เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 507 ความวุ่นวายในพิธีหมั้น (2)
ตอนที่ 507 ความวุ่นวายในพิธีหมั้น (2)
เจิ้นหนานอ๋องก็ฟังความนัยของฮ่องเต้ออกเช่นกัน ทันใดนั้นจึงประสานมือเอ่ยสัญญาอย่างเคร่งขรึมว่า “รับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”
“ไปตีสนิทชาวตะวันตกเสีย ทำความคุ้นเคยให้มากหน่อย ความแค้นพึงละ ไม่พึงผูก…”
ฝ่าบาทไม่ได้ตรัสออกมาตรงๆ แต่เจิ้นหนานอ๋องกลับเข้าใจ ดวงตาเขาพลันเป็นประกาย
หรือว่า…
…
วันที่สิบสองเดือนหก ทำสิ่งใดล้วนราบรื่น
เดิมทีหนิงเซ่าชิงก็ไม่ได้หอบความหวังอะไรอยู่แล้ว ที่จะหวังให้ท่านย่าและบรรดาอี๋เหนียงในเรือนชั้นในจำเรื่องพิธีหมั้นของเขาได้แล้วจัดการให้เขาอย่างเหมาะสม
ที่เขาเอ่ยถึงเรื่องนี้กับเหล่าฮูหยินก็เพราะเขาไว้หน้านาง ที่บอกนางก็เป็นการทำตามมารยาทของหลานชายคนหนึ่งที่มีต่อย่า
หากนางเอาใจใส่มั่วเชียนเสวี่ยได้สักนิด เรื่องเก่าก่อนในอดีตให้มันแล้วไป เขาจะยิ่งเอาใจใส่นางกว่าเดิม หากนางยังคงรั้นไม่รู้ความอีก ก็อย่ามาโทษว่าเขาละเลยนางก็แล้วกัน
ในเมื่อไม่มีใครจัดการให้เขา เขาจำต้องจัดการเอาเอง
ถ้าอย่างนั้นก็ถือโอกาสที่ยามนี้เขาเป็นหัวหน้าตระกูลหนิงไม่ว่าจะทำสิ่งใดล้วนไม่มีใครกล้าแย้งทำมันเลยแล้วกัน
โชคดีที่ท่านพ่อสนับสนุน
แน่นอนว่าข่าวที่นายท่านอาวุโสหนิงไปเยี่ยมท่านแม่ของตนนั้นแทบจะถูกทำชุ่ยๆ อย่างขอไปที จนถึงยามนี้ยังมีอะไรที่เขาไม่เข้าใจอีก
สองคนพ่อลูกแอบเตรียมพิธีหมั้นหมายกันอย่างลับๆ แม้แต่แจ้งยังไม่แจ้งเหล่าฮูหยินสักคำก็จัดการพิธีหมั้นหมายเรียบร้อยแล้ว จะได้ไม่เกิดปัญหาเพิ่มเติมขึ้น
หนิงเซ่าชิงต้องมาจัดการพิธีหมั้น มั่วเชียนเสวี่ยย่อมได้ข่าวเป็นคนแรกอยู่แล้ว นางไหนเลยจะรู้เรื่องราวซอกแซกในจวนตระกูลหนิง
หนิงเซ่าชิงให้นางแจ้งพวกสหายสนิทของนาง ทุกคนต่างดีใจกันใหญ่ หน้าตาเบิกบานแจ่มใสด้วยความยินดี
ยามนี้หัวหน้าตระกูลมั่วคือมั่วจื่อถัง ไม่เพียงแต่จะไม่เป็นปรปักษ์กับมั่วเชียนเสวี่ยแล้ว ยังมีเจตนาจะปกป้องมั่วเชียนเสวี่ยอยู่ลับๆ ด้วย
ครานั้นที่ไฟไหม้ก็เคยช่วยนางไว้ เขาเองกำลังไว้ทุกข์ไม่อาจไปเยี่ยมนางด้วยตัวเองได้ แต่ก็ยังส่งคนมาถามไถ่เยี่ยมเยือน และคนเหล่านั้นก็มีมารยาทกับนางด้วย
การแสดงออกดีๆ เหล่านี้ มั่วเชียนเสวี่ยย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ ในเมื่อไม่เป็นปรปักษ์กัน แล้วเหตุใดนางจะวางใจไม่ได้
ต้องเชิญตระกูลมั่วมาด้วย
ตระกูลเฟิงกับตระกูลจย่าเรียกได้ว่าเป็นบ้านเดิมของมั่วเชียนเสวี่ย จย่าฮูหยินปฏิบัติต่อนางยิ่งกว่ามารดาแท้ๆ แน่นอนว่าก็ต้องแจ้งนางด้วย
ชังมู่พาคนไปคุยกับฝ่าบาทหนหนึ่งแล้วก็รั้งอยู่ในเมืองหลวงไม่ไปไหนเสียที เพราะรอวันให้ฝ่าบาทออกราชโองการสมรสพระราชทานให้นาง ให้พระองค์เห็นนางแต่งเข้าตระกูลหนิงไปอย่างปลอดภัยแล้วค่อยไป จะไม่เชิญชังมู่ได้อย่างไร
แล้วก็คนที่ห่วงใยนางและคนที่ฐานันดรสูงศักดิ์เหล่านั้น ไหนจะกลุ่มอำนาจรอบด้านพวกนั้นอีก ต้องเชิญมาให้หมด
แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ต้องมอบให้ผู้ดูแลมั่วไปจัดการ
เช้าตรู่วันที่ยี่สิบ บ้านไร่ก็วุ่นงานกันใหญ่
โชคดีที่บ้านไร่มีคนเพียงพอ ที่หนิงเซ่าชิงส่งมาให้เอย ที่นางเอามาจากจวนกั๋วกงเอย ที่มาจากหมู่บ้านหวังจยาเอย ไหนจะคนที่เพิ่งซื้อตัวมาใหม่อีก
มั่วจื่อถังกำลังไว้ทุกข์อยู่จึงไม่ได้มาด้วยตัวเอง แต่ให้สตรีรุ่นอาวุโสในตระกูลมาช่วยรับแขกเหรื่อแทน
แน่นอนว่าเฟิงอวี่เฉินย่อมไม่ได้ว่างงานอยู่แล้ว แขกที่เป็นบุรุษทั้งหลายมีเขาเป็นคนดูแล
“เชียนเสวี่ย ข้าจะไม่พูดถึงเรื่องอื่นแล้วนะ วันนี้ในเมืองหลวงต้องมีชนชั้นสูงมาไม่น้อย เจ้าอย่าได้ละเลยคนใดคนหนึ่งเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่”
จย่าฮูหยินกับมั่วเชียนเสวี่ยนั่งอยู่ในห้องนอนของมั่วเชียนเสวี่ย นางดึงมือมั่วเชียนเสวี่ยไว้ ก่อนเอ่ยกำชับมั่วเชียนเสวี่ยอย่างละเอียดด้วยน้ำเสียงใจดีมีเมตตา
เจ็บใจก็แต่ตัวเองที่ไม่ใช่มารดาแท้ๆ ของมั่วเชียนเสวี่ย มิฉะนั้นล่ะก็คงไม่มีทางย้ำนางคราแล้วคราเล่าไม่ให้ทำผิดในช่วงเวลานี้หรอก ทั้งยังแทบจะลงมือไปทำเองด้วยซ้ำ
นี่เป็นพิธีหมั้นหมาย เป็นวันที่ยิ่งใหญ่สำหรับชายและหญิงในการแลกเปลี่ยนใบที่บันทึกวันเดือนปีเกิดของคู่หมั้น แม้ว่านางจะเป็นมารดาบุญธรรม กลับไม่เหมาะที่จะเข้าไปร่วมด้วยมากนัก
“ท่านแม่บุญธรรมโปรดวางใจ เชียนเสวี่ยจะระวัง” มั่วเชียนเสวี่ยสีหน้ายิ้มแย้มกับคำกำชับของจย่าฮูหยิน ก่อนจะพยักหน้าขานรับ
แต่ไหนแต่ไรมาจย่าฮูหยินรู้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยเป็นคนที่มีความคิดและรู้ความ จึงได้วางใจลง
ขณะนั้นเองด้านนอกก็มีเสียงยินดีปรีดาของสืออู่ดังขึ้นว่า “คุณหนู! กูเหยียมาแล้วเจ้าค่ะ!”
แต่ไหนแต่ไรมาสืออู่เป็นคนไม่อินังขังขอบอยู่แล้ว นางเอ่ยพลางไม่สนใจอะไรทั้งนั้นพุ่งเข้ามาในห้องลูกเดียว “คุณหนูใหญ่ ขบวนของกูเหยียยิ่งใหญ่นัก!”
สืออู่ติดตามอยู่ข้างกายมั่วเชียนเสวี่ยมาตั้งแต่เล็กๆ ตอนเด็กๆ อยู่ที่เมืองหลวงเป็นเพื่อนมั่วเชียนเสวี่ย ต่อมาก็ติดตามมาที่บ้านตระกูลเฟิง เคยพบเคยเห็นงานพิธียิ่งใหญ่และแปลกใหม่มาไม่ใช่น้อยๆ แต่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นขบวนยิ่งใหญ่เพียงนี้
มั่วเชียนเสวี่ยกับจย่าฮูหยินสบตากัน พากันไม่เข้าใจว่าสืออู่จะตื่นเต้นอะไรนัก
แม้ว่าหนิงเซ่าชิงจะมาพร้อมขบวนใหญ่ แต่ก็เป็นแค่พิธีหมั้นเท่านั้น จะใหญ่ได้สักเท่าใดกันเชียว
มั่วเชียนเสวี่ยลุกขึ้นประคองจย่าเหล่าฮูหยินด้วยจิตใจที่ฉงนสงสัย ทั้งสองคนมองไปทางหน้าประตูพร้อมกัน…
โอ้…
มั่วเชียนเสวี่ยพลันเบิกตากว้างโตอย่างเหลือเชื่อ เมื่อจย่าฮูหยินเห็นภาพนั้นแล้วก็แย้มยิ้มอย่างปลื้มอกปลื้มใจ
“เชียนเสวี่ย” จย่าฮูหยินตบหลังมือมั่วเชียนเสวี่ยที่กำลังใจลอยอย่างปลอบโยน น้ำเสียงนางแฝงด้วยรอยยิ้ม
“เดิมทีข้ายังกังวลอยู่ว่าภายหน้าเจ้าแต่งเข้าบ้านตระกูลหนิงไปแล้วจะลำบากหรือไม่ แต่ยามนี้แม่กลับไม่ห่วงเลยสักนิด เห็นได้ชัดเลยว่าหัวหน้าตระกูลหนิงผู้นี้เอาใจใส่เจ้าจริงๆ”
ก็ใช่น่ะสิ จะไม่เอาใจใส่ได้อย่างไร สินสอดขบวนยาวเหยียดขบวนนี้ ยาวตั้งแต่ในสวนของบ้านไร่ออกไปไกล เห็นแต่หัวขบวนไม่เห็นท้ายขบวนเลย
อีกทั้งดูจากขบวนนี้แล้ว หัวขบวนเข้ามาในบ้านไร่ได้ แต่ท้ายขบวนอาจจะยังไม่ได้เข้าบ้านไร่มาเลยกระมัง
ใจนางพลันหวานซาบซ่าน ก่อนจะแย้มยิ้มออกมาอย่างเขินอาย
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นสายตาเป็นประกายที่จย่าฮูหยินมองมาก็พลันเขินนอาย
“ท่านแม่บุญธรรม…”
ฮ่าๆๆ
จย่าฮูหยินหัวเราะอย่างมีความสุข เด็กคนนี้เป็นคนสุขุมมาโดยตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นท่าทางเขินอายเช่นนี้ ดูแปลกใหม่ไม่น้อย
“นี่มันน่าอายตรงไหนกัน บ้านสามีให้ความสำคัญต่อเจ้า นั่นคือดีต่อตัวเจ้า! มีใครบ้างที่ตอนสาวๆ ไม่หวังให้บ้านสามีดีต่อตัวเองมากๆ”
มั่วเชียนเสวี่ยพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง นางรู้ว่าที่จย่าฮูหยินพูดมานั้นถูกต้อง และหวังดีต่อตัวนางทั้งสิ้น
“คุณหนูใหญ่ พวกเราออกไปกันเถอะ คนที่ร่วมขบวนมากับกูเหยียยังมีพ่อของกูเหยียอีกนะเจ้าคะ หัวหน้าอาวุโสตระกูลหนิงมาแล้ว”
ยามนี้ชูอีก็เข้ามาแล้วเช่นกัน นางรายงานเหตุการณ์ด้านนอกให้มั่วเชียนเสวี่ยฟัง
จย่าฮูหยินได้ยินว่าคนที่มาด้วยคือหัวหน้าอาวุโสตระกูลหนิง แต่กลับไม่มีสตรีอาวุโสตระกูลหนิงมาด้วยสักคน ก็ชะงักไปอย่างประหลาดใจ
แต่ไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา
ทว่าในใจนางกลับเป็นกระวนกระวายขึ้นมา และกังวลเพิ่มขึ้นไม่น้อย
มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้คุ้นเคยกับพิธีหมั้นในสมัยโบราณ จึงไม่ได้สังเกตว่ามันแปลกๆ ความคิดของนางคือมารดาของหนิงเซ่าชิงจากโลกนี้ไปแล้ว หนิงเซ่ากับบิดามางานหมั้น นั่นเป็นเรื่องปกติยิ่งนัก
นางสูดหายใจลึก ก่อนพยักหน้าให้จย่าฮูหยิน แล้วเดินไปด้านนอก
ในเวลาแบบนี้ ดวงใจก็ยังคงเต้นอย่างวิตกอยู่ดี