เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 558 มีแค่มันเท่านั้นที่เหมาะสม (1)
เมื่อมีอะไรเกิดขึ้น ปิดประตูทั้งเก้าและฆ่าอย่างไร้เหตุผล ยากที่จะหลีกหนี
แม้ว่าจะมีกองกำลังลับอยู่ก็ตาม เป็นไปไม่ได้ที่จำนวนน้อยจะชนะจำนวนมาก เพราะอาจชักช้าไม่ทันการณ์
เช่นเดียวกับตระกูลหลูในตอนนั้น
เช่นเดียวกับตระกูลเซี่ยที่ผ่านมา
หนึ่งวันหนึ่งคืน สังหารจนท้องฟ้าแดงฉาน…
ในเดือนนี้ กองทหารถูกส่งไปจับกุมคนตระกูลเซี่ยทีละคน…
ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของหนิงเซ่าชิงก็ยิ่งเคร่งเครียด
หากไม่มีรากฐานก็ไม่มีชีวิต
นี่คือเหตุผลที่ในตอนแรกเขากับหัวหน้าตระกูลซูเสี่ยงทวงบุญคุณกับฝ่าบาท…เหตุผลที่ในอนาคตหัวหน้าตระกูลและทายาทสายตรงที่เป็นผู้หญิงสามารถออกจากเมืองหลวงได้ตามต้องการ
ซึ่งการออกจากเมืองหลวงได้ตลอดเวลา ก็หมายความว่าสามารถหนีไปได้ตลอดเวลา!
“แม้ว่านี่คือเหตุผล แต่ว่าลูกกลับต้องการส่งคนออกไปต้าฮวง สำรวจการก่อสร้างก่อนเพื่อดูว่าสามารถปรับปรุงสภาพแวดล้อมได้หรือไม่ แล้วก็เป็นหนทางล่าถอยของตระกูลหนิง”
ทางล่าถอยใกล้เข้ามาแล้ว!
อดีตหัวหน้าตระกูลจะไม่รู้ถึงการเดิมพันที่เกี่ยวข้องได้อย่างไร เป็นเวลาหลายปี ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ราชวงศ์กูจะยอมให้พวกเขานั่งบนฐานที่เท่าเทียมกัน เขาก็อยากจะเปลี่ยนเช่นกัน แต่ทว่า…
“ต้าฮวงที่ปิดกั้นนั้น เป็นดินแดนที่ดื้อรั้น จะเปลี่ยนแปลงอย่างไร”
สีหน้าของหัวหน้าตระกูลคนเก่าเคร่งเครียด
“ตระกูลเซี่ยก็คือตัวอย่าง! ตอนแรกบอกว่ายกที่ดินศักดินาให้ แต่สิ่งที่ได้รับคือที่ดินแห้งแล้งกันดาร ที่ดินศักดินาของตระกูลเซี่ยน้ำท่วมเก้าปีสิบปี ที่ดินศักดินาของตระกูลหนิง แม้จะไม่มีอุทกภัย แต่ที่นาไม่มีพืชผลใดๆ พายุทรายรุนแรง แม้แต่ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นั่นก็เท่าหยิบมือ…”
เมื่อเทียบกับสีหน้าของอดีตหัวหน้าตระกูลที่มืดมนแล้ว สีหน้าของหนิงเซ่าชิงกลับแน่วแน่ยิ่งกว่า
“ในตอนนั้นเฮยมู่และรั่วสุ่ยทั้งสองเมืองก็ดีกว่าต้าฮวงของตระกูลหนิงเท่าไรนัก แต่ผ่านไปสิบปี ก็ดีขึ้นมามาก ได้ยินว่าสามปีก่อนสามารถเลี้ยงตัวเองแล้ว เราก็สามารถส่งคนไปศึกษาดูงานได้…ความหวังยังมีริบหรี่เสมอ”
“เจ้าคิดว่าโลกนี้มีมั่วเทียนฟั่งกับเฟิงชิงอวีกี่คน ไปทีเป็นสิบปี อุทิศทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลและการทำงานหนักทั้งชีวิตไว้ที่นั่น!”
ผู้อาวุโสกระทบกระเทือนจิตใจมากไป จึงทำให้ไอขึ้นมา
ในเวลานี้ หนิงเซ่าชิงรู้ว่าเขาไม่สามารถโต้เถียงกับเขาได้อีกต่อไป จึงก้าวไปข้างหน้าเพื่อลูบหลังหัวหน้าตระกูลด้วยความสงสาร
อาการไอลดลง หัวหน้าตระกูลถอนหายใจอย่างโล่งอก ดูเหมือนจะปลงได้แล้ว “เจ้าไปทำตามฝันของเจ้าเถิด หวังว่าจะเป็นสิ่งที่ดี”
ปัญหาที่หนิงเซ่าชิงกำลังคิดอยู่นั้น หัวหน้าตระกูลรุ่นก่อนที่ผ่านมาล้วนเคยคิดทั้งสิ้น ทั้งส่งคนไปจัดการเรื่องพายุทราย ที่แห้งแล้ง จัดการแอ่งโคลนเหลืองที่ไม่มีหญ้าขึ้น
แต่ทว่า…เสียเงินสูญเปล่าและไม่ได้อะไรกลับมา
อดีตหัวหน้าตระกูลออกจากเรือนไป หนิงเซ่าชิงจัดการเรื่องกระวนกระวายใจ แล้วกลับมาที่จวนกั๋วกงอีกครั้ง
ปลายเดือนสิบอากาศเริ่มเย็นลงแล้ว
ผักในเมืองหลวงมีเริ่มมีสีเหลืองมานานแล้ว มีเพียงกะหล่ำปลีและหลัวปัวบางชนิดเท่านั้น
เนื่องจากความพยายามอย่างหนักของมั่วเชียนเสวี่ยและเกษตรกรผู้เชี่ยวชาญของหวังเทียนซง ผักในเรือนกระจกจึงพร้อมที่จะออกสู่ตลาด
แน่นอนว่าเนื่องจากจำนวนที่น้อยจึงส่งได้เฉพาะภัตตาคารอวี่จี้เท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ภัตตาคารอวี่จี้จึงยิ่งแออัดมากขึ้นไปอีก และการจองล่วงหน้าได้ถูกกำหนดไว้เป็นเวลาเจ็ดวันแล้ว
หลังจากที่ซินอี้หมิงมอบอี้ผิ่นเซวียนให้กับมั่วเชียนเสวี่ย และด้วยวิธีทางการตลาดแบบต่างๆ ของมั่วเชียนเสวี่ย ตอนนี้งานแกะสลักรากไม้ก็มีชื่อแล้ว
แน่นอนว่าการแกะสลักรากไม้ที่แท้จริงและดีที่สุดคืออี้ผิ่นเซวียนของมั่วเชียนเสวี่ย
ที่ดินทะเลสาบจันทร์เสี้ยวผืนนั้นอยู่ในมือห้าเดือนแล้ว โรงงานก็สร้างเสร็จนานแล้ว
น้ำส้มสายชูชุดแรกวางตลาดแล้ว และซีอิ๊วชุดแรกอยู่ในขั้นตอนการต้ม และจะวางจำหน่ายในฤดูใบไม้ผลิปีหน้าเท่านั้น
ในช่วงเวลาอ่อนไหวนี้ ทุกคนกำลังตกอยู่ในอันตราย แต่กิจการของมั่วเชียนเสวี่ยกลับดีขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นนางจึงยุ่งมากเป็นธรรมดา
เมื่อหนิงเซ่าชิงมาถึง มั่วเซียนเสวี่ยกำลังคิดบัญชีภายใต้แสงตะเกียง
วันนี้เป็นหน้าที่ของชูอีและจื่อฉิง เมื่อเห็นเงาคนปรากฏตัว ก็ตกใจระคนดีใจ ขณะที่กำลังวิ่งไปรายงานเจ้านานของตนนั้น
หนิงเซ่าชิงยกมือขึ้นเป็นเชิงบอกพวกนางว่าไม่ต้องรายงาน
ชูอีและจื่อฉิงหน้าแดง และเข้าใจทันที
ประหลาดใจ!
กิจการยุ่งเกินไป แม้ว่านางจะเลือกคนมาช่วยทำบัญชีทั่วไปในเมืองหลวงแล้ว อย่างไรก็ตาม ต้องทำตามกฎเก่าในสมัยอวิ๋นอิ๋น โดยการทำสรุปบัญชีวันต่อวัน
บัญชีที่มั่วเชียนเสวี่ยกำลังคำนวณ คือยอดรายได้ของร้านค้ารายใหญ่ในเมืองหลวงวันนี้
จริงจัง เข้มงวด พิถีพิถัน!
อันที่จริง ด้วยสถานะปัจจุบันของนาง นางสามารถมองดูมันได้สบายๆ ในเวลาอันรวดเร็ว
แต่ในเมื่อต้องทำแล้ว ก็ต้องทำให้ดีที่สุด มันเป็นความเชื่อในชีวิตของนางเสมอ
เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามแผน การทำงานที่เคยชินและกฎเกณฑ์ต่างๆ ก่อตัวขึ้น ลูกน้องก็จะไม่กล้ายุ่ง และนางจึงสามารถค่อยๆ วางมือได้
หนิงเซ่าชิงเดินเข้าไปข้างในเบา ๆ มองดูคนที่อยู่ใต้โคมไฟ หนิงเซ่าชิงเต็มไปด้วยความเศร้า
อุปสรรคถาโถมมาแบบนี้ เขาจะปกป้องนางได้หรือไม่
ดูผิวเผินแล้ว สิ่งที่เขาให้นางคือความร่ำรวยมหาศาล แต่ความจริงแล้ว สิ่งที่เขาให้นางนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าความหวาดระแวง
นางจะยังเต็มใจเดินไปกับเขาหรือไม่
เขาค่อยๆ เดินเข้าใกล้และพิศมองอย่างทะนุถนอม
นางยังคงเป็นมั่วเชียนเสวี่ยคนเดิมที่อุทิศให้กับเขาในตอนนั้น
นางยังคงเป็น…
ทุกคนต่างมีสัมผัสที่หก มั่วเชียนเสวี่ยเงยหน้าขึ้นเมื่อรู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังจ้องมองนางอยู่
เมื่อเห็นคนตรงหน้า นางก็คลี่ยิ้ม
หนิงเซ่าชิงไม่ได้มาเจอนางนานมากแล้ว
นางคิดถึงเขามาก แต่นางก็ไม่เคยกล่าวโทษเขา
ช่วงนี้มีหลายเรื่องราวเกิดขึ้นในเมืองหลวง และตระกูลหนิงก็เป็นหนึ่งในนั้น ในฐานะที่เขาเป็นผู้นำ ดังนั้นจึงยุ่งเป็นธรรมดา
“เจ้ามาได้ยังไง”
“เสวี่ยเสวี่ยพูดอะไร ไม่ต้อนรับสามีหน่อยหรือ”
ขณะพูด หนิงเซ่าชิงก็เดินอ้อมโต๊ะมายืนข้างหลังมั่วเชียนเสวี่ยแล้ว จากนั้นกอดนางเบาๆ แล้วเป่าลมข้างหู
“ไม่ต้อนรับเจ้าตรงไหน ทั้งๆ ที่เจายุ่งจนหัวหมุน ลืมครอบครัวไปแล้ว ยังจะมางอนกันอีก!”
หนิงเซ่าชิงถอนหายใจ รู้สึกว่าช่วงนี้ไม่ได้มาหานางเลย อันที่จริงแล้วก็ไม่สมควรเท่าไร
แต่ว่าทุกครั้งที่เขามาก็ดึกดื่นมากแล้ว เขาอดปลุกนางตื่นไม่ได้จริงๆ
หลายครั้ง เขาแค่อยากมามองนางแวบเดียว ได้เห็นนางนอนหลับสนิท เขาก็พอใจแล้ว
หนิงเซ่าชิงไม่อยากต่อล้อต่อเถียงประเด็นนี้ เขาต้องการแค่ซึมซับบรรยากาศความสงบสุขที่เป็นของเขาและนาง
เขามองไปที่บัญชีแยกประเภทบนโต๊ะ “เจ้ายังคำนวณไม่เสร็จอีกหรือ ต้องการให้สามีช่วยหรือไม่”
มั่วเชียนเสวี่ยปิดสมุดบัญชี หันกลับมาโอบแขนรอบคอของหนิงเซ่าชิง “ข้าคำนวณเสร็จแล้ว ข้าแค่เบื่อก็เลยอยากตรวจสอบอีกครั้ง”
กิริยาและน้ำเสียงของนางช่างอ่อนโยนอ่อนหวาน
แต่ในใจกลับไม่สงบ!
วันนี้เซ่าชิงแปลกจัง! แม้จะมองนางด้วยสีหน้าแย้มยิ้มก็ตาม
รอยยิ้มอ่อนโยน รอยยิ้มสงบนิ่ง ราวกับกระถางดอกไม้แกะสลักน่าหลงใหล
แต่ถึงกระนั้น นางไม่สามารถสัมผัสได้ถึงขี้เนและความเสน่หายามมาหานางนางในวันธรรมดา
ไม่เพียงเท่านั้น นางยังเห็นความหนักใจและความกังวลในแววตาอีกด้วย
นางเป็นห่วงจริงๆ!
มั่วเชียนเสวี่ยกังวลเล็กน้อย นางเอามือของหนิงเซ่าชิงที่อยู่ด้านหลังออกแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้