เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 499 ปมของซูชี ช้ำในของหนิงเซ่า (4)
ตอนที่ 499 ปมของซูชี ช้ำในของหนิงเซ่า (4)
หมู่นี้วรกายฝ่าบาทไม่เหมือนเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่ลมหายใจยังไม่สม่ำเสมอ
“เสี่ยวลู่จื่อ ข้าให้เจ้าไปหาหลูเจิ้งหยาง เจ้าหาเจอหรือยัง”
ฮ่องเต้ฝืนข่มโทสะนี้ลงไปไม่ได้เลย!
พระองค์เป็นกษัตริย์แห่งแคว้น จะมาโดนรังแกเช่นนี้ได้อย่างไร
ต่อหน้ามั่วเชียนเสวี่ยและความเห็นของประชาชน พระองค์ไม่อาจทำอะไรได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าพระองค์จะไม่อาจจัดการคนอื่นๆ ได้เสียหน่อย ลู่กงกงแทบจะค้อมกายติดพื้นอยู่รอมร่อ “ทูลฝ่าบาท วันนั้นหลังจากที่น่าซือไป๋ออกจากเมืองไปก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับหายไปเสียดื้อๆ”
“ไม่ได้เรื่อง! มัวแต่ทำอะไรกันอยู่ แค่รากหญ้าในยุทธภพแค่คนเดียวจะลอยขึ้นฟ้าไปได้หรือไร”
“ข้าน้อยสมควรตาย!”
ฝ่าบาทเดือดดาลขึ้นมาอีกหน ลู่กงกงรีบคุกเข่าลงขออภัยโทษ
“ข้าน้อยแอบส่งคนไปจับตัวบิดาเขาที่บ้านเกิดเขามาขังไว้อย่างลับๆ แล้ว ทรัพย์สินที่เขาเป็นเจ้าของอย่างโจ่งแจ้งทั้งหมดก็ให้คนตรวจสอบเพื่ออายัดแล้วเช่นกัน เชื่อว่าอีกไม่นานเขาก็จะมามอบตัวเองพ่ะย่ะค่ะ”
คงทำได้แค่นี้แล้ว!
ยามนี้ฮ่องเต้ก็คิดแผนอะไรดีๆ ไม่ออกเช่นกัน เอาแต่เดินกลับไปกลับมาในห้องทรงพระอักษร
บรรยากาศในห้องทรงพระอักษรหนักอึ้ง ลู่กงกงคุกเข่าอยู่กับพื้นนิ่ง
ฮ่องเต้หรี่ตาลงเล็กน้อย
ยามนี้กำลังเป็นช่วงใช้คน พระองค์จะตัดแขนขาตัวเองไม่ได้
อีกทั้งลู่กงกงจัดการเรื่องราวได้น่าวางใจมาโดยตลอด “ลุกขึ้นเถิด ข้ารู้ว่าเจ้าจงรักภักดีมาโดยตลอด ครานี้จะไม่ถือโทษเจ้า”
ลู่กงกงปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผากออกก่อนจะลุกขึ้น
พักเรื่องหลูเจิ้งหยางไว้ก่อน ฮ่องเต้ขมวดคิ้วถามขึ้นอีกว่า “เสี่ยวลู่จื่อ ข้าให้เจ้าแอบเรียกเจิ้นหนานอ๋องเข้าวังมาหารือ ยามนี้เจิ้นหนานอ๋องถึงไหนแล้ว”
“บ่าวจะส่งคนไปตรวจดูเดี๋ยวนี้…”
ลู่กงกงรับคำสั่งพลางออกไป ฮ่องเต้จึงได้รู้สึกว่าเพลิงโทสะในพระทัยค่อยๆ คลายลงมาบ้างแล้ว
…
หมู่นี้มั่วเชียนเสวี่ยทำงานหนักยิ่งนัก ไม่ได้พักผ่อนให้เพียงพอเลยสักนิด วันนี้ก็มาถูกหนิงเซ่าชิงกล่อมฝืนให้นอน ฟากฟ้ามืดมิดลงแล้วจึงได้สะลึมสะลือตื่นขึ้น
มนุษย์นั้นต้องมีสติจึงจะสามารถจัดการความคิดได้กระจ่างจริงๆ ด้วย!
มั่วเชียนเสวี่ยนอนคิดอยู่บนเตียงพักหนึ่ง จู่ๆ ก็เหมือนคิดตกได้ นางรีบสวมรองเท้าเหยียบพื้นไปหาหนิงเซ่าชิงที่ห้องโถงด้านนอกทันที
โบราณกล่าวว่ากังวลเกินไปก็จะบดบังสติปัญญาในการแก้ไขปัญหา ที่แท้ในระหว่างที่นางไม่รู้ตัวนี้ได้ทำผิดถึงชีวิตไปเสียแล้ว
หนิงเซ่าชิงที่อยู่ในโถงด้านนอกสั่งชูอีกับสืออู่ให้ยกมื้อค่ำเข้ามา
คล้ายว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี้อยู่ในกำมือของเขา แม้กระทั่งเวลาตื่นของนางก็อยู่ในแผนการของเขาด้วย
“เซ่าชิง…”
“เสวี่ยเสวี่ยตื่นแล้วหรือ”
ในขณะที่หนิงเซ่าชิงได้ยินเสียงมั่วเชียนเสวี่ยเรียกเขาก็หันมาหา
เห็นมั่วเชียนเสวี่ยยืนอยู่หน้าประตูก็ยิ้มจางๆ ให้ ก่อนสาวเท้านิ่งๆ ไปยังข้างกายนาง
แล้วเอ่ยเสียงนุ่มว่า “ไปอาบน้ำอาบท่าเสียหน่อยดีกว่า รอกินข้าวเสร็จค่อยว่าธุระกัน”
มั่วเชียนเสวี่ยมองหนิงเซ่าชิงแวบหนึ่ง ก่อนพยักหน้า จากนั้นชูอี้กับสืออู่ก็พาไปอาบน้ำอีกด้านหนึ่ง
เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้ว ทั้งสองจึงมาทานมื้อค่ำกันอย่างเงียบๆ
ทว่ามีคนหนึ่งที่น่าสงสารนัก
คนผู้นั้นก็คือถงจื่อจิ้ง
หลังจากที่เขาถูกมั่วเชียนเสวี่ยไล่ให้ไปพักกลางวัน เดิมทีอยากจะไปดูพี่เชียนเสวี่ยเสียหน่อย จากนั้นค่อยหารือกับพี่เชียนเสวี่ยของเขาเรื่องที่เขาได้ความคืบหน้าใหม่ๆ เกี่ยวกับสีเคลือบ
ทว่ากุ่ยซายืนปักหลักนิ่งงันอยู่หน้าประตูใหญ่นอกเรือนเสวี่ยหว่านราวกับเสา บอกว่าพี่เชียนเสวี่ยของเขายังหลับอยู่ ไม่ว่าใครก็ห้ามรบกวน
ถงจื่อจิ้งไม่เคยปรานีใครอยู่แล้ว และไม่สนใจจะมีมารยาทด้วย แต่กลับไม่ป่าเถื่อนอันธพาลใส่พี่เชียนเสวี่ยของเขา ดังนั้นจึงจำต้องยืนรออยู่นอกเรือนเสวี่ยหว่านอย่างเงียบๆ
พอได้รอก็รอไปตลอดทั้งบ่าย
ภาพนี้กุ่ยซาเห็นแล้วค่อนข้างรู้สึกว่าเขาน่าสงสาร
ท่านหัวหน้าตระกูล พวกเราร่วมมือกันรังแกเด็กที่สติปัญญายังไม่โตเป็นผู้ใหญ่เช่นนี้มันจะดีหรือ
ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันเงียบๆ อย่างหาได้ยาก ร่วมทานมื้อค่ำกันอย่างอบอุ่นเช่นนี้ วันนี้หนิงเซ่าชิงจึงอารมณ์ดียิ่ง มุมปากเขาหยักยกขึ้นมา
เพ้อเจ้อ ขวางถงจื่อจิ้งที่เห็นแล้วขัดหูขัดตาไว้นอกประตูไม่ให้เข้ามา เขาย่อมเบิกบานใจเป็นธรรมดาอยู่แล้ว!
ใครให้วันๆ เขาเอาแต่ตามตอแยมั่วเชียนเสวี่ยเหมือนแมลงก้นเหม็นกันล่ะ
หลังจากทานมื้อค่ำเสร็จ ทั้งสองคนก็นั่งกันอยู่ในห้องรับแขก หารือเรื่องนี้กันอย่างละเอียด
“เซ่าชิง ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้มีลับลมคมใน!” ตั้งแต่ตื่นนอนมา สมองมั่วเชียนเสวี่ยก็เอาแต่คิดถึงเรื่องนี้
ก่อนหน้านี้เป็นเพราะเอาแต่กังวลมากเกินไปว่าสีเคลือบกระจกจะส่งมาไม่ทันในการใช้เป็นหลังคาของเรือนกระจกใหญ่ ดังนั้นสมองของมั่วเชียนเสวี่ยจึงไม่แจ่มใส
นางไม่เคยคิดเลยว่าแม้สีเคลือบจะเป็นสิ่งของราคาสูง จู่ๆ ยามนี้เมืองหลวงกลับของขาดกันหมด ไม่มีทางเป็นเรื่องธรรมดาๆ แน่นอน!
มันต้องมีคนกำลังขัดแข้งขัดขาอยู่แน่ๆ!
หนิงเซ่าชิงไม่ได้แปลกใจกับเรื่องนี้เลย ซ้ำยังเอ่ยหยอกมั่วเชียนเสวี่ยอีกว่า
“เสวี่ยเสวี่ยได้นอนครานี้ไม่สูญเปล่านะนี่”
เพียงแค่ช่วงบ่ายเท่านั้นก็สามารถคิดส่วนสำคัญของเรื่องนี้ออกได้ก็ไม่ใช่ง่ายๆ แล้ว
“หนิงเซ่าชิงท่านมันนิสัยไม่ดี!”
รู้ทั้งรู้ว่านางร้อนใจแทบตาย นึกไม่ถึงว่ายังมีเวลามาพูดเล่นกับนางอยู่ตรงนี้อีก ไม่ใช่คนนิสัยไม่ดีแล้วจะให้เรียกว่าอะไร
หลายวันทีเดียว ในที่สุดก็เห็นรอยยิ้มงดงามจุดแต้มบนริมฝีปากของมั่วเชียนเสวี่ย หนิงเซ่าชิงอดอุ่นใจขึ้นมาไม่ได้
เขายื่นมือไปบีบจมูกน้อยๆ ของนาง ใบหน้าประดับรอยยิ้มรักใคร่เหลือแสน
เขาหวังเพียงว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะมีความสุขไร้ทุกข์ให้กังวลเช่นนี้ตลอดไป เบิกบานใจในทุกๆ วัน แบบนี้ดีที่สุด
ทว่ามั่วเชียนเสวี่ยดันมีนิสัยอยู่ว่างๆ ไม่ได้ และไม่ใช่สตรีที่จะอาศัยให้ฝ่ายชายมาเลี้ยง เขาจึงจนปัญญา
หลังจากที่ทั้งจนใจและปวดใจแล้ว ก็จำต้องรับมันเท่านั้น
มั่วเชียนเสวี่ยปัดฝ่ามือใหญ่ที่มาวุ่นวายกับจมูกตัวเองไปเรียบร้อย สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้น นางบอกความคิดและการคาดเดาของตัวเองให้หนิงเซ่าชิงได้รู้
“เซ่าชิง ทุกอย่างมันผิดปกติไปหมดเลย ข้ารู้สึกว่าเหมือนมีคนแอบจับตามองการกระทำของพวกเราอยู่ในที่ลับ จากนั้นค่อยรอโอกาสทำลาย!”
หนิงเซ่าชิงพลิกมือมาบีบมือที่มาโจมตี ก่อนแตะที่ปลายจมูก “แล้วในใจเสวี่ยเสวี่ยมีคนที่สงสัยบ้างหรือไม่”
มั่วเชียนเสวี่ยส่ายหน้าตามจริง
นางคิดไม่ออกจริงๆ ว่าเป็นใครกันแน่ที่มีความแค้นใหญ่หลวงกับนางเช่นนี้และคิดจะสอดมือเข้ามายุ่ง
ต้องรู้ว่าสีเคลือบราคาแพง
ต้องทำให้สีเคลือบขาดตลาด เกรงว่าสิ่งที่จ่ายไปจะไม่ใช่น้อยๆ
ในเมืองหลวงแห่งนี้ แม้สีเคลือบจะราคาแพงมาก แต่ก็มักจะมีร้านค้าจำนวนหนึ่งที่ทำกิจการนี้
แรกเริ่มเลยยังพอทำเนา พวกนางซื้อสีเคลือบกันได้อย่างราบรื่น คนขายก็วิ่งไปหาของมาให้นางจนทั่ว แต่มาตอนนี้คนเหล่านั้นกลับไม่รับงานนี้กันแล้ว!