เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 550 หลอกใช้ประโยชน์ของหญิงงาม (3)
มิเอ่ยอันใด แสร้งเป็นอ่อนโยน ยามแต่งตัวเรียบร้อยนั่งอยู่ข้างในนั้นก็เป็นหญิงงามสง่าผู้หนึ่ง
เมื่ออวี้กุ้ยเฟยเสด็จกลับวัง ก็สั่งให้หนีหมัวมัวเตรียมตัวให้ดี เพื่อหญิงงามที่อยู่ตรงหน้าซึ่งเดินทางมาอย่างปลอดภัย
จากนั้นก็หันหน้าไปปลอบประโลมพร้อมเตือนสวี่หยวนหยวนเป็นนัยๆ
“เจ้าอยู่ในวังของข้าไปก่อนเพื่อความปลอดภัย เรียนรู้การบรรเลงพิณ หมากล้อม อักษรและการวาดภาพ ฝึกสมาธิให้จิตใจตัวเองสงบ จากนั้นรอโอกาสเหมาะ ๆ ข้าจะจัดการให้เจ้าเอง”
“ขอบพระทัยเหนียงเหนียง…” เดิมทีหมัวมัวอบรมก็เป็นคนเข้มงวดอยู่แล้ว เมื่อได้รับคำสั่งจากนายท่านสวี่ก็ยิ่งเข้มงวดกว่าเดิม
เพื่อให้ผ่านด่านทดสอบ สวี่หยวนหยวนจึงตั้งใจเรียน ผ่านไปหลายเดือน ฝนทั่งให้เป็นเข็ม คราวนี้ได้จีบปากจีบคอแสร้งเป็นกุลสตรีก็เข้าท่าไม่หยอก
แต่ทว่าการที่นางทำท่าทางเช่นนั้น กลับทำให้อวี้กุ้ยเฟยถึงกับขมวดคิ้ว “เจ้าลงไปเถิด”
“เพคะ”
สวี่หยวนหยวนถอนสายบัว แล้วลงไปตามที่นางกำนัลชี้
หนีหมัวมัวเหลือบมองเงาหลังสวี่หยวนหยวนที่เดินออกไป ด้วยความสงสัย นางจึงมองผู้เป็นนายตัวเองอย่างมิใคร่สบายใจนัก
“เหนียงเหนียง ถึงแม้คุณหนูสวี่ดูไม่เลว แต่มีนิสัยโผงผาง ไม่ค่อยฉลาดเฉลียว ท่าทางดูไม่ทะเยอทะยานสักนิด ได้ยินมาว่าเป็นโรคควบคุมอารมณ์ไม่ได้ คนแบบนี้มีประโยชน์อันใดหรือเพคะ”
วันนี้อวี้กุ้ยเฟยอารมณ์ยิ้มแย้มแจ่มใส
หลังจากไหว้พระขอพรให้ฝ่าบาทแล้ว นางเสี่ยงเซียมซี กล่าวว่ามีความหวังแล้วให้ต่อกิ่งเสริมใบอีกนิด
ในที่สุดเอ้อร์เหวยก็พบคนที่จะติดตามวั่นจื่ออิ๋งไปที่ตระกูลหนิงแล้ว
ยื่นนิ้วไร้ที่ติดดุจหยกออกมา คิ้วที่ขมวดเป็นปมเมื่อครู่เพราะสวี่หยวนหยวนเชิดหน้าชูคอ บัดนี้คลายออกแล้ว
นางชื่นชมมือตัวเองพลางพูดอย่างไม่ยี่หระ “หากเพราะนิสัยนางล่ะก็ หากนางเป็นคนใจเย็น ข้าก็คงไม่เห็นนางในสายตา อีกอย่าง หากนางเป็นพวกชอบก่อเรื่องวุ่นวาย จะสร้างโอกาสให้จื่ออิ๋งได้อย่างไร จะดึงความดีของจื่ออิ๋งออกมาได้อย่างไร แล้วจะขัดขวางนังแพศยานั่นได้อย่างไร ทั้งนี้อดีตของนางแต่ละอย่าง เกรงว่าเมื่อมั่วเชียนเสวี่ยได้เห็นนาง คงติดขัดมากแน่ๆ”
หนีหมัวมัวกลุ้มใจ นางนึกไม่ออกจริงๆ ว่านายหญิงของตนใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไม่ชอบ แต่กลับอยากเพิ่มความยุ่งยากให้กับสตรีหมายเลขหนึ่งในอนาคตผู้นั้น
นางยังจดจำวันที่มั่วเชียนเสวี่ยเข้าเมืองหลวงครั้งแรก นายหญิงยังคิดลากนางมาเก็บไว้ภายใต้ปีกของตนอยู่เลย
จู่ๆ นายหญิงใส่ร้ายคุณหนูใหญ่ตระกูลมั่ว ทำให้ผู้อื่นเสียผลประโยชน์ ดีไม่ดี อาจจะมีศัตรูเพิ่มอีกหนึ่งคนก็เป็นได้
เมื่อนายหญิงเป็นทุกข์ คนที่โชคร้ายคนแรกคือคนรับใช้ที่คอยอยู่เคียงข้างอย่างพวกนางเป็นธรรมดา
ครั้นคิดถึงตรงนี้ หนีหมัวมัวลองหยั่งเชิงให้อวี้กุ้ยเฟยปล่อยหมากตัวนี้ไป “แต่ว่า นายท่านตระกูลหนิงรังเกียจนางเข้าไส้เลยนะเพคะ”
อวี้กุ้ยเฟยทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงทำเสียงฮึดฮัดใส่
“เพราะเหตุนี้ ข้าจึงพานางมาอบรมสั่งสอนในวังไงเล่า ให้นางรู้จักเดินหน้าถอยหลัง และคงไม่ถูกผู้อื่นกำจัดเร็วขนาดนั้น อีกอย่าง มีความสัมพันธ์กับข้า มีพระราชโองการของฝ่าบาท ด้วยทรัพย์สินตระกูลสวี่ของนาง คาดว่านายท่านตระกูลหนิงต้องเห็นแก่นางอีกครั้งแน่ ยิ่งไปกว่านั้น นางคือคนที่ฝ่าบาทพระราชทาน ขอแค่นางไม่กระทำผิดใหญ่หลวง ต่อให้มั่วเชียนเสวี่ยไม่ถูกชะตาเช่นไร ก็มิอาจลงโทษรุนแรงกับนางได้ ก็ต้องทนเกะกะสายตา จุกอกต่อไป…”
“แผนการขงเหนียงเหนียงแยบยลยิ่งนัก ข้าน้อยขอคารวะเพคะ”
แม้ในใจหนีหมัวมัวจะไม่เห็นด้วย แต่มาถึงจุดนี้แล้ว จึงทำได้เพียงพูดให้นายหญิงพอพระทัย
…
ณ ภัตตาคารอวี้จี้ ท่ามกลางหย่าเก๋อ
หนิงเซ่าชิงพิงเตียงข้างหน้าต่าง ทอดสายตามองไปไกล
มั่วเชียนเสวี่ยพิงกายเขา เล่นสายผูกข้อมือเขาไปพลาง ซึมซับช่วงเวลาแห่งความสุขที่มิได้หาง่ายๆ เช่นนี้อย่างเงียบๆ
นับตั้งแต่ที่มั่วเชียนเสวี่ยผูกเชือกรอบข้อมือของหนิงเซ่าชิงครั้งสุดท้าย หนิงเซ่าชิงก็ไม่ได้ถอดมันออกอีกเลย
ผู้ชายในยุคสมัยนี้นิยมสวมกำลังทองและกำไลหยกไว้บนศีรษะ หรือห้อยหยกกับผูกถุงหอมไว้รอบเอว แต่ไม่มีใครสวมอะไรบนข้อมือ
โดยเฉพาะผ้าคาดศีรษะ
แม้ว่าที่คาดผมนี้จะเป็นสีฟ้าอ่อน แต่ก็เข้ากันได้ดีกับสีน้ำเงินเข้มที่เขามักสวมใส่ แต่ทุกครั้งที่มั่วเชียนเสวี่ยเห็น มักจะนึกถึงตอนเป็นฝ่ายคร่อมทับหนิงเซ่าชิง แล้วยังเอาน้ำลายตนเองล้างหน้าเขาอีก ช่างน่าอับอายจริงๆ
นางพยายามอธิบายกับเขาหลายครั้ง แต่กลับถูกหนิงเซ่าชิงห้าม นี่คือหลักฐานที่นางต้องการมัดเขาไปตลอดชีวิต เขาจะปล่อยนางทำลายไม่ได้
เขาบอกว่า นอกเสียจากว่านางจะทำแหวนหายากให้เขาเปลี่ยนแทน มิฉะนั้นเขาจะสวมผ้าคาดผมนี้ไปตลอดชีวิต
แต่ขณะนั้นมั่วเชียนเสวี่ยหาหยกที่สวยงามสักชิ้นที่เข้ากับหนิงเซ่าชิงเพื่อนำมาฝังทำแหวนไม่ได้จริงๆ ภัตตาคารอวี่จี้เป็นหนึ่งในภัตตาคารที่ขายดีที่สุดในเมืองหลวง ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงตรงพอดี มีผู้มารับประทานอาหารจำนวนมาก การจราจรข้างนอกหนาแน่น บอกได้เลยว่าคนเนืองแน่นดั่งภูเขามหาสมุทร
แม้ว่าข้างนอกจะมีผู้คนมากมายและเสียงดัง แต่ข้างในก็เงียบมากโดยเฉพาะชั้นสาม
อวี่จี้จัดระเบียบให้มั่วเชียนเสวี่ย พร้อมเสนอการตลาดใหม่ๆ
ตอนนี้ลูกค้าที่เข้ามาทานอาหารในร้านต้องมีตั๋วสมาชิก ผู้ที่ไม่มีตั๋วสมาชิก จะต้องจองก่อนล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งวัน จึงจะสามารถเข้ามาทานอาหารข้างในได้
ยิ่งทำแบบนี้ คนก็ยิ่งแห่เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ
คราวนี้ตั๋วสมาชิกของอวี่จี้ก็กลายเป็นสัญลักษณ์แสดงสถานะของชนชั้นสูงในเมืองหลวง
วันนี้ แม้แต่ผู้ถือตั๋วสมาชิกก็ยังต้องจองล่วงหน้า มิฉะนั้นก็ไม่มีที่นั่ง
นอกจากนี้ พืชผักนอกฤดูกาลที่ปลูกในโรงเรือน ไม่ว่าจะเป็นแตงกวา ผักกาดหอม ถั่วแขก พริกเขียว กุยช่าย ฟักทองรอดตายมาได้ทั้งหมด
เมื่อก่อนหวังเทียนซงคิดเสมอว่า เพาะเมล็ดในฤดูใบไม้ร่วง จะรอดได้อย่างไร นอกเสียจากสวดมนต์แล้วสวดมนต์อีก
เขายืนยันว่าตามอัตราการเติบโตในปัจจุบัน ในอีกหนึ่งถึงสองเดือน ก็ใกล้การเก็บเกี่ยวเข้ามาแล้ว
เมื่อถึงเวลากว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้ ภัตตาคารอื่นๆ นอกจากเนื้อสัตว์ก็ไม่มีผักอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ อวี่จี้จะกลายเป็นภัตตาคารเลื่องชื่อในเมืองหลวง เกรงว่าต้องจองก่อนล่วงหน้าหนึ่งสัปดาห์ถึงจะมีที่นั่ง
กิจการแกะสลักรากไม้ก็กำลังไปได้สวย…
มั่วเชียนเสวี่ยตกอยู่ในภวังค์ความคิดตัวเอง ขณะที่หนิงเซ่าชิงเห็นร่างในอาภรณ์สีม่วงเดินผ่านไปข้างล่างหน้าต่าง
เมื่อผ่านภัตตาคารอวี่จี้ ก็หยุดชะงักและหันกลับมามองโดยไม่ได้ตั้งใจ
คนผู้นั้นกำลังแกว่งพัดเล็กๆ นั่นคือซูชีมิใช่หรือ!
ใบหน้าอ่อนโยนของหนิงเซ่าชิงพลันเย็นชา “เมื่อวานเจ้าเจอซูชีมาหรือ”
“อืม เจอแล้ว”
“พูดอะไรบ้าง”
ทำไมเหมือนสอบปากคำนักโทษแบบนี้
เมื่อครู่ยังดีๆ อยู่เลย ทำไมถึงหงุดหงิดเร็วนัก
มั่วเชียนเสวี่ยลุกจากตัวเขาอย่างไม่พอใจ แต่คิดไม่ถึง ขณะกำลังลุกขึ้นก็เห็นคนชุดสีม่วงอ่อนผู้นั้นด้วยเช่นกัน
นางชะงักค้าง
แม้จะมองเห็นหน้าไม่ชัดว่าเป็นซูชีหรือไม่ แต่เห็นแค่ท่าทางถือพัด ก็จำเขาได้ในทันที เรู้สึกหึงหวงเล็กน้อย และเข้าใจท่าทีของหนิงเซ่าชิงทันที
เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยนิ่งค้าง หนิงเซ่าชิงยังเข้าใจผิดอีก คราวนี้คงไม่ได้การแล้ว
เลิกคิ้วขึ้น ระงับโทสะ “ชวนท่านชายซูชีขึ้นมาดื่มซักจอกดีหรือไม่”