห้องนี้ด้วยความมึนงง
ที่นี่คือ…บ้านไร่บริเวณชานเมืองที่นางอาศัย ไม่ใช่ “บ้าน” ที่นางอยู่กับหนิงเซ่าชิงในหมู่บ้านหวังจยา
ที่แท้ก็แค่ฝัน
จากเด็กสาวเปลี่ยนเป็นสตรีล้วนฝันเช่นนี้ ล้วนเปลี่ยนเป็นทึ่มทื่อหรือ
ขณะที่มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกแปลกประหลาด ก็สะบัดศีรษะที่มึนงงเล็กน้อย พลางถอนหายใจ และรู้สึกอาลัยอาวรณ์เด็กน้อยจ้ำม่ำหลายคนในความฝันเล็กน้อย และคิดถึงท่าทางจนปัญญาของหนิงเซ่าชิงที่โอบกอดเด็กน้อยเหล่านั้นเช่นกัน
เมื่อได้สติกลับมา ก็เห็นชูอีคลุมผ้าให้นางเรียบร้อยแล้ว และนึกขึ้นได้ว่าตลอดมานางมีความเคยชินที่ไม่ให้คนเฝ้าอยู่ในห้อง พลางเอ่ยถามว่า “เจ้าเข้ามาได้อย่างไร กูเหยียล่ะ”
ชูอีได้ยินเสียงทอดถอนใจของมั่วเชียนเสวี่ย ก็นึกว่ามั่วเชียนเสวี่ยหดหู่ใจเพราะหนิงเซ่าชิงไม่อยู่
“กูเหยียออกไปตั้งแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ แต่ก่อนจะไป กลับทิ้งวาจาเอาไว้ว่า ว่า…ว่าคุณหนูใหญ่ร่างกายไม่ค่อยสบาย กำชับให้บ่าวเข้ามาปรนนิบัติให้ดี…”
ร่างกายไม่ค่อยสบาย?
นี่เท่ากับเป็นการบอกกับชูอีว่า พวกเขาเข้าห้องหอกันแล้ว?
มั่วเชียนเสวี่ยใบหูแดงระเรื่อ แต่ในใจกลับหวานล้ำ ใบหน้าก็มีริ้วแดงเล็กน้อยเช่นกัน
มองเตียงที่ยุ่งเหยิง
ความจริงแม้ว่าจะไม่เอ่ยออกมา เกรงว่าแค่ชูอีเห็นก็รู้แล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยไม่เอ่ยอันใด ชูอีจึงนึกอีกว่ามั่วเชียนเสวี่ยเป็นกังวลว่าหลังจากตนเองเข้าหอกับหนิงเซ่าชิงแล้ว จะต้องแบกรับความผิดที่มีมลทิน และเป็นกังวลว่า หากการแต่งงานมีการเปลี่ยนแปลงจะทำเช่นไร
“คุณหนูใหญ่ กูเหยียเป็นคนดี คิดว่าคงไม่ทำให้คุณหนูใหญ่ผิดหวังแน่นอน แม้ว่าจะเข้าหอทั้งที่ยังไม่ได้แต่งงานก็ไม่ต้องกลัวเจ้าค่ะ”
มั่วเชียนเสวี่ยไม่ตอบ
ชูอีลนลานเล็กน้อย
“ฮ่องเต้พระราชทานสมรสให้ไม่ใช่หรือเจ้าคะ ปักปิ่นเสร็จแล้วก็จะเข้าพิธีหมั้นแล้ว แม้ว่ายามนี้จวนกั๋วกงจะเกิดเรื่อง แต่ท่านก็ปักปิ่นแล้ว เกรงว่ากูเหยียคงจะดำเนินพิธีหมั้นแล้ว อีกอย่าง ตอนที่อยู่หมู่บ้านหวังจยา เดิมท่านกับกูเหยียก็เป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามธรรมเนียมแล้วนะเจ้าคะ”
วาจานี้ของชูอีฟังดูแล้วเหมือนกับกำลังปลอบใจตัวนางเองมากกว่า
ความจริงแล้ว นางไม่ต้องให้ใครบอก ตั้งแต่ตอนเช้าที่พบว่ากูเหยียไม่ได้จากไปตลอดคืน เตาหนูที่อยู่หน้าประตูก็มีสีหน้าแปลกๆ นางก็มั่นใจแล้วว่าคุณหนูกับกูเหยียเข้าห้องหอกันแล้ว ในใจจึงรู้สึกกระวนกระวายเป็นระลอก
แม้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะอยู่ในยุคโบราณ แต่ภายในจิตใจกลับเป็นคนยุคปัจจุบัน จึงไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์เท่าใดนัก
เมื่อร่วมเรียงเคียงหมอนกันแล้ว กลับทำให้รู้สึกว่าหนิงเซ่าชิงหลอมรวมเข้าไปในกระดูกนางอีกส่วนหนึ่งแล้ว
ฟังออกถึงความนัยในวาจาของชูอี จึงเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “หากเขากล้าไม่ต้องการข้า ข้าก็กล้าที่จะทำให้เขาไม่ได้พบเจอข้าอีก”
ชูอีได้ยินแล้วก็มึนงง หากกูเหยียไม่ต้องการคุณหนู คุณหนูจะฆ่าตัวตาย
จึงร้อนใจขึ้นมาทันที น้ำตาใกล้จะรินไหลอยู่รอมร่อ
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นสีหน้านางผิดปกติ จึงหันกลับมาปลอบใจว่า “ชูอี เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าที่เป็นนายของเจ้าเป็นคนไม่ได้เรื่องหรือ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็คิดไม่ตก? เจ้าวางใจเถอะ กูเหยียจะต้องใช้เกี้ยวที่มีคนหามแปดคนมารับข้าแต่งเข้าตระกูลแน่นอน”
เอ่ยพลางใช้มือจิ้มลงบนจมูกที่กระพือเล็กน้อยด้วยความสะเทือนใจของชูอี พลางเอ่ยอย่างโมโหว่า “ตอนนี้ยังมีคนกล้ามาตรวจร่างกายข้าอีกหรือ อีกอย่าง แม้ว่าจะมีคนมาตรวจสอบ ข้าก็ไม่กลัว”
ชูอีคิดๆ ดูแล้วก็เป็นเหตุผลนี้เหมือนกัน จึงวางใจ และหยิบเสื้อตัวบางมาสวมให้มั่วเชียนเสวี่ยก่อน
มั่วเชียนเสวี่ยสวมเสื้อตัวบางแล้ว ก็เลิกผ้าห่มออก เคลื่อนเท้าลงจากเตียง พลางลุกขึ้นยืน
แต้มสีแดงราวกับบุปผาบนผ้าปูปรากฏเข้าสู่สายตาชูอี
“…” ชูอีจ้องแต้มสีแดงบนผ้าปูเขม็ง ทุ่มสุดตัว “คุณหนูใหญ่…นี่…ในภายหน้าแต่งเข้าตระกูลหนิงไปแล้ว ผ้าที่รองแต้มเลือดพรหมจรรย์ในคืนเข้าห้องหอจะทำเช่นไรเจ้าคะ…”
คงจะไม่สามารถเก็บผ้าปูผืนนี้ไว้จนถึงค่ำคืนนั้นแล้วค่อยใช้หรอกนะ
ตระกูลสูงศักดิ์ให้ความสำคัญกับพรหมจารีมาก หากในคืนวันแต่งงานไม่มีแต้มพรหมจรรย์ แม้ว่าจะได้รับการยอมรับจากกูเหยีย แต่ก็จะทำให้คุณหนูใหญ่อับอายเมื่ออยู่ท่ามกลางบรรดาสตรีในตระกูลอยู่ดี