เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 564 ความกลัวก่อนแต่งงาน (2)
นางทำได้แค่บอกตนเองว่า พื้นที่เล็กๆ แห่งนั้นเป็นพื้นที่สำหรับสหายสนิท เป็นเพียงมิตรภาพระหว่างสหาย
เมื่อวาจาที่มั่วเชียนเสวี่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดดังออกมา ซูซูคาดไม่ถึงว่า มั่วเชียนเสวี่ยไม่เพียงจะไม่รู้สึกตื้นตันใจต่อทุกสิ่งที่ซูชีกระทำ ไม่ซาบซึ้งใจต่อความจริงใจของซูชี แต่ยังบันดาลโทสะอีกด้วย
นางพลันมึนงงเล็กน้อย
เมื่อได้สติกลับคืนมาจากความคาดไม่ถึง ก็เต็มไปด้วยอาการตื่นตะลึง “เจ้า…เจ้ามันดื้อรั้น!”
“เจ้าต่างหากที่ดื้อรั้น ซูชีจับหลูเจิ้งหยางเพื่อสร้างความดีความชอบกับฮ่องเต้ เพื่อสร้างคุณูปการต่อแว่นแคว้น เพื่อขจัดภัยร้ายให้ประชาชน เพื่อผู้ที่มีความจงรักภักดีต่อบ้านเมือง เพื่อมอบคำอธิบายให้กับเจิ้นกั๋วกงที่พลีชีพเพื่อชาติ เกี่ยวอันใดกับข้า มั่วเชียนเสวี่ยด้วยกัน?”
ซูซูถูกวาจาเด็ดเดี่ยวและองอาจของมั่วเชียนเสวี่ยทำให้เสียใจจนเอ่ยอันใดไม่ออก นิ่งอึ้งอยู่นานสองนาน ถึงได้เอ่ยออกมาทีละคำ ทีละประโยค
“มั่ว…เชียน…เสวี่ย ข้ามองเจ้าผิดไปจริงๆ เจ้า…เจ้ามันหน้าซื่อใจคด!”
จากนั้นก็เอ่ยต่อว่า “เจ้า…เจ้าเป็นสตรีที่ใจคอโหดเหี้ยมที่สุดในใต้หล้า!”
เอ่ยจบ ก็หมุนตัวจากไป
หยาดน้ำตาพร่างพราวบริเวณหางตานั้น ไม่รู้เพราะถูกมั่วเชียนเสวี่ยทำให้โมโห หรือรู้สึกไม่ควรค่าแทนซูชี!
ในใจมั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกแย่อย่างยิ่งยวด
ตอนแรกก็ทำให้ซูชีเสียใจ ตอนหลังก็ทำให้ซูซูโมโหจนจากไป
หากว่านางจากไปทั้งแบบนี้จริงๆ เกรงว่าความเป็นสหายของพวกนางคงถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
แม้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะใจแข็งมาก และมีสติสัมปชัญญะยิ่ง แต่กลับควบคุมตนเองไม่อยู่
จึงทะยานตัวไปข้างหน้า ดึงซูซูเอาไว้
แม้ว่านางจะมีความลำบากใจ แต่กลับไม่อยากสูญเสียสหายสนิทที่มีใจทำเพื่อนางคนหนึ่งไป
ซูซูดิ้นรน มั่วเชียนเสวี่ยออกแรงบีบมือนางไม่ยอมปล่อย
ทั้งสองคนล้วนไม่เอ่ยวาจา แต่เสียงกลับดังไม่น้อย
เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหว สาวใช้และข้ารับใช้หลายคนที่เดินมาจากที่ไม่ไกลนัก ก็ตะลึงเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า
เหตุใดคุณหนูใหญ่ถึงได้ยื้อยุดฉุดกระชากนายทหารคนหนึ่งในจวนกัน
ชูอีเห็นว่าเรื่องนี้กำลังจะแย่ สาวใช้ในจวนมีทั้งที่เป็นคนเก่าและมีที่ซื้อมาใหม่ แม้ว่าจะเชื่อใจได้ ทว่าไม่กลัวเรื่องที่แน่นอน แต่กลัวเหตุไม่คาดฝัน
ใบหน้านางเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ขณะก้าวเข้าไป
“ท่านหญิงซูซู ไม่ได้มานานเลยนะเจ้าคะ วันนี้เพิ่งจะมา ก็ประลองฝีมือการต่อสู้กับคุณหนูใหญ่เสียแล้ว…”
เสียงของชูอี แม้ว่าจะเบาและนุ่มนวล แต่เมื่อเอ่ยออกมาแล้ว ทุกคนก็พิจารณามองรูปร่างของซูซูอย่างละเอียด
คนผอมบาง ไม่มีลูกกระเดือก เท้าเล็ก ขณะเคลื่อนไหว ทรวงอกก็กระเพื่อม…เป็นสตรีผู้หนึ่งจริงๆ!
ซูซูเคยมาเยือนจวนกั๋วกงหลายครั้ง เมื่อพิจารณาถี่ถ้วนแล้ว ก็มีคนจำได้ “โอ้ว เป็นท่านหญิงซูซูจริงๆ”
ทุกคนสบตากัน “คารวะท่านหญิงซูซูขอรับ/เจ้าค่ะ!”
พวกเขาก้มหน้า ปากเอ่ยคารวะ แต่ในใจกลับคิดว่า แต่ก่อนเคยได้ยินมาว่าท่านหญิงซูซูเป็นคนยโสโอหังผู้หนึ่ง นี่มันสมคำร่ำลือจริงๆ
“ท่านหญิงซูซูกำลังประลองฝีมือกับคุณหนูใหญ่ ไม่มีเรื่องอันใด พวกเจ้าก็ถอยออกไปเถอะ จะได้ไม่พลาดทำให้พวกเจ้าได้รับบาดเจ็บ”
ทุกคนเกรงว่าจะถูกลูกหลง หลังจากทักทายชูอีแล้วก็พากันแยกย้าย แสร้งไปทำงานของตนเองกัน
เอะอะโวยวายกันเช่นนี้ ซูซูจึงรู้สึกตัวขึ้นมา
คนที่ถือกำเนิดจากตระกูลใหญ่ จะมีกี่คนที่เป็นคนโง่ แม้ว่านางจะไม่สนใจไยดี แต่กลับไม่ได้เลอะเลือน รู้สึกได้ว่าวาจาของตนเองนั้นล้ำเส้นเกินไปหน่อย ซูซูก็ไม่ได้ดิ้นรนอย่างเด็ดขาดขนาดนั้นอีกแล้ว
นางดิ้นพอเป็นพิธีแล้วหยุดนิ่ง เพียงแต่ติดที่ศักดิ์ศรีหน้าตา แผ่นหลังจึงยังแข็งค้าง ไม่หันหน้ากลับไป
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นนางอ่อนลงแล้ว ก็กระซิบเสียงเบาที่ได้ยินกันแค่สองคนข้างหูนาง
“เชียนเสวี่ยมีสามีแล้ว ชั่วชีวิตนี้เป็นได้เพียงแค่คนตระกูลหนิง ในเมื่อไม่มีทางมีความสัมพันธ์กับเขาได้ ไฉนแบบนี้จะไม่ใช่เป็นการเกลี้ยกล่อมปลอบใจอีกวิธีหนึ่ง…”
มั่วเชียนเสวี่ยเอ่ยด้วยความสัตย์จริง และไม่ไร้เหตุผล แม้ว่าในใจซูซูยังเป็นเดือดเป็นร้อนแทนซูชี แต่ก็สูญสิ้นความแน่วแน่ไปแล้ว “แต่ว่า…”
“แต่ถ้าหากความมุ่งมาดเดิมของซูชีในการจับหลูเจิ้งหยางมาจากข้า มั่วเชียนเสวี่ย เกรงว่ายามพรุ่งคงได้เกิดข่าวลือไปทั่วเมืองหลวง เช่นนั้น จะให้ราชสำนักเอาความน่าเกรงขามไปไว้ที่ใด ตระกูลซูจะจัดการตนเองอย่างไร หนิงเซ่าชิงจะกระทำตนเช่นไร?!”
การทำร้ายนี้ ในเมื่อเป็นการเกลี้ยกล่อมปลอบใจ แต่ก็เป็นการปกป้องยิ่งกว่า
ซูซูผู้นี้เป็นคนนิสัยตรงไปตรงมา ในเมื่อคิดได้แล้ว ก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยอีก “ขอโทษ! ข้าเข้าใจเจ้าผิดไป!”
มั่วเชียนเสวี่ยส่ายหน้าแสดงว่าไม่ถือสา
ในใจนางก็รู้สึกแย่เช่นกัน
หากว่าเป็นไปได้ นางก็อยากจะแสดงความซาบซึ้งใจ และกล่าวขอบคุณซูชีดีๆ เช่นกัน
นี่ก็เป็นสาเหตุที่นางไม่เปิดโรงงานเต้าหู้ที่เมืองหลวง
และเป็นสาเหตุที่จัดส่งผลผลิตทั้งหมดจากโรงงานเครื่องปรุงกับโรงงานผลไม้กวนให้กับกิจการของตระกูลซูเป็นอันดับแรก โดยไม่จำกัดปริมาณการซื้อ
เพียงแต่ สิ่งเหล่านี้ยังห่างไกลจนไม่อาจตอบแทนได้
แม้ในใจจะเป็นทุกข์ แต่กลับไม่อยากตกอยู่ท่ามกลางความกระอักกระอ่วน มั่วเชียนเสวี่ยจูงมือซูซู ฝืนเก็บงำความเจ็บปวดเอาไว้ ใบหน้าระบายรอยยิ้ม สัพยอกว่า “ไปนั่งที่ห้องข้าเถอะ จะได้สนทนาเรื่องราวแปลกใหม่ในสองเดือนกว่านี้กับข้าด้วย”
ซูซูเป็นคนตรงไปตรงมาคนหนึ่ง โกรธง่ายหายเร็ว
นางมีสีหน้าลำบากใจ ชี้ไปยังเครื่องแบบทหารของตนเอง “ไม่ล่ะ! เสื้อผ้าชุดนี้ของข้าไม่สะดวกจริงๆ”
แม้ว่าเมื่อครู่เพิ่งทะเลาะกัน คนในจวนกั๋วกงล้วนรู้ว่านางคือท่านหญิงซูซู
แต่ท้ายที่สุดนางก็ยังคงสวมเสื้อผ้าของบุรุษ
หากว่าถูกลือออกไปจริงๆ หรือถูกหนิงเซ่าชิงที่มาเยี่ยมมั่วเชียนเสวี่ยกะทันหันเห็นเข้า ก็เกรงว่าจะเข้าใจผิดอีก
มั่วเชียนเสวี่ยปิดปาก จ้องมองนางยิ้ม ยากที่เด็กสาวจะมีช่วงเวลาที่คิดละเอียดรอบคอบ
ซูซูถลึงตามองนางจนหน้าแดงระเรื่อ จึงเอ่ยอีกว่า “ข้าเจอพวกพี่ชายในวัง และเพิ่งจะรู้ว่าเสด็จพ่อไม่อยู่ที่เมืองหลวง กลับมาเมืองหลวงแล้ว ก็ยังไม่ได้เจอเสด็จแม่เลย เกรงว่าคราวนี้คงรอคอยด้วยความกระวนกระวายใจแล้ว”
นึกถึงเสด็จแม่ขึ้นมา ในใจก็มีความรู้สึกคะนึงหาบิดามารดาเอ่อล้นออกมา ใบหน้าจึงมีความร้อนรนเช่นกัน
มั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่สะดวกจะรั้งเอาไว้อีก “เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะส่งเจ้าออกจากจวน รอเจ้ามีเวลาค่อยมาเที่ยวเล่นหาข้าที่จวน”
“อืม”
มั่วเชียนเสวี่ยสั่งการชูอีที่อยู่ไม่ไกลให้ไปเตรียมรถม้า แล้วจูงมือซูซูเดินไปยังทิศทางประตูจวน
“เชียนเสวี่ย วันแต่งงานของเจ้าอยู่ไม่ไกลแล้ว
“ใช่แล้ว ถึงตอนนั้น เจ้าต้องมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวของข้านะ…”
“เพื่อนเจ้าสาว?”
ซูซูเบิกตากว้าง ถลึงตามองมั่วเชียนเสวี่ยอย่างคาดไม่ถึง “เจ้าให้ข้า…แต่งเข้าตระกูลหนิงเป็นเพื่อนเจ้าเช่นนั้นหรือ”
นี่มันหมายความว่าอะไรกัน นางบอกเมื่อใดว่าให้นางแต่งเข้าตระกูลหนิงเป็นเพื่อนนาง?
มั่วเชียนเสวี่ยมึนงง…
ศีรษะของซูซูส่ายไปมาเหมือนกลองป๋องแป๋ง “ไม่ๆๆ! ข้าชอบแค่ซูชีเท่านั้น นอกจากเขา บุรุษที่ดีมากเพียงใด ข้าก็ไม่ต้องการ”
“พรืด…” นางควรจะอธิบายอย่างไรดีว่าเพื่อนเจ้าสาวนี่ไม่ใช่การแต่งงานตามเข้าไปด้วย?!
ชังมู่พักแรมที่ศาลาพักม้า เช้าวันที่สองก็มาคารวะมั่วเชียนเสวี่ยยามเช้า
งานเลี้ยงเฉลิมฉลองจบแล้ว เพียงแค่รอเข้าร่วมงานแต่งงานของมั่วเชียนเสวี่ยเรียบร้อย และแน่ใจว่านางเข้าประตูใหญ่จวนหนิงไปอย่างปลอดภัย เขาก็จะกลับชายแดนตะวันตก
ผ่านประสบการณ์การทำสงครามอย่างรุนแรงมา ชังมู่จึงเคร่งขรึมและเยือกเย็นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
หรือเป็นเพราะจับเป็นหลูเจิ้งหยางทเพื่อแก้แค้นให้กับเจิ้นกั๋วกงผู้เป็นวีรบุรุษในใจเขาได้แล้ว จึงมีสีหน้าค่อนข้างเศร้าสร้อยระคนผ่อนคลายที่สมปรารถนาเล็กน้อย
คารวะมั่วเชียนเสวี่ยยามเช้าเรียบร้อยแล้ว สายตาเขาก็มองไปทางอวี่เสวียนที่อยู่ด้านหลังมั่วเชียนเสวี่ยโดยไม่รู้ตัว