เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 557 ล่าถอย ระยะประชิด (2)
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้แนวโน้มของการเผชิญหน้าแบบไตรภาคีของเทียนฉีค่อนข้างเปราะบาง
ในอดีต ตระกูลกูและตระกูลเซี่ยเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และอำนาจแทบจะอยู่เหนือตระกูลซูและตระกูลหนิง
ตอนนี้ตระกูลเซี่ยล่มสลาย แม้นว่าศักดินาจะถูกยึดครอง แต่โดยผิวเผินแล้วราชวงศ์ได้ใช้ประโยชน์จากตรงนี้ แต่ทว่าในความเป็นจริงแล้ว ฮ่องเต้เห็นด้วยว่าหัวหน้าตระกูลซูและตระกูลหนิงสามารถออกจากเมืองหลวงได้ทุกเมื่อ ถือว่าเป็นการประนีประนอมอีกครั้ง
หากทั้งสองตระกูลมีความคิดถอยออกไปจากเมืองหลวงจริงๆ ในอนาคต ก็จะยิ่งควบคุมยาก และปัญหาตามมาไม่รู้จบ
ตระกูลหนิงและตระกูลซูแตกต่างจากตระกูลหลูและตระกูลเซี่ย สิ่งที่ทั้งตระกูลคนมีคืออำนาจบารมีที่มองเห็นและจับต้องได้
เมื่อตระกูลเซี่ยล้ม อำนาจในราชสำนักจึงมีการเปลี่ยนผันครั้งใหญ่
ทันใดนั้นฮ่องเต้ก็เปิดรับสมัครตำแหน่งขุนนางว่างมากมาย ตำแหน่งมากมายเต็มไปด้วยคนที่แนะนำมาจากตระกูลหนิงและตระกูลซู
ฮ่องเต้กังวลมากจนไม่สามารถแม้แต่จะเสวยพระกระยาหาร
ส่วนเรื่องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นในวังหลัง เขาก็ทำได้เพียงแค่นยิ้ม
ผู้หญิงน่าเบื่อพวกนั้น ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ติดว่าการเอาชนะคนอื่นได้แล้วจะได้นั่งตำแหน่งฮองเฮาอย่างนั้นหรือ
ช่างไร้เดียงสาจริงๆ!
ตำแหน่งฮองเฮาราชวงศืกู ไม่เคยเตรียมไว้สำหรับสตรีนางใดทั้งนั้น
เขาจำเป็นต้องหาพันธมิตรอื่นๆ
จึงมีการออกคำสั่งลับหลายฉบับติดต่อกัน และมีคนหลายกลุ่มถูกส่งออกไปเพื่อเจรจากับตระกูลที่มีอำนาจแต่ไม่เป็นศัตรูกับผู้ใด
เขาเชื่อว่าจะต้องมีคนที่สนใจตำแหน่งฮองเฮาแห่งราชวงศ์กูของเขาเป็นแน่
“ฝ่าบาท จิ่งชินอ๋องเสด็จมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดของขันทีลู่หัวหน้าขันทีขัดจังหวะความคิดของฮ่องเต้พอดี
“ให้เข้ามา”
จิ่งชินอ๋องถวายบังคม ฝ่าบาทไม่มากพิธี แล้วพูดเข้าประเด็นทันที
“ตระกูลอวี้ฉือว่าอย่างไรบ้าง”
เมื่อมองดูใต้หล้าแล้ว ตระกูลมีอำนาจที่สามารถคานอำนาจตระกูลซูและตระกูลหนิงได้ มีเพียงอวี่เหวิน ไป๋หลี่ อวี้ฉือและตงฟัง สี่ตระกูลนี้เท่านั้น
ซึ่งหนึ่งในสี่ตระกูลนี้ อำนาจของตระกูลอวี้ฉือแข็งแกร่งและเหมาะสมที่สุด
ตระกูลอวี้ฉือไม่เพียงแต่ควบคุมทรัพยากรแร่ธาตุเกือบครึ่งหนึ่งของเทียนฉีเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจทางทหารอีกด้วย
ทหารเบ็ดเตล็ดตระกูลหลี่และทหารม้าหลายหมื่นนายของตระกูลจาง แม้จะอยู่สกุลหลี่และสกุลจาง แต่อันที่จริงแล้วอยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลอวี้ฉือที่อยู่เบื้องหลังต่างหาก
“ตระกูลไป๋หลี่และตงฟังเก็บตัวมิดชิด หาคนที่ติดต่อสื่อสารไม่ได้เลย ทางด้านอวี้ฉือตอบกลับมาว่าไม่อยากเข้าไปยุ่งกับความขัดแย้งใดๆ แต่ทว่า…ตระกูลอวี่เหวินดูเหมือนจะมีใจพ่ะย่ะค่ะ”
“ตระกูลอวี่เหวินงั้นหรือ” ฝ่าบาทประหลาดใจเล็กน้อย สำหรับพวกเขา คนที่ไม่น่าหลงกลคือตระกูลอวี่เหวินถึงจะถูก
จิ่งชินหวังเผยสีหน้าไร้ยางอาย “แม้นว่าตระกูลอวี่เหวินเกี่ยวดองกับตระกูลหนิง แต่นั่นก็ผ่านมาหนึ่งชั่วอายุคนแล้ว หัวหน้าตระกูลคนเก่ามิได้โปรดปรานผู้หญิงตระกูลอวี่เหวิน หัวหน้าตระกูลคนใหม่ก็ไม่ได้แต่งผู้หญิงตระกูลอวี่เหวินอีก ตอนนี้ตระกูลอวี่เหวินเปลี่ยนใจแล้ว ที่สำคัญ เวลานี้ หัวหน้าตระกูลอวี่เหวินไม่ทำอะไร ได้ยินมาว่าเอาแต่สำมะเลเทเมาหลงใหลในกาม กระหม่อมเห็นว่า ข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง เกรงว่าตระกูลอวี่เหวินคงจบสิ้นในรุ่นของเขาเป็นแน่ ไม่ต้องสนใจอีก”
ฝ่าบาทแย้มสรวล หลายวันมานี้ ในที่สุดเขาก็ได้รับข่าวดีสักที
ข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรง หน้าด้านไร้ยางอายอย่างนั้นหรือ ยิ่งตระกูลอวี่เหวินหน้าด้านมากเท่าไรยิ่งดี
ในเมื่อต้องการพึ่งบารมีตระกูลกู เช่นนั้นก็หยิบยื่นบุญคุณให้พวกเขาสักหน่อยก็แล้วกัน
ต่อให้พวกเขาไร้ประโยชน์เพียงใด ก็สามารถเป็นไม้กั้นหมาตระกูลหนิงได้
หลังบ้านตระกูลหนิง ยังพอมีที่ว่างสำหรับสตรีจากตระกูลอวี่เหวิน ไม่แน่อาจฝากให้เป็นหูเป็นตาได้บ้าง
บางครั้งพวกผู้หญิงก็ยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง
“กลับไปที่ตระกูลอวี่เหวิน หากยอมเสียสละเพื่อบ้านเมือง เจิ้นจะให้สตรีจากตระกูลอวี่เหวินเป็นกุ้ยเฟย”
ในฐานะฮ่องเต้ ผู้ปกครองใต้หล้า ไม่มีคำว่าโง่เขลา
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” ฮ่องเต้ประกาศิต จิ่งชินอ๋องก็เข้าใจความหมายขงฮ่องเต้ทันที
“แล้วจะทำเช่นไรกับตระกูลอวี้ฉือ ให้ปล่อยไปหรือพ่ะย่ะค่ะ หากตระกูลกูของพวกเราได้รับการสนับสนุนจากตระกูลอวี้ฉือ ทันใดนั้นก็ไม่ต้องเกรงว่าตระกูลซูและตระกูลหนิงจะแข็งข้อ”
ฝ่าบาทนิ่งคิดครู่หนึ่ง ก่อนตรัสอย่างระมัดระวัง “เอาอย่างนี้…คราวนี้รบกวนท่านลุงไปตระกูลอวี้ฉือด้วยตนเอง เจรจากับหัวหน้าตระกูลอวี้ฉือ หากตกลงกันได้ด้วยดี ก็ให้พวกเขาส่งรายชื่อบุตรีสายตรงมา เพื่อหมั้นหมายกับองค์รัชทายาท…”
“ฝ่าบาทจะทรงแต่งตั้งองค์รัชทายาทหรือพ่ะย่ะค่ะ” เดิมทีจิ่งชินอ๋องคิดว่าฝ่าบาทจะทรงแต่งตั้งให้เป็นฮองเฮาของตนเองเสียอีก
“เจิ้นแก่แล้ว เกรงว่าคงอยู่ได้อีกไม่กี่ปี…”
เจตนารมณ์ของเขาคือ เขาชราแล้ว อีกทั้งมีพระโอรสที่อายุไม่น้อยถึงสามพระองค์ ไม่มีแรงจูงใจแต่งตั้งฮองเฮาอีกแล้ว
“ฝ่าบาททรงพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อตระกูลกู…”
ทางด้านตระกูลซู หัวหน้าตระกูลซูอายุห้าสิบแล้ว ไม่มีกะจิตกะใจลงมาพัวพันกับอำนาจเหล่านี้
กิจการส่วนใหญ่ได้ถูกส่งมอบอย่างเป็นทางการให้กับซูจิ่นอวี้ลูกชายคนโต มีเพียงซูชีเท่านั้นที่ได้รับชัยชนะกลับมายังราชสำนัก ดังนั้นเขาจึงเปิดห้องโถงบรรพบุรุษและจัดพิธีสืบทอดอันยิ่งใหญ่
แม้นผิวเผินดูสงบเยือกเย็น แต่จริงๆ แล้วมันคือคลื่นใต้น้ำ
เช่นเดียวกับสถานการณ์ภายในคฤหาสน์ตระกูลหนิง
พึ่งพาอาศัย และเห็นใจซึ่งกันและกัน
เป็นสักขีพยานในจุดจบของตระกูลเซี่ย เมื่อนึกถึงตระกูลหลูล่มสลายในคราวนั้น หนิงเซ่าชิงและหัวหน้าตระกูลคนเก่ามิอาจนิ่งนอนในได้
“ท่านพ่อ พวกเราตระกูลหนิงต้องเตรียมการล่วงหน้าแล้ว เมื่อหมดผลประโยชน์ก็ต้องตาย หากไม่มีการป้องกัน ไม่ช้าก็เร็ว สายตรงตระกูลหนิงก็จะถูก…”
“เขากล้า!” อดีตหัวหน้าตระกูลตวาดลั่น
“อย่างน้อยในรัชสมัยของกูเยี่ยอวี้ พวกเขาตระกูลกูไม่กล้าแตะต้องตระกูลหนิงกับตระกูลซู นอกเสียจากว่าพวกเขาต้องการให้บ้านเมืองล่มสลาย!”
ตระกูลหนิงควบคุมเส้นทางเศรษฐกิจของเทียนฉี และตระกูลซูควบคุมอำนาจทางทหารเกือบหนึ่งในสาม ซึ่งทั้งสองตระกูลนี้มีความสำคัญมาก
แตะต้องตระกูลหนิง เศรษฐกิจของเทียนฉีเป็นอัมพาต
ถ้าแตะต้องตระกูลซู ประเทศจะไม่เป็นประเทศ
เว้นเสียแต่ว่า ตระกูลกูไม่ต้องการครอบครองใต้หล้าอีกต่อไปแล้ว!
อย่างไรก็ตาม ไม่มีสิ่งใดแน่นอนในโลกนี้
ราชวงศ์อดทนต่อตระกูลหนิงและตระกูลซู เพราะทั้งสองตระกูลอยู่ภายใต้จมูกของเขา
เป็นเพียงเพราะพวกเขายังคงสามารถควบคุมและใช้ประโยชน์จากสองตระกูลได้
ปัจจุบัน ทั้งสองตระกูลได้ดำเนินมาหลายร้อยปีแล้ว การดำรงอยู่ของพวกเขาเป็นภัยคุกคามของราชวงศ์ ต่อให้ตอนนี้ลงมือไม่ได้ แต่ก็ต้องลงมือสักวัน
ตระกูลหลูล่มสลายเพราะตัวเอง ตระกูลเซี่ยล่มสลายเพราะทำตัวเองเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม พังพินาศทั้งสองตระกูลมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ลงมือขณะที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว
ตระกูลขุนนางไม่สามารถตั้งกองทหารส่วนตัวได้ แม้ว่าพวกเขาจะยกพลขึ้นบกในศักดินา แต่ก็ต้องไม่เกินหมื่น
ตระกูลเซี่ยเลี้ยงทหารในศักดินาถึงหนึ่งแสนนาย หากฝ่าบาทไม่ทรงพบเห็นคงฆ่าหัวหน้าตระกูลเซี่ยตายก่อน แล้วปิดล้อมตระกูลเซี่ย ปิดเมือง แล้วสังหารตระกูลเซี่ยจนไม่เหลือสักคน
หากทหารส่วนตัวของตระกูลเซี่ยมีหัวหน้าตระกูลหรือท่านชายสามดูแล เกรงว่าตระกูลเซี่ยคงไม่มีจุดจบรวดเร็วขนาดนี้ สนับสนุนปีครึ่ง คาดว่าไม่น่าเป็นปัญหา
จะว่าไป ถึงแม้คราวนี้คนที่ทำให้ตระกูลเซี่ยพังพินาศคือผู้นำ แต่แรงผลักดันที่อยู่เบื้องหลังก็คือตัวเอง
แม้ว่าการป้องกันภายในของตระกูลหนิงจะแข็งแกร่งกว่าของตระกูลเซี่ยเป็นร้อยเท่า แต่ฐานทัพตระกูลหนิงในเวลานี้ยังคงเป็นเมืองหลวง
และตระกูลกูเป็นเจ้าถิ่นเมืองหลวง
หนิงเซ่าชิงไม่สามารถเอาอนาคตของตระกูลหนิงมาตัดสินว่าตระกูลกูกล้าหรือไม่
ในใจกลางเมืองหลวง รวมถึงชานเมืองหลวง ในอดีต มีเพียงราชวงศ์เท่านั้นที่สามารถส่งทหารและม้าประจำการได้