เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 561 แค้นหนักต้องแก้แค้นโดยไม่ให้รู้ตัว (1)
ทว่า เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยเห็นหินเลือดหงส์ในเมืองผู้ดูแลแล้ว กลับพลันหวั่นไหวขึ้นมา
ความโปร่งแสงดีมาก ละมุนละไมยิ่ง ลายน้ำก็สวย
มันนี่แหละ!
มีเพียงอัญมณีแวววาวเช่นนี้เท่านั้นจึงจะสามารถเทียบเคียงกับอัญมณีในมือนางได้ จึงจะสามารถคู่ควรกับนิ้วเรียวยาวของหนิงเซ่าชิงได้
มั่วเชียนเสวี่ยมองหินเลือดหงส์ชิ้นนั้นด้วยดวงตาเป็นประกาย
ทรัพย์สินเงินทองเป็นของนอกกาย หากไม่เจอสิ่งที่ถูกใจ เหลือเงินไว้ก็เปล่าประโยชน์
อีกอย่างงานแต่งก็ใกล้เข้ามาแล้ว นางอยากจะใช้แหวนนี้สวมชั่วชีวิตของหนิงเซ่าชิงในคืนวันแต่งงาน
ทว่า…
ตั๋วเงินหนึ่งแสนตำลึงน่ะนางมี แต่จะให้หอบเงินสดหนึ่งแสนตำลึงมาเดี๋ยวนี้ มันค่อนข้างยุ่งยากสำหรับนาง
ผู้ดูแลก็กังวลเช่นกัน
“คุณหนูใหญ่ แม้ว่าคุณภาพของอัญมณีชิ้นนี้จะไม่เลว แต่เงื่อนไขนี้มันช่าง…” โหดร้ายเกินไป!
หากคุณชายท่านนี้บอกแค่ว่าหนึ่งแสนตำลึง แม้ราคาจะสูงไปหน่อย แต่อัญมณีก็ใหญ่และบริสุทธิ์มากพอ เขาคงรับซื้อแต่แรกแล้ว ทว่าคนเขาดันจะเอาเงินสดหนึ่งแสนตำลึงนี่สิ
ใครจะอยู่ดีๆ ควักเงินหนึ่งแสนตำลึงในบ้านออกมากัน
ยามนี้แม้ดูเผินๆ เมืองหลวงจะสงบสุขไร้คลื่นลมดี แต่ภายในกลับมีเรื่องราวมากมาย เรื่องบางเรื่องก็ไม่อาจป้องกันได้ด้วย!
มั่วเชียนเสวี่ยถืออัญมณีไว้ในฝ่ามือ แล้วหรี่ตาลงเล็กน้อย ถามว่า “เจ้ารู้ตัวตนของคนผู้นี้หรือไม่”
ผู้ดูแลครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนตอบอย่างระมัดระวังยิ่งว่า “ข้าน้อยอยู่ที่เมืองหลวงมาหลายปี ไม่เคยเห็นคุณชายคนนี้มาก่อนเลย…”
จู่ๆ เอาอัญมณีเช่นนี้มา คงจะเป็นคนที่ทั้งมีเงินและมีฐานะ ดูจากกิริยาท่าทางที่ไม่ธรรมดาของเขา กลับดูไม่คุ้นตา…
อัญมณีนี้ นางต้องเอามาให้ได้!
ด้วยเหตุนี้ นางจึงต้องทำความรู้จักคนผู้นี้เสียหน่อย
“ไปเชิญคุณชายคนนั้นมาในโถงด้านใน”
“ขอรับ” ผู้ดูแลทำตามด้วยความเคยชิน
ก่อนจะเดินออกไปกลับแย้งไปว่า “แต่ว่า…”
ในระหว่างที่เอ่ยติดๆ ขัดๆ นี้ สายตากลับส่งมาว่า ‘อย่างไรเสียคุณหนูใหญ่ก็เป็นสตรีที่ยังไม่ออกเรือน เจรจาการค้ากับบุรุษอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ว่าที่กูเหยี่ยจะคิดอย่างไรหรือไม่’
มั่วเชียนเสวี่ยเข้าใจทันที แต่ก็ไม่เปลี่ยนความคิด “ไม่มีแต่”
“หรือจะปลดม่านกางกั้นไว้ตรงกลางดี”
“ไม่ต้องหรอก”
ผู้ดูแลเดินก้มหน้าคอตกออกไป ในเมื่อนายหญิงตัดสินใจแล้ว เขาก็จะเอาแต่แย้งไม่ได้
คุณชายคนนั้นตามผู้ดูแลเข้ามาในห้องด้านใน เขาก้มศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าอย่างสุภาพเป็นการทักทาย
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นว่าเป็นสุภาพบุรุษ แต่ใบหน้ากลับนิ่งเรียบ แสดงความสุภาพอ่อนโยนและห่างเหินได้อย่างถึงพริกถึงขิง
นางทักทายกลับ แล้วเชิญให้เขานั่งลง
มองคนต้องมองที่ตา
แม้การจ้องตาคนอื่นตรงๆ จะไร้มารยาทมาก แต่มั่วเชียนเสวี่ยกลับไม่มีเวลามาสนใจอะไรมากมาย ผู้ดูแลยกชามาให้ นางส่งสายตาให้คุณชายชุดผ้าไหมดื่มชา แล้วสบตาคู่นั้น
ไม่ต้องให้เขาบอกจุดประสงค์ที่ต้องการเงินสดหรอก ขอแค่เขาไม่มีเจตนาร้ายก็พอ
เขามีดวงตาใสสกาวดุจธารา มีแววตาที่แผ่กลิ่นอายอยู่เหนือโลกีย์ออกมาท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่มีความสุขมากเกินไป มีความใจกว้างและเมตตาอย่างเป็นธรรมชาติ
คนที่มีดวงตาใสสกาวเช่นนี้ ไม่มีทางเป็นคนชั่วช้าอะไรได้หรอก
มั่วเชียนเสวี่ยจึงเบาใจลง นางแย้มยิ้ม ก่อนลองหยั่งเชิงไปว่า “คุณชายทราบที่มาของหินเลือดหงส์หรือไม่”
คุณชายอาภรณ์ไหมดูท่าทางเป็นนักปราชญ์ผู้สุภาพอ่อนโยน แต่สีหน้ากลับเย่อหยิ่งมาก
เขาตอบไม่ตรงคำถามว่า “หากไม่ใช่เพราะรีบใช้เงิน ซ้ำยังได้ยินมาว่าเทียนเสิ่งเซวียนของพวกเจ้ารับซื้อหินเลือดหงส์ราคาสูง ข้าน้อยก็คงไม่มาขายที่นี่”
“เทียนเสิ่งเซวียนตกลงทำการซื้อขายนี้ เพียงแต่เงินหนึ่งแสนตำลึงนั้น ขอเวลาให้ข้าสักสองวันได้หรือไม่”
เขายังคงตอบไม่ตรงคำถามดังเดิมว่า “คืนนี้ข้าน้อยจะมาเอาเงิน”
น้ำเสียงนั้นไร้ซึ่งช่องทางให้เจรจาต่อรองใดๆ
มั่วเชียนเสวี่ยก็ตรงไปตรงมายิ่ง “ได้ หากคุณชายเชื่อในตัวข้า ก็ขอให้ทิ้งหินไว้ที่นี่ หลังจากปิดร้านแล้วค่อยไปรับเงินสดที่ลานหลังร้าน”
แม้เงินหนึ่งแสนตำลึงจะเยอะมาก แต่เพราะงานแต่งนางใกล้เข้ามาแล้ว ดังนั้นจะได้วางเงินสดหนึ่งหมื่นแปดพันตำลึงไว้ก้นหีบเตรียมหามเข้าบ้านตระกูลหนิงพอดี
ปริมาณการขายสินค้าในร้านของอวี่จี้กับพวกร้านค้ามีอยู่จำนวนหนึ่ง หากเอามารวมกัน เงินสดหนึ่งแสนตำลึงก็น่าจะครบ
คุณชายอาภรณ์ไหมดวงตาเป็นประกายเหนือคาด
เขาต้องการเงินสดด่วนก็จริง มาที่นี่เดิมทีแค่หอบความคิดเผื่อจะบังเอิญโชคดีมาลองดูก็เท่านั้น
อย่างไรเสียเงินสดหนึ่งแสนตำลึง คนปกติไม่มีทางจ่ายทันทีได้อยู่แล้ว และไม่มีใครกล้าเอาออกมาให้คนแปลกหน้าด้วย
เทียนเสิ่งเซวียนร้านใหญ่ๆ เช่นนี้ เขาไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะเบี้ยว
แววตาเขาเป็นประกายชื่นชม น้ำเสียงไร้ซึ่งความเย่อหยิ่งเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
“หินเลือดหงส์ชิ้นนี้แม้จะราคาสูงมาก แต่ต้องการให้คุณหนูรวบรวมเงินสดหนึ่งแสนตำลึงมาภายในวันนี้ มันค่อนข้างยากไปหน่อย”
เขาเอ่ยพลางปลดหยกพกตรงบั้นเอวลงมา เอ่ยต่อว่า “ข้าน้อยมีแซ่ว่าไป่หลี่ หยกพกนี้เป็นหลักฐานยืนยันของข้าน้อย หากวันหน้าเจอปัญหาใด ให้ถือหยกพกนี้ไปที่หออีเซียง จะร่วมบุกน้ำลุยไฟด้วยแน่นอน”
เขาเอ่ยจบก็วางหยกพกไว้บนโต๊ะ แล้วจากไปทันที
ผู้ดูแลรีบออกไปส่ง
มั่วเชียนเสวี่ยมองแผ่นหลังคุณชายอาภรณ์ไหมที่บอกว่าตัวเองแซ่ไป่หลี่จากไป ก่อนจะหยิบหยกพกนั่นขึ้นมาพินิจมอง
มองความระแคะระคายจากหยกพกชิ้นนี้ไม่ออกจริงๆ
อันที่จริงหยกพกชิ้นนี้เป็นหยกประดับธรรมดาชั้นดีชิ้นหนึ่ง เพียงแต่ในวงแหวนของหยกพกนั้นกลับมีตัวอักษรสลักไว้ว่า ‘ไป่หลี่’
เมื่อผู้ดูแลเข้ามารายงานกับนางด้านในอีกครา นางก็เก็บหยกพกเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ก่อนจะสั่งอย่างรอบคอบว่า
“รักษาขนาดเดิมของอัญมณีเอาไว้ หาช่างฝีมือที่ดีที่สุดมาเจียระไนอัญมณีชิ้นนี้ให้เป็นแบบเดียวกันกับแหวนบนนิ้วข้า แล้วฝังไว้บนแหวนวงนี้”
มั่วเชียนเสวี่ยเอ่ยจบก็ถือกระดาษกับพู่กันมาวาดร่างแบบแหวน แล้วสั่งผู้ดูแลให้สั่งคนสลักตัว L กับ M ไว้ด้านในแหวน เป็นอันสั่งการเสร็จสิ้น
เพื่อมอบความแปลกใจระคนปรีดาให้หนิงเซ่าชิง นางพยายามเต็มที่ที่จะขับไล่กุ่ยซาที่เฝ้าปกป้องนางอยู่ข้างกายตลอดเวลาออกไป
ทว่า หลังจากกลับไปถึง นางคงต้องถามกุ่ยซาให้ดีเกี่ยวกับเรื่องของตระกูลไป่หลี่แล้วล่ะ
ผู้ดูแลรู้แต่แรกแล้วว่าแหวนวงนี้ทำเสร็จแล้วจะมอบให้ว่าที่กูเหยี่ย จึงไม่กล้าสะเพร่าแม้แต่น้อย
เขาพินิจพิเคราะห์ภาพอยู่เนิ่นนาน ถามคำถามมากมายติดกันเป็นพรวน จนกระทั่งเข้าใจแล้ว จึงได้พยักหน้ารับปากว่าจะฝังให้ออกมาตามภาพของมั่วเชียนเสวี่ย
กลางเดือนสิบเอ็ดมีรายงานทางสงครามมาไม่หยุดหย่อน
“รายงาน กองทัพของเราทำลายภาวะหยุดชะงักได้แล้ว และเปลี่ยนจากการป้องกันมาเป็นการโจมตี”
“รายงาน กองทัพของเราได้รับชัยชนะ ยึดคืนดินแดนที่เสียไปได้แล้ว”
“รายงาน กองทัพของเราขับไล่กองทัพใหญ่หนานหลิงให้ออกจากดินแดนเทียนฉีได้แล้ว”
สถานการณ์เดือดพล่านไปหมด
ยามนี้มีข่าวส่งมาอีกแล้ว
แม่ทัพซูไม่เพียงแต่จะแทงผู้บัญชาการใหญ่หนานหลิงให้บาดเจ็บหนักเท่านั้น ยังเข้าไปในทัพศัตรูโดยไม่สนใจอันตราย แล้วจับกุมตัวคนทรยศอย่างหลูเจิ้งหยางทั้งเป็นด้วย