เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 546 สิ่งล้ำค่าที่สุดบนโลกคือสิ่งใด (2)
ตอนที่ 546 สิ่งล้ำค่าที่สุดบนโลกคือสิ่งใด (2)
กลางฤดูสารทผ่านไป ก็คือปลายสารท ฟ้าเพิ่งจะมืด ก็เริ่มหนาวเย็นแล้ว
ชูอีเห็นนางสวมอาภรณ์น้อยชิ้นก็กลัวนางจะหนาว จึงออกไปหยิบเสื้อคลุมบนรถม้าให้นางข้างนอก สืออู่ก็ตามไปหยิบน้ำชาในโรงเรือนข้างนอกเช่นกัน
ผู้เป็นนายยังไม่เข้าอยู่อาศัยอย่างเป็นทางการ เหล่าข้ารับใช้ย่อมไม่สามารถเข้าไปพักก่อนได้
ทอดสายตามองไป ดอกบัวเหี่ยวกระจัดกระจายอยู่ท่ามกลางใบบัวสีเข้ม ราวกับวิญญาณเร่ร่อนที่โผล่พ้นผืนน้ำ ลอยขึ้นๆ ลงๆ ไปตามทะเลสาบอันมืดมิด
นางเหนื่อยบ้างแล้วจริงๆ ไม่ใช่แค่ร่างกายที่เหนื่อย ใจก็เหนื่อยมากเช่นกัน เพียงแต่หวังว่าหนทางข้างหน้าของนางกับหนิงเซ่าชิงจะราบรื่นสักหน่อย อย่าได้มีใครโผล่ออกมาสร้างเรื่องวุ่นวายให้อีก
มั่วเชียนเสวี่ยเงยหน้ามองท้องฟ้า
คนผู้หนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังต้นไม้ใหญ่ อาภรณ์สีม่วงอ่อนตัวยาวโบกสะบัดเล็กน้อยตามสายลมยามราตรี คล้ายกับธารน้ำใสสะอาดในหุบเขาสาดกระเซ็น แต่ก็คล้ายกับแสงจันทร์สีนวลในคืนฤดูใบไม้ผลิ ทว่ากลับแฝงไปด้วยความเศร้าหมองจางๆ ที่ไม่ควรมีในฤดูใบไม้ผลิ
รู้สึกได้ว่าด้านหลังมีคนมา มั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่ได้เหลียวหน้าไปมอง เพียงแค่เอ่ยเรียบๆ ว่า “นับตั้งแต่เข้าเมืองหลวงมา ก็ไม่เคยเห็นฟ้ากระจ่างเช่นนี้มาก่อน”
นางเห็นชายเสื้อสีม่วงด้านหลังต้นไม้ใหญ่นั้นแต่แรกแล้ว และเดาฐานะของผู้มาเยือนได้เช่นกัน
นางให้ชูอีกับสืออู่ออกไป ไม่ใช่เพราะอยากสนทนากับเขาเป็นการส่วนตัวหรอกหรือ
เงื่อนนี้เป็นปมเพราะนาง นางหวังว่านางจะแก้ปมนี้ได้
ซูชีเป็นคนดีคนหนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นสุภาพบุรุษ นางชื่นชมเขามากจริงๆ หากไม่มีเงื่อนนั้นอย่างน้อยก็ได้เป็นสหายที่สนิทกันดีมาก
ตอนนี้เป็นไปไม่ได้แล้ว ถึงมั่วเชียนเสวี่ยจะไม่เพ้อฝันเป็นสหายกับเขาแล้ว แต่กลับหวังให้เขาอย่าดันทุรังต่อไปอีก หวังว่าเขาจะสามารถยอมรับความรักของท่านหญิงซูซู และยิ่งหวังว่าเขาจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
ซูชีเงยหน้าขึ้นตามวาจานาง
ท้องฟ้ากระจ่างใสราวสายน้ำจริงๆ ทางช้างเผือกอันไกลโพ้นพาดผ่านฟากฟ้า คลื่นเมฆาโอบอุ้มดวงดาราเต็มผืนฟ้าเอาไว้ กลางทางช้างเผือกเปล่งประกายแสงสีขาวสว่างจ้าราวเกล็ดหิมะ ได้ยินเสียงเรือนับพันโคลงเคลงเลือนราง เมื่อมองดูจึงทำให้ผู้คนมึนงงอยู่บ้าง
ชมท้องฟ้ายามราตรีกับนางเป็นครั้งแรก และไม่รู้ว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายหรือไม่
เขามานานแล้ว
น่าจะกล่าวว่ามาหลายครั้งแล้ว ได้ยินว่าวันนี้นางอยู่ที่จวน กลางวันเขามาครั้งหนึ่ง แต่ด้านหลังเขากลับมีกูเสี่ยวซูติดสอยห้อยตามอยู่ ข้างกายมั่วเชียนเสวี่ยก็มีหนิงเซ่าชิงอยู่เป็นเพื่อน ดังนั้น เขาจึงแค่กวาดตามองแวบหนึ่งแล้วจากไป
หลังจากนั้น ก็รอให้ฟ้ามืดด้วยความยากลำบาก กูเสี่ยวซูกลับไปจวนอ๋องแล้ว หนิงเซ่าชิงมีธุระกลับไปก่อน เขาถึงได้ซ่อนตัวมองนางจากที่ไม่ไกล ปกป้องนางลับๆ
ท่ามกลางความเงียบ มั่วเชียนเสวี่ยหันหน้าไป ซูชีก้มหน้าลงพอดี สองคนสบตากัน แต่กลับเบนออกจากกันอย่างรวดเร็ว
แต่ทว่า มองกันเงียบๆ คราหนึ่ง ในใจทั้งสองคนมีวาจาจะเอ่ย แต่ไม่มีใครเอ่ยขึ้นมาก่อน
รอจนถึงตอนที่เอ่ยออกมา ก็ดันเอ่ยออกมาในเวลาเดียวกัน
“ช่วงนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง…”
“ช่วงนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง…”
ไม่เพียงแต่จะเอ่ยพร้อมกัน กระทั่งวาจาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบอารัมภบทธรรมดาๆ ในตอนเริ่มต้นก็ยังเหมือนกัน
รู้สึกตัวขึ้นมา กลับเอ่ยออกมาพร้อมกันอีก
“เจ้าเอ่ยก่อน…”
“เจ้าเอ่ยก่อน…”
ระหว่างที่กระอักกระอ่วน ก็พากันเงียบ
ยังคงเป็นมั่วเชียนเสวี่ยที่ทำลายความเงียบงัน “เจ้ามองดูดาวที่สุกสกาวบนท้องฟ้านั่น เหมือนกับดวงตาหลายดวงหรือไม่”
ซูชีไม่ตอบอะไร
เขาคิดว่าดวงดาวจะทอประกายสว่างเพียงใด ก็ไม่ได้งดงามเหมือนรอยยิ้ม และไม่ได้เจิดจ้าเหมือนประกายที่เปล่งออกมาจากนัยน์ตานาง
มั่วเชียนเสวี่ยยื่นนิ้วชี้ดวงดาวบนฟ้า เอ่ยต่อว่า “นั่นคือดาวมฤตยู…ทางนั้นคือดาวไถ…ดาวดวงหนึ่งตรงนั้นคือดาวเหนือ…แค่เห็นดาวเหนือก็สามารถหาตำแหน่งที่ตนเองอยู่พบ…”
จะคุยความในใจกัน ก็ต้องเจาะประเด็นเข้าไปก่อน คงไม่อาจเข้าเรื่องตรงๆ ฉับเดียวได้เลยหรอกนะ
ได้ยินมาว่ายุคโบราณ เดินทัพ ทำสงคราม แยกแยะทิศทางล้วนอาศัยการมองทิศทางของดวงดาว ซูชีเกิดในตระกูลที่มีอำนาจทางการทหาร น่าจะศึกษาเรื่องปรากฏการณ์ของดวงดาวมาบ้าง น่าจะสามารถหาหัวข้อสนทนาร่วมกันได้
“เจ้ารู้จักกลุ่มดาวบนฟ้าด้วย?” ซูชีเอ่ยปากในที่สุด แต่กลับประหลาดใจเล็กน้อย
ต้องรู้ว่าสตรีในราชวงศ์เทียนฉีไม่ง่ายเลยที่จะรู้จักตัวหนังสือ สามารถเขียนได้ วาดภาพได้ ทั้งยังแต่งโคลงกลอนเป็น ก็ยิ่งเป็นสตรีมากความสามารถในหมู่สตรีมากความสามารถ แต่ที่รู้จักกลุ่มดาวนั้นยังไม่เคยได้ยินมาก่อน
มั่วเชียนเสวี่ยตะลึง พลันรู้สึกว่าตนเองหาหัวข้อสนทนาที่ไม่ดีเป็นอย่างมากมาเริ่มต้น
เป็นคนไม่ควรเปิดเผยความสามารถมากเกิน ไม่เช่นนั้นจะเป็นการนำภัยมาสู่ตัว หรือว่าจะแสดงความสามารถให้ประจักษ์มากขึ้นไปอีก?!
จึงตอบอย่างร้อนตัวว่า “ท่านพ่อนำทัพจับศึก มักจะอาศัยปรากฏการณ์ของดวงดาวมาคำนวณสภาพอากาศ ยังมี เมื่อไม่มีเรื่องอะไร ก็จะเอ่ยเรื่องพวกนี้กับข้าเล็กน้อย”
นี่คือข้ออ้างที่สมเหตุสมผลที่สุดเท่าที่นางจะนึกออก
“มั่วกั๋วกงเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่เก่งทั้งบุ๋นและบู๊จริงๆ”
“กล่าวชมเกินไปแล้ว”
“เจ้าสามารถทำนายชะตาเหตุการณ์ดีร้ายผ่านการสังเกตจากปรากฏการณ์ของดวงดาวได้หรือไม่”
วิชาที่ลึกล้ำเช่นนั้น นางจะเป็นได้อย่างไร
ตำแหน่งดวงดาวอะไรพวกนี้ก็ฟังมาจากอาจารย์สอนในคาบเรียนวิทยาศาสตร์ หรือไม่ก็เคยดูคลิปวิดีโอการเรียนการสอนด้านวิทยาศาสตร์ในโทรทัศน์ฉาย นางถึงได้รู้นิดหน่อย
“เรื่องนั้นไม่เป็น ท่านพ่อไม่เคยกล่าวถึง ท่านพ่อเพียงแค่บอกว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการออกไปข้างนอก นำทัพทำสงครามคือการแยกแยะทิศทาง บางครั้งก็สามารถอ้างอิงปรากฏการณ์ของดวงดาวมาคาดเดาทิศทางลมและสภาพอากาศได้ เช่นนั้น จังหวะเวลาและโอกาส ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ และพลังสมัครสมานของผู้คนในการขับเคลื่อน หากได้ครอบครองสองในสามปัจจัยนี้ก็มีโอกาสอย่างเพิ่มมากขึ้นอย่างยิ่งยวดแล้ว”
มั่วเชียนเสวี่ยตอบอย่างจริงจัง พลางคิดว่าจะดึงบทสนทนาไปที่ท่านหญิงซูซูได้อย่างไร
ซูชีสูดลมหายใจลึก สายตาที่มองมากลับมีนัยยะซับซ้อน “บิดาของเจ้าทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจ…เพื่อเทียนฉีจริงๆ”
เอ่ยถึงแว่นแคว้น เอ่ยถึงความทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจของบิดา นางพลันนึกถึงหลายวันก่อนหน้านี้ ตอนที่ซินอี้หมิงกับเจี่ยนชิงโยวมาเยี่ยม บทสนทนาแปลกประหลาดช่วงหนึ่งระหว่างซินอี้หมิงกับหนิงเซ่าชิง และยิ่งนึกถึงหลูเจิ้งหยางที่หลบหนีไปหนานหลิง
หลูเจิ้งหยาง คนผู้นั้นเป็นเนื้อร้ายที่คิดจะทำร้ายผู้คน ในเมื่อเขาไปถึงหนานหลิงแล้ว ด้วยความเสียสติของเขา ความวิกลจริตที่กลัวว่าใต้หล้าจะไม่วุ่นวาย เขาต้องยั่วยุอย่างเต็มที่แน่นอน
เกรงว่ากองทัพหนานหลิง จะมาถึงในไม่กี่วัน
ถึงตอนนั้น เทียนฉีจะต้องโกลาหล!
ส่วนนาง ดันคิดเล็กคิดน้อยเรื่องความรักใคร่ของหนุ่มสาวอยู่ตรงนี้ น่าหัวร่อเสียจริง
นางพลันมีสีหน้าจริงจัง
ครุ่นคิดในสมองรอบหนึ่งแล้ว ก็เอ่ยเสียงเบา “ท่านพ่อยังมีตำราพิชัยสงครามทิ้งเอาไว้ เพียงแต่เชียนเสวี่ยไม่เคยทำสงครามมาก่อน ถึงตอนนี้ก็ไม่อาจบรรลุเนื้อหาที่ลึกซึ้งและยอดเยี่ยมในนั้นได้ ตระกูลซูอาศัยวรยุทธ์ในการสืบทอดตระกูล คิดว่าเจ้าต้องคุ้นชินกับการอ่านตำราพิชัยสงครามตั้งแต่วัยเยาว์ ไม่รู้ว่าจะขอให้เจ้าช่วยวิเคราะห์ให้ข้าเข้าใจสักเล็กน้อยได้หรือไม่”
ในเมื่อนางทะลุมิติมาเทียนฉี ก็เป็นคนเทียนฉี ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้คนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนางล้วนอยู่ที่เทียนฉี
นางไม่สามารถเข้าสู่สนามรบ แต่จำเป็นต้องทุ่มเทแรงกายส่วนหนึ่งเพื่อสงครามครั้งนี้สุดกำลัง ตระกูลซูกุมอำนาจทางการทหาร นางก็จะยืมปากของซูชีให้นำตำราพิชัยสงครามนี้ไปใช้ในสถานที่ที่ควรนำไปใช้
สิ่งที่ตำราพิชัยสงครามให้ความสำคัญ ไม่ใช่การรักษาความลับ แต่คือคนที่ใช้มัน ไม่จำเป็นต้องเก็บซ่อนเอาไว้
ในยุคโบราณก็มีแม่ทัพจ้าวคั่ว[1]ที่เชี่ยวชาญตำราพิชัยสงคราม แต่กลับพ่ายแพ้ยับเยิน จนไม่มีโอกาสพลิกฟื้นขึ้นมาได้
เอ่ยถึงตำราพิชัยสงคราม ซูชีก็มีสีหน้าจริงจัง “ท่องให้ฟังหน่อย”
ในเมื่อตระกูลซูจะกุมอำนาจทางการทหาร ย่อมรู้ความเคลื่อนไหวของแต่ละแว่นแคว้นอย่างทะลุปรุโปร่ง หนานหลิงเตรียมจัดทัพเพื่อบุกโจม ในฐานะที่เขาเป็นบุตรชายภรรยาเอกตระกูลซูจะไม่รู้ได้อย่างไร
[1] แม่ทัพจ้าวคั่ว เป็นบุตรชายของแม่ทัพใหญ่จ้าวเซอ ซึ่งชมชอบที่จะศึกษาตำราพิชัยสงคราม และสามารถท่องกลยุทธ์ต่างๆ ได้แม่นยำ และถือว่าตนเป็นผู้กล้าไร้เทียมทาน ผู้คนต่างชื่นชมในความสามารถของเขา แต่ความจริงแล้วกลับยังอ่อนประสบการณ์ และเก่งการศึกษาตำราในกระดาษเท่านั้น เมื่อถึงเวลาต้องยกทัพไปรบ จึงนำกองทัพไปสู่ความพ่ายแพ้ ทำให้ทั้งตนเองและเหล่าทหารในกองทัพต้องพลีชีพในสมรภูมิรบ