เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 556 ล่าถอย ระยะประชิด (1)
ภายใต้หัวใจที่เต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ…
อ้อ ไม่ใช่ น่าจะเป็นภายใต้ความหิวโซ นางจึงหยิบกินโดยไม่ทันคิด
ขณะนั้น ซูชีพึ่งเดินเส้นทางทัพกับพวกทหาร มองทั่วทั้งค่ายทหารจากที่สูง
เมื่อกลับเข้าไปถึงกระโจม
ก็เห็นทหารตัวเล็กๆ คนหนึ่งหันหลังให้และแอบกินขนมของเขา
การแอบกินเป็นเรื่องเล็กน้อย
มีคนบุกเข้ามาในกระโจมของเขาโดยไม่ได้รับอนุญาต บุกเข้ามาโดยไม่ซุ่มเสียง ถ้าหากความลับกองทัพถูกขโมยไป ผลที่ตามมาคือหายนะ
เขาปรี่เข้าไปโดยไม่คิด ยืนข้างหลังทหารน้อยคนนั้น แล้วตบหลัง ก่อนจะได้ยินเสียงร้องอู้อี้
ก่อนที่ซูซูจะกลืนขนม ฝ่ามือตบลงมากระแทกโต๊ะตรงหน้านาง
แม้หน้าผากเต็มไปด้วยเลือด และเจ็บตัว แต่ซูซูกลับดีใจ
นี่คือกระโจมของซูชี เขาต้องกลับมาแล้วแน่นอน…
ซูซูไม่สนว่าจะได้รับบาดเจ็บ ไม่สนความเจ็บที่แผ่นหลัง นางออกแรงทั้งร่างกายตะเกียกตะกายขึ้นมาจากพื้น นางหันหน้าไปยิ้มให้ เพราะไม่เห็นเขามาหลายวันแล้ว
ตั้งแต่เตรียมออกทัพ ซูชีก็ออกไปจากคฤหาสน์ นางจึงทำได้เพียงต้องกลับไปยังจวนจิ่งชินอ๋อง
จากนั้นใช้เวลาเตรียมตัวออกศึกประมาณสิบวัน เมื่อนับเวลาก็ล่วงเลยมาสิบกว่าวันแล้ว
ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือไม่
ซูซูที่หน้าผากโดนทุบจนแตกและเลือดเปื้อนมุมปาก ไม่ถามว่าเหตุใดซูชีจึงตีตนเอ แต่นางกลับยิ้มมุมปาก ถามว่า “เจ้ากลับมาแล้วหรือ”
เมื่อซูชีเห็นคนตรงหน้าชัดเจน ก็เบิกตาโตและสีหน้าพลันมืดมน
ฝ่ามือของเขาสามารถทลายภูผาหินได้ ซึ่งไม่ง่ายเลยที่จะรับไหว แม้นว่าจะเป็นชายชาตรีผู้แข็งแกร่ง ก็ไม่แน่ว่าจะรับไหว แต่เจ้าตัวเล็กคนนี้…
เขากระตุกยิ้มมุมปากอย่างช่วยไม่ได้ ถ้าหากเขาไม่คิดไว้ชีวิตล่ะก็ เกรงว่าเมื่อกี้คงตายไปแล้ว
ซูชีทั้งตกตะลึงระคนสงสารเอ็นดูอย่างบอกไม่ถูก แต่น่าจะโมโหมากกว่า “กูเสี่ยวซู เป็นเจ้าได้ยังไง”
ซูซูตกใจกับเสียงตะคอกอย่างโมโหของซูชี จากนั้นก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แล่นริ้วมาจากด้านหลัง ภาพตรงหน้าดำมืด
“ซูชี อย่าไล่ข้าไปเลยนะ…”
เมื่อพูดประโยคนี้จบ ซูซูก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป จากนั้นนางก็หมดสติไปทันที
ซูซูหมดสติอยู่ตรงนั้น ซูซูจะตะคอกก็ไม่ได้ จะตวาดก็ไม่ได้ ความโกรธของเขาไม่มีที่ลง เขาจึงได้แต่กำหมัดทุบโต๊ะอย่างแรง
ทันใดนั้นโต๊ะก็แหลกละเอียดเป็นผุยผง
จากนั้นหันหน้ามาจ้องคนตรงหน้าตาเขม็ง
ใบหน้าเน่งน้อยนั้นไม่สดใสเหมือนที่เคยเป็นอีกต่อไป มีเพียงความซีดเซียว มีรอยฟกช้ำใต้ตา และเลือดไหลซึมจากหน้าผาก…สงสัยการปลอมตัวหลายวันที่ผ่านมาคงลำบากน่าดู!
ด้วยสถานะและฐานะตระกูลของนาง ใครๆ ก็อยากแต่งงานด้วย แต่นางกลับหมายปองแต่เขาเพียงผู้เดียว
ไม่เข้าใจว่านางจะทนลำบากไปเพื่ออะไร!
เมื่อย้อนดูตนเอง ทันใดนั้นเขาก็คิดถึงมั่วเชียนเสวี่ยแล้ว หัวใจพลันเจ็บปวด
แล้วตัวเขาจะทนลำบากไปเพื่ออะไร!
ถ้าหากมั่วเชียนเสวี่ยมีใจให้เขาได้สักเศษเสี้ยวหัวใจของซูซู ให้ตายเขาก็ยอม
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาคิดเปรียบเทียบซูซูกับมั่วเชียนเสวี่ย
แต่ถึงกระนั้น อย่างที่มั่วเชียนเสวี่ยเคยบอก โลกนี้ไม่มีคำว่าถ้าหาก มีเพียงผลลัพธ์กับผลที่ตามมา
นางลุ่มหลงเขาจนตามมาเป็นระยะทางกว่าพันลี้ แต่เขากลับรังเกียจนางเพียงนี้ เขาไม่อยากแม้แต่มองหน้านาง
หรือว่า ในใจของเชียนเสวี่ย…ข้าซูชีก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน!
ทันใดนั้น ซูชีก็รู้ตัวว่าความโกรธเกลียดพลันหายไป
หัวใจพลันเย็นเฉียบ จนเดินเซถอยหลังไปหนึ่งก้าว
เขาส่ายหน้า
ไม่! เป็นไปไม่ได้!
ถึงแม้เชียนเสวี่ยไม่ชอบเขา ไม่ยอมรับรักจากเขา แต่อย่างน้อย นางก็มิได้โกรธเกลียดเขา!
หลังจากรวบรวมความมั่นใจ ก็หันหน้าไป ไม่มองหน้าซีดเซียวนั่นอีก ก่อนจะตะโกนเรียกคนที่อยู่นอกกระโจม “อาจ้าว”
อาจ้าวตอบรับ แล้วปรี่เข้ามา “ข้าน้อยอยู่นี่ขอรับ”
“ไปเรียกท่านหมัวมา” ซูชีสูดหายใจเข้า แล้วเอ่ยเสริม “จำไว้ อย่ากระโตกกระตากเป็นอันขาด”
ท่านหมัวเป็นหนึ่งในแพทย์ทหารไม่กี่คนของตระกูลซู
ครั้งนี้เมื่อซูชีออกทัพจับศึก หัวหน้าตระกูลกูจึงส่งท่านหมัวมาให้เขา
“ขอรับ”
อาจ้าวกวาดสายตาดูด้วยความสงสัย ก็เห็นคนผู้นั้นที่หน้าเหมือนกระดาษทองบนพื้น เขาส่ายหน้าเอือมระอา ก่อนจะรับคำสั่งแล้วออกไป
ซูชีหันกลับมามองคนที่นอนแอ้งแม้งบนพื้นอีกครั้ง อยากทำใจแข็งไม่สนใจนาง
แต่ถึงกระนั้นเขาก็เห็นใจนาง เพราะต่างก็เป็นไข้ใจเหมือนกัน
เมื่อนึกถึงความรักที่ผิดหวังกับมั่วเชียนเสวี่ย เขาก็ใจอ่อนลงไปสามส่วน
เขาไม่ระวังตีนางจนบาดเจ็บ จะให้นางนอนบนพื้นแบบนี้คงทำไม่ได้
ในค่ายทหารไม่มีสาวใช้นางกำนัลหรือพวกหมัวมัว ซูชีจึงต้องอุ้มนางขึ้นมาวางบนเตียงในกระโจมอย่างช่วยไม่ได้
ในไม่ช้า อาจ้าวก็พาท่านหมัวเข้ามา
ซึ่งสาวกขงจื่อวัยกลางคนที่ดูเหมือนนักวิชาการ
เมื่อเห็นยืนพิงอยู่ข้างนอกกระโจมท่าทางดีๆ ไม่เหมือนคนเจ็บเลยสักนิด ท่านหมัวก็แปลกใจเล็กน้อย แต่กลับไม่มีทีท่าตื่นตระหนก จากนั้นก็คำนับซูชีเงียบๆ
ขณะที่กำลังขอให้ซูชีนั่งลงเพื่อตรวจชีพจร อาจ้าวที่พาเขามาถึงกระโจมกลับกระตุกแขนเสื้อแล้วเอ่ยว่า “คนเจ็บไม่ใช่ท่านชายชีสัหน่อย”
อาจ้าวกวาดสายตามองรอบนอกกระโจมก็ไม่เห็นมีใคร แต่ก็ไม่ถามให้มากความ จากนั้นพาท่านหมัวเข้าไปข้างใน
ท่านหมัวสามารถทำให้หัวหน้าตระกูลซูถูกชะตาได้ ไม่ว่าจะเป็นทักษะการแพทย์หรืออุปนิสัย หัวหน้าล้วนไว้เนื้อเชื่อใจ
เมื่อตรวจชีพจรให้กูเสี่ยวซูแล้วพบว่านางเป็นสตรี เขาก็ตกตะลึง
มีผู้หญิงปรากฏตัวในค่ายทหาร ถือเป็นข้อห้ามอันเด็ดขาด
ถ้าคนอื่นรู้เรื่องนี้ เกรงว่าชื่อเสียงของนายน้อยจะยิ่งแย่ลงไปอีก เดิมทีท่านหัวหน้าวางแผนตั้งชื่อให้ท่านชายจากการออกศึกครั้งนี้
แต่เมื่อเห็นว่าท่านชายไม่แม้แต่จะเข้ามาในกระโจม ถึงแม้มีท่าทีกรุ่นโกรธ แต่มิได้หมายความว่าไร้ความกังวล น่าจะมิใช่ความรักใครชายหญิง ก็พอจะคาดเดาสถานะหญิงสาวที่นอนบนเตียงได้แล้ว
นอกจากท่านหญิงซูซูแล้ว ยังจะมีใครที่ทำให้ท่านชายลำบากใจได้ขนาดนี้อีก
เวรกรรมจริงจริ๊ง!
ท่านหมัวมองท่านชายซูชีที่ยืนนอกกระโจมไม่เข้ามาสักทีด้วยความงุนงง แล้วลอบส่ายหน้า พร้อมกับถอนหายใจเบาๆ
เขาเขียนใบสั่งยาทั้งภายในและภายนอก แล้วยังฝังเข็มผ่านเสื้อผ้า หลังจากสั่งให้ห้ามออกแรงมาก และให้พักเงียบๆ เขาก็ออกไป
หลังจากส่งท่านหมัวออกไปแล้ว ซูชีนั่งลงเก้าอี้ อาจ้าวยกโต๊ะตัวใหม่เข้ามาให้เขาแล้ว
จากนั้นมองคนที่อยู่เตียง
เขาจนปัญญาจริงๆ
สุดท้ายก็ให้อาจ้าวเอาสุรามาให้ แล้วนั่งดื่มคนเดียวเงียบๆ
อาการบอบช้ำภายในของซูซูสาหัสรุนแรง เขาจะให้อาจ้าวส่งนางออกไปตอนนี้ได้อย่างไร
จะให้ส่งนางกลับไปยังกระโจมที่มีแต่ทหารชายฉกรรจ์อย่างนั้นหรือ
ห้ามนางเหนื่อยเกินไป อารมณ์ก็ยังมิอาจแปรปรวนเกินไป แล้วก็มิอาจไล่นางออกไป จึงทำได้เพียงปล่อยให้นางอยู่ในกระโจมของเขา ครองเตียงของเขา…เพื่อรักษาตัว
เวลานี้ซูชีรู้สึกกลัดกลุ้มยิ่งนัก
อยากก้าวไปข้างหน้าแล้วตบอีกสักทีจริงๆ
ลูกหลานสายตรงของตระกูลเซี่ยในเมืองหลวงตายทั้งหมด ที่ดินศักดินากำลังถูกโจมตี ไม่ถึงหนึ่งเดือน ก็ถูกริบคืนทั้งหมด