เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 552 เร่งความเร็วแปดร้อยลี้ (2)
ว่ากันว่า คนเรามิอาจโลภโมโทสัน
และแล้วการแก้แค้นของเขาก็มาถึง
ฝ่าบาทโศกาดูร เส้นผมที่จอนหูขึ้นเร็วกว่าที่คิด
ชางมู่เองก็นึกถึงเจิ้นกั๋วกงอุทิศตนเพื่อเทียนฉี จงรักภักดีต่อบ้านเมือง ถ้าเทียนฉีล่มสลายไปจริงๆ เช่นนั้นคงเกิดสงครามจลาจลในแถบชายแดนตะวันตกไม่หยุดหย่อน
นับตั้งแต่กั๋วกงจากไป ไม่รู้ว่าสวรรค์โศกเศร้าเหมือนกันหรือไม่ คิดไม่ถึงว่าจะเกิดภัยแล้ง อาหารขาดแคลน ราษฎรเริ่มไม่สงบสุข แล้วเริ่มตกต่ำอีกครั้ง
ชายแดนตะวันตกเพิ่งฟื้นฟูก็ถูกโจมตีอีกครั้ง หากมีสงครามในเวลานี้ เกรงว่าจะตกอยู่ในหายนะอีกครั้ง
ชางมู่ครุ่นคิดแล้วถอนหายใจ แต่ก็เหลือฟางเส้นสุดท้ายไว้ เขายังทิ้งท้ายไว้ว่าหากเจิ้นหนานอ๋องไม่สิ้นพระชนม์และตระกูลซูตกลงที่จะส่งทหารเข้ามา เทียนฉีอาจจัดสรรเสบียงอาหารได้เพียงพอ มีเพียงชายแดนตะวันตกที่ช่วยเทียนฉีกำจัดศัตรูอย่างจริงใจ
ก่อนที่ฝ่าบาทจะเกลี้ยกล่อมให้ตระกูลซูส่งกองกำลัง ทางชายแดนได้ส่งข่าวด่วนอีกครั้ง เจิ้นหนานอ๋องสิ้นพระชนม์ในสมรภูมิ! เทียนฉีสูญเสียสามเมืองติดต่อกันและกำลังล่าถอยเพื่อปกป้องดินแดน
ฝ่าบาทที่ทนรับการโจมตีติดกันหลายครั้งไม่ไหวอยู่แล้ว ครั้นเมื่อได้ยินข่าวนี้ ก็ทรงล้มลงหมดสติในตำหนักใหญ่ทันที
เหล่าขุนนางพากันตื่นตระหนก
ขันทีลู่ที่รับใช้ฝ่าบาทมานาน และมีความรู้ทางการแพทย์พอสมควร จับจุดชีพจรเหรินจงของฝ่าบาทอยู่นานสองนาน ฝ่าบาทที่สลบไปจึงได้สติกลับคืนมา
ฝ่าบาทถูกนำตัวลงไปพักผ่อน และบรรทมสนิทไปครึ่งวัน อาการทรงตัว มีไข้อ่อนๆ มีขุนนางใหญ่ผู้หนึ่งแนะนำให้พักหลายวัน ให้ฝ่าบาททรงรักษาอาการประชวรจนกว่าจะดีขึ้น
หมอหลวงก็บอกว่าฝ่าบาททรงกังวลและเหนื่อยเกินไป จำเป็นต้องพักพระวรกาย
อย่างไรก็ตาม เมื่อฝ่าบาททรงฟื้นแล้ว และได้สติก็ทรงปฏิเสธการรักษาทั้งหมด
เวลานี้รายงานศึกจากแนวหน้ามีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง แต่สถานการณ์ยังไม่สงบฝ่าบาทจะมีแก่ใจให้หมอรักษาได้อย่างไร
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญของการรวบรวมเสบียง ขุนนางขั้นเจ็ดที่รับผิดชอบกรมพระคลังและเสบียงถวายฎีกาความว่า ตระกูลเซี่ยผู้มั่งคั่งกำลังรวบรวมเสบียงและแอบกักตุนเสบียงไว้ด้วยความละโมบ
ฎีกานี้ดึงดูดพระทัยฝ่าบาท จึงรีบเรียกซินอี้หมิง ขุนนางขั้นเจ็ดที่เป็นผู้ถวายฎีกาให้เข้าเฝ้าทันที
ซินอี้หมิงรับสินบนจากตระกูลเซี่ย ทำงานรับใช้ตระกูลเซี่ย ตอนนี้ได้รวบรวมหลักฐานว่าตระกูบเซี่ยยักยอกเงินในพระคลังและเสบียงอาหารมานานหลายปี
หินหนึ่งก้อนเกิดคลื่นพันลูก
สถานะ ที่มาและประวัติทั้งหมดของซินอี้หมิงถูกเปิดเผยทั้งหมด
จากประวัติของเขา ไม่พบร่องรอยของผู้บงการ ทั้งหมดนี้มาจากความภักดีต่อฮ่องเต้และบ้านเมือง
เดิมทีเขาเป็นคนในค่ายทหารตระกูลเซี่ย ดังนั้นจึงไม่มีใครสงสัยหากเขาเผยหลักฐานดังกล่าว
หลักฐานมัดตัวแน่นหนา ผู้นำตระกูลเซี่ยและอันไจ่เซี่ยงแม่ทัพค่ายตระกูลเซี่ยถึงกับพูดไม่ออก
ฮ่องเต้พิโรธโกรธา สั่งให้จั่วโย่วไปจับตัวพวกเขา
จั่วโย่วสามารถจับตัวอันไจ่เซี่ยงได้ แต่หัวหน้าตระกูลเซี่ยกลับไม่ยอมจำนน
เขาเป็นหัวหน้าตระกูลใหญ่ เขาไม่เชื่อว่าฝ่าบาทจะทรงไม่ไว้หน้า จับเขาไปโดยไม่สนตระกูลที่แอบถ่วงดุลในเทียนฉี ปล่อยให้ตัวเองโดดเดี่ยวท่ามกลางพันธมิตรลับระหว่างตระกูลซูและตระกูลหนิงฃ
เมื่อเห็นจั่วโย่วจับตัวอันไจ่เซี่ยงไปได้ สำหรับเขาแล้วก็แค่ถอยไปตั้งหลัก เขามั่นใจว่าฝ่าบาทจะไม่ทำอะไรเขา อย่างมากก็แค่ตบหัวแล้วลูบหลัง ภายนอกดูรุนแรง แต่จริงๆ ก็เป็นแค่การตักเตือน
คราวนี้ เขาจึงชี้ไปที่ซินอี้หมิงแล้วด่าว่า “เจ้ามันกินบนเรือนขี้รดบนหลังคา คนลืมบุญคุณอย่างเจ้า เจ้า…พึ่งพาตระกูลเซี่ยถึงมีวันนี้ได้ เจ้ารับสินบนจากตระกูลเซี่ยของข้า แต่กลับเนรคุณฆ่าตระกูลเซี่ย…”
ซินอี้หมิงหาได้ตื่นตระหนกไม่ กลับตอบด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “กระหม่อมรับเบี้ยหวัดของราชสำนัก เป็นขุนนางของฝ่าบาท เกี่ยวข้องอันใดกับตระกูลเซี่ยของเจ้ามิทราบ”
ผู้นำตระกูลเซี่ยแค่พูดไปอย่างนั้น มิได้ต้องการหยามน้ำใจอันใด
แต่คำตอบของซินอี้หมิงเช่นนี้ ทำให้ความหมายของคำเหล่านี้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
เทียนฉีนี้เป็นของราชวงศ์ตระกูลกู มีเพียงฮ่องเท่านั้นที่มีสิทธิ์จ่ายเงินเดือนให้กับขุนนาง เขาในฐานะหัวหน้าตระกูล แม้ว่าอยู่ตำแหน่งไจ่เซี่ยง แต่ก็เป็นแค่ขุนนางคนหนึ่งเท่านั้น
คำพูดเหล่านั้นหมายความว่าความผิดของตระกูลเซี่ยไม่ใช่แค่การทุจริตอีกต่อไป แต่เพิ่มข้อหากบฏเข้าไปอีกด้วย
หากมีความผิดหนึ่งข้อหาก่อนหน้านี้ ฝ่าบาทอาจไม่ทำกับเขาถึงขั้นนี้ เพราะถึงอย่างไรก็ยังทรงต้องการใช้ผลประโยชน์จากตระกูลเซี่ยอยู่
แต่เนื่องจากประโยคนี้ของซินอี้หมิง จึงเผยเบาะแสเกี่ยวกับการทรยศของตระกูลเซี่ยได้ทันท่วงที
หากเป็นเมื่อก่อน ขุนนางคนใดที่กล้าทรยศตระกูลเซี่ย เกรงว่าชีวิตของเขาจะจบก่อนที่ฎีกาจะถวายถึงฮ่องเต้
แต่ถึงกระนั้น วันนี้ไม่เหมือนอดีตอีกต่อไป
ฮ่องเต้พิโรธควันออกหูอีกครั้ง
แม้จะตัดสินในแน่วแน่แล้ว แต่ก็ยังทนฟังต่อไป
ซินอี้หมิงเตรียมการมาอย่างดี หลังจากที่เงื่อนงำเหล่านั้นถูกเปิดโปง ก็เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง
ที่แท้ มั่วกั๋วกงที่กำลังอยู่ในสงครามชายแดนใต้ตอนนี้ถูกศัตรูล้อมรอบ ที่เสบียงถูกตัดขาด ก็เพราะตระกูลเซี่ยก่อการทุจริต
เรื่องราวช่างน่าเกลียดเหมือนที่เคยผ่านมา
ฝ่าบาททรงรู้สึกท้อแท้เหลือเกิน
ถึงแม้เขาต้องการรักษาตระกูลเซี่ยและตระกูลหนิงตระกูลซูที่เกี่ยวข้องมากแค่ไหน แต่ก็มิอาจทำได้อีกต่อไป
บัดนั้นทรงทนไม่ไหวจนกระอักโลหิตออกมา ทอดพระเนตรไปที่ซินอี้หมิง ตรัสชื่นชม “เจ้าเป็นขุนนางที่จงรักภักดีต่อบ้านเมือง ไม่กระหายอำนาจ เป็นแบบอย่างที่ดีแก่ขุนนางในราชสำนัก”
ตอนนี้ตระกูลเวี่ยจบสิ้นแล้ว เขาต้องดึงขุนนางคนสำคัญของราชสำนักเอาไว้ และควบคุมสถานการณ์ในราชสำนักทั้งหมด
“กระหม่อมรับเบี้ยหวัดจากฝ่าบาท เป็นขุนนางแห่งเทียนฉี กระหม่อมสมควรรับใช้ฝ่าบาท และเป็นตัวแทนราษฎรพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินถ้อยคำของซินอี้หมิง ฝ่าบาทก็เหมือนได้รับคำปลอบประโลม จากนั้นจึงมีพระบัญชาให้องครักษ์จับตัวผู้นำตระกุลเซี่ยมาให้จงได้ ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย แล้วเลื่อนตำแหน่งให้แก่ซินอี้หมิง พร้อมกับจัดลำดับขุนนางในราชสำนักขึ้นมาใหม่
ตระกูลเซี่ยมีความสัมพันธ์ที่หยั่งรากเหนียวแน่น แม้นหยั่งรากลึกในเทียนฉี แม้นเปรียบเสมือนเป็นลิ้นของราชสำนัก แต่ถึงกระนั้นก็ไม่พ้นข้อหากบฏอยู่ดี
ภายใต้บ้านเมืองวุ่นวาย จึงทำได้เพียงใช้ไม้แข็งเท่านั้น
ความผิดมหันต์ของตระกูลเซี่ยนั้น เสมือนตอกตะปูโรงศพแล้ว ปลดฮองเฮาจากตำแหน่งถือเป็นสิ่งที่ต้องทำประการแรก จากนั้น สถานะขององค์หญิงอวี้เหอในฐานะองค์หญิงองค์โตก็ถูกปลด และนางก็ถูกลดชั้นให้เป็นองค์หญิงขั้นต่ำสุดในวัง
จากนั้นก็จัดการตระกูลเซี่ยด้วยวิธีขั้นเด็ดขาด
เพียงแต่เขาครอบครัวใหญ่มีกิจการใหญ่โต ลูกค้าก็มากตามไปด้วย ทั้งยังเลี้ยงทหารส่วนตัวไว้มากมาย และไม่มีทางปล่อยมือพวกเขาไปเด็ดขาด
ทหารค่ายเซียวฉี ทหารตระกูลซูและแม่ทัพเก้าประตูได้ล้อมรอบคฤหาสน์ตระกูลเซี่ยหมดแล้ว ใช้เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน จึงฆ่าล้างตระกูลเซี่ยได้ทั้งหมด
จึงเกิดพายุนองเลือดอีกครั้งในเมืองหลวง และทุกคนก็ตกอยู่ในอันตราย
สามสิบปีในเหอตง สามสิบปีในเหอซี
อดีต ขุนนางในราชสำนักล้วนแข่วกันเลียขาตระกูลเซี่ย บัดนี้ ที่น่ากลัวที่สุดคือการมีความเกี่ยข้องกับตระกูลเซี่ย
มีลู่เจิ้งหยางเป็นตัวอย่าง คราวนี้ตระกูลกูไร้ความปรานี เพราะตระกูลเซี่ยถูกถอนรากถอนโคน
เมื่อตระกูลเซี่ยล่มสลาย ราชวงศ์เทียนฉีของตระกูลกู ซึ่งก่อตั้งมานานกว่าสามร้อยปีก็ระส่ำระสายเช่นกัน
หลังจากเหตุการณ์นี้ ปัญหาภายในและภายนอกซับซ้อนสลับกันไป และอาการประชวรของฝ่าบาทก็รุนแรงขึ้น ทรงอาเจียนโลหิตหลายครั้ง
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะประชวรแค่ไหน ก็ไม่มีวันไหนที่ไม่เสด็จออกว่าราชการ
เขาจัดแม่ทัพใหญ่พิชิตแดนตะวันตก
และจัดการพิธีศพให้แก่เจิ้นหนานอ๋อง