เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 498 ปมของซูชี ช้ำในของหนิงเซ่า (3)
ตอนที่ 498 ปมของซูชี ช้ำในของหนิงเซ่า (3)
หากจะเจ็บใจก็คงเจ็บใจที่ตอนนั้นนางไม่ได้ใส่ใจไปจำ
อันความรู้นั้นเมื่อถึงเวลาที่ต้องใช้ มักจะรู้สึกเสียใจว่าที่เรียนมามันน้อยเกินไป
คล้อยบ่าย มั่วเชียนเสวี่ยให้ถงจื่อจิ้งกลับไปพัก เพราะอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ จึงเดินไปบนเส้นทางเล็กๆ ในบ้านไร่เพียงลำพัง
ในบ้านไร่ยามนี้ต้องมีความปลอดภัยที่มากกว่าจวนกั๋วกงอีก อย่างน้อยๆ ก็ต้องมั่นคงเป็นปึกแผ่น
เพื่อให้ความสบายใจแก่นาง ชูอีกับสืออู่จึงไม่เข้าไปใกล้ ทำเพียงแค่มองดูอยู่ไกลๆ
คุณหนูใหญ่อารมณ์ไม่ค่อยดี พวกนางก็พานร้อนรนไปด้วย
มั่วเชียนเสวี่ยเดินไปพลางกลัดกลุ้มใจไปด้วย ทว่าข้างหูกลับมีเสียงนุ่มดังขึ้นเป็นสาย
“เชียนเสวี่ย ยังไม่ใช่เวลามาร้อนใจเรื่องเรือนกระจกใหญ่ในยามนี้”
หมู่นี้หนิงเซ่าชิงจะมาหามั่วเชียนเสวี่ยทุกวัน แม้ว่าบางคราจะยุ่งจนปลีกตัวไม่ได้ แต่ก็ยังให้เตาหนูนำจดหมายมาให้
มั่วเชียนเสวี่ยร้อนใจเรื่องใด เขาย่อมรู้
แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะคัดค้าน แต่ยามนี้คัดค้านไปก็ไร้ประโยชน์แล้ว เพื่อให้ยอดดวงใจยิ้มแย้มแจ่มใส จึงจำต้องสนับสนุนเท่านั้น
มั่วเชียนเสวี่ยถลึงตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์
พูดเสียง่ายเชียวนะ จะไม่ให้ร้อนใจได้อย่างไร
ยามนี้เป็นช่วงที่เหมาะที่สุดในการสร้างเรือนกระจกใหญ่เลยนะ!
พอถึงฤดูใบไม้ร่วงก็สร้างเสร็จ จากนั้นค่อยปลูกผัก ฤดูหนาวก็จะได้เก็บเกี่ยว เงินทองก็จะไหลมาเทมา
หากเริ่มสร้างแล้ว แต่สีเคลือบกลับทาได้ไม่ตรงเวลา เช่นนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกนางทำมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ก็เปล่าประโยชน์หมดน่ะสิ
อันที่จริงอย่าเพิ่งมองว่ามั่วเชียนเสวี่ยแสดงออกภายนอกว่าคืนดีกันกับหนิงเซ่าชิงเหมือนเก่าแล้วเชียว เพราะในใจนางยังคงมีโทสะคุกรุ่นอยู่!
แม้ว่าแรกเริ่มเดิมทีหนิงเซ่าชิงจะไม่เห็นด้วยที่นางสร้างเรือนกระจกใหญ่เพราะอิจฉา แต่มั่วเชียนเสวี่ยมีหรือจะไม่เข้าใจหนิงเซ่าชิง
เขาย่อมไม่อยากให้นางสร้างสำเร็จอยู่แล้ว!
อย่างไรเสียสตรีในยุคนี้ล้วนเอาแต่อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนเงียบๆ กันหมด หากไม่รอออกเรือนก็ปรนนิบัติรับใช้สามีและเลี้ยงดูสั่งสอนบุตร
ทว่านางดันทำตรงกันข้าม! ไม่ใช่ว่านางต้องการเหนือกว่าคนอื่น เพียงแต่อยากให้ภายหน้าสามารถมีตัวตนที่เปิดเผยบริสุทธิ์และยึดมั่นในความเป็นธรรม เพื่อยืนเคียงข้างหนิงเซ่าชิงได้ก็เท่านั้น!
รอการเตรียมเรือนกระจกใหญ่เคลือบสีเนิ่นนานเพียงนี้ นางไม่เคยขอร้องอะไรหนิงเซ่าชิงเลยสักครั้ง อันที่จริงในใจก็ยังคิดอยู่ว่าจะทำการนี้ให้สำเร็จก่อน จากนั้นค่อยให้หนิงเซ่าชิงดูทีเดียว
หนิงเซ่าชิงก็ไม่ถือสาที่มั่วเชียนเสวี่ยกลอกตาใส่ เขาเดินไปโอบนาง ก่อนยื่นมือลูบคิ้วที่ขมวดน้อยๆ ให้ “เรือนกระจกใหญ่นั้นสำคัญ แต่ร่างกายของเจ้าสำคัญกว่า ต่อให้เจ้าไม่มีอะไรเลย เจ้าก็ยังเป็นคนนั้นที่ยืนเคียงข้างข้า ร่วมกันมองดูทิวทัศน์ ครองรักกันจนแก่เฒ่าอยู่ดี”
การเคลื่อนไหวของเขาทั้งแผ่วเบาและรวดเร็ว ถ้อยคำก็ทั้งแผ่วเบาและอ่อนโยน ทำเอามั่วเชียนเสวี่ยใจอ่อนยวบลง
ยามนี้ไม่ใช่เวลามาเคืองกัน
เขาเป็นคนรักของนาง หากเขาสนับสนุน นางก็จะใช้ทางลัดให้น้อยๆ หน่อย
มั่วเชียนเสวี่ยไม่เถียงอีก ยามนี้น้ำเสียงนางนุ่มนวลขึ้นแล้ว นางเงยหน้าขึ้นมองหนิงเซ่าชิงพลางหัวเราะเบาๆ “ไม่เป็นไรหรอก ข้ารู้ดีแก่ใจ เซ่าชิง ท่านรู้จักคนที่ทำสีเคลือบเป็นหรือไม่”
หนิงเซ่าชิงรู้แผนการในใจมั่วเชียนเสวี่ยเป็นอย่างดี ใจเขาก็รู้สึกไม่ดีเช่นกัน
เขาทราบถึงความภาคภูมิใจของมั่วเชียนเสวี่ยดี ดังนั้นจึงเอาแต่เงียบมาตลอด
มั่วเชียนเสวี่ยเป็นเช่นนี้ทำให้เขาปวดใจยิ่งนัก
“พวกเรากลับเรือนเสวี่ยหว่านกันดีกว่า เรื่องนี้มอบให้ข้าจัดการเอง ดีหรือไม่”
“ท่านมีวิธีจริงๆ หรือ”
มั่วเชียนเสวี่ยแทบอยากจะรู้จนอดรนทนไม่ไหวแล้ว หนิงเซ่าชิงมีวิธีจะช่วยนางได้จริงๆ น่ะหรือ
นางไม่อยากให้ถึงตอนสุดท้ายที่ยิ่งหวังมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งผิดหวังมากเท่านั้น
“เสวี่ยเสวี่ยไม่เชื่อใจข้าหรือ”
“ข้า…” มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้ไม่เชื่อใจหนิงเซ่าชิง แต่นางเองไม่แน่ใจ จึงได้อยากทำให้เรื่องราวมันเป็นจริงเสียก่อน
ทว่านางยังไม่ทันเอ่ยจบกลับเห็นแววตาคล้ายขบขันของหนิงเซ่าชิง ในใจพลันสบายขึ้นมาก นางจึงพยักหน้าราวกับต้องมนตร์ “ข้าเชื่อสิ!”
“ในเมื่อเสวี่ยเสวี่ยเชื่อสามี เช่นนั้นยามนี้ก็ตามสามีกลับไปพักผ่อนสักหน่อยดีกว่า” ไม่ต้องรอให้เกิดปัญหาขึ้นกับเรื่องสีเคลือบหรอก นางเองก็เหนื่อยล้ามากแล้ว
หากเป็นอย่างที่ว่าจริงๆ ล่ะก็ เขาคงได้โมโหจนล้มโต๊ะแน่!
และคงปวดใจแทบตายแน่!
มั่วเชียนเสวี่ยพยักหน้า จากนั้นก็ตามหนิงเซ่าชิงกลับมาที่เรือนเสวี่ยหว่านด้วยกัน
หลังจากหนิงเซ่าชิงกล่อมมั่วเชียนเสวี่ยนอนกลางวันแล้ว ก็ออกมาจากห้องนอนของนาง
“ไปตรวจสอบทีว่าทั้งหมดนี้มันเป็นมาอย่างไร!”
หลังจากหนิงเซ่าชิงสั่งการเตาหนูที่อยู่ด้านหลังจบก็นั่งลงบนเก้าอี้ ก่อนปิดเปลือกตาลง
เตาหนูรับคำสั่งออกไป ยามนี้กุ่ยซากลับยืนอยู่ตรงตำแหน่งที่เตาหนูเพิ่งยืนเมื่อครู่อย่างเงียบงัน เขาอยู่ในท่าระแวดระวัง
พวกเขาสองคนเดิมทีก็เป็นองครักษ์ที่คอยคุ้มกันหนิงเซ่าชิงกับมั่วเชียนเสวี่ยอยู่แล้ว ในเมื่อเตาหนูออกไปทำธุระ เช่นนั้นกุ่ยซาก็ย่อมมาปรากฏตัวเพื่อคุ้มกันทั้งคู่
แม้ว่าคนหน้าเนื้อใจเสือทั้งสองจะไม่ต้องการการคุ้มกันเลยก็ตาม
มั่วเชียนเสวี่ยสบายใจแล้ว แต่เมืองหลวงกลับวุ่นวาย
นึกไม่ถึงว่ายามนี้ฝ่าบาทเพิ่งจะทรงสั่งให้มีการสอบสวนอย่างละเอียดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่จวนมั่วกั๋วกงถูกไฟไหม้ยกใหญ่มาตั้งนานแล้ว
สำหรับปวงชนแถวเขตพระราชฐานแล้ว ข่าวนี้เป็นหัวข้อสนทนาขณะจิบชาหลังมื้ออาหารที่เพิ่มขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง
จะว่าไปแล้วฝ่าบาทก็ช่างเหลือเกินจริงๆ!
ตอนแรกที่จวนมั่วกั๋วกงถูกไฟไหม้หนักทรงไม่ตรวจสอบ กลับกัน…ยามที่เรื่องนี้กลายเป็นอดีตไปแล้ว จู่ๆ เพิ่งจะมาเริ่มตรวจสอบ…
เรื่องนี้มันมีเลศนัยเกินไปแล้ว!
การมาถึงของทูตจากชายแดนตะวันตก ตระกูลที่มีอำนาจเหล่านั้นต่างรู้กันหมด จากนั้นก็ออกไปพูดคุยบอกกับคนนั้นคนนี้ คนนั้นคนนี้ก็ไปบอกต่อ…
นี่ไม่ใช่ความลับอะไรเลยสักนิด ทุกตระกูลทั่วทั้งเมืองย่อมรู้กันแต่แรกแล้ว
ก่อนหน้านี้ไม่ตรวจสอบ
พอคนชายแดนตะวันตกมาถึงก็เริ่มตรวจสอบเลย
นี่มันรังแกคุณหนูใหญ่ตระกูลมั่วที่หัวเดียวกระเทียมลีบชัดๆ!
จู่ๆ ภาพลักษณ์ทรงคุณธรรมอันดีงามของฝ่าบาทที่ก่อนหน้านี้จะสร้างจวนกั๋วกงให้ใหม่เอย จะตรวจสอบความเป็นธรรมให้คุณหนูใหญ่มั่วที่ไร้ที่พึ่งนางนี้เอย ก็มลายหายไปจากใจปวงชนจนหมดสิ้น
ยามนี้คนทั้งเมืองหลวงไม่มีใครไม่รู้ว่าฮ่องเต้ตรวจสอบคดีไฟไหม้จวนกั๋วกงอย่างถึงที่สุดล้วนเพราะถูกทูตชายแดนตะวันตกบีบคั้น
“ระยำ! ระยำ!”
ณ ห้องทรงพระอักษร ฮ่องเต้ได้ยินพวกชาวบ้านลือกันเช่นนี้ก็เดือดดาลขึ้นมา จึงล้มโต๊ะโยนโครมกับพื้น ก่อนจะนั่งลงบนพระที่นั่งอย่างโกรธเกรี้ยวจนหอบหายใจหนัก
มันน่าเจ็บใจนัก!
น่าเจ็บใจตระกูลมั่ว น่าเจ็บใจพวกชายแดนตะวันตก!
หากมิใช่เพราะกองทัพใหญ่หลายแสนนายและชาวชังที่จ้องจะตะครุบเทียนฉีอยู่ตลอดล่ะก็ พระองค์จะต้องมาเดือดดาลเช่นนี้รึ
ล้วนเป็นเพราะนังชั่วมั่วเชียนเสวี่ยทั้งสิ้น ที่ไม่ยอมถวายป้ายไม้ดำมาให้ ซ้ำยังปลุกระดมชาวชายแดนตะวันตกให้มาข่มเหงพระองค์อีก
หัวหน้าขันทีอย่างลู่กงกงยังไม่กล้าเอ่ยอะไรสักคำ ได้แต่ทำใจกล้ายืนตัวสั่นอยู่ด้านหลังฮ่องเต้
ตั้งแต่มั่วเชียนเสวี่ยเข้าเมืองหลวงมา ฝ่าบาทก็กริ้วหนักขึ้นกว่าตลอดทั้งปีเสียอีก