เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 565 ความกลัวก่อนแต่งงาน (3)
เมื่อนัยน์ตาสบกันก็รีบถอนสายตากลับมาทันที บรรยากาศคล้ายกับมีความคลุมเครือลอยฟุ้งด้วยเหตุนี้
มั่วเชียนเสวี่ยโค้งมุมปาก กระแอมไอเสียงเบา “ชังมู่ ท่านตั้งใจจะกลับชายแดนตะวันตกไปรายงานผลการปฏิบัติหน้าที่เมื่อใด”
“ท่าทีของฮ่องเต้คือต้องการให้ข้าไปจากเมืองหลวงภายในสามวัน แต่ข้าอยากรอคุณหนูใหญ่แต่งงานแล้วค่อยจากไป อีกครู่หนึ่ง ข้าน้อยจะถวายฏีกา ทูลขอความเมตตา…”
ตอนนี้ก็ต้นเดือนสิบสองแล้ว แม้ว่าจะห่างจากวันแต่งงานของมั่วเชียนเสวี่ยอีกสิบกว่าวัน แต่ทว่าหากรอเข้าร่วมงานแต่งงานเรียบร้อยแล้วค่อยจากไปจริงๆ ก็เกรงว่าจะกลับไปไม่ทันวันปีใหม่
มั่วเชียนเสวี่ยปรายตามองอวี่เสวียนที่อยู่ด้านหลัง “นั่นไม่จำเป็น”
“ข้าน้อยรั้งอยู่ที่นี่เพื่อเข้าร่วมงานแต่งงานของคุณหนูใหญ่ ฮ่องเต้ไม่มีทางไม่อนุญาต”
“ในเมื่อฮ่องเต้กำชับให้เจ้าไปจากเมืองหลวงภายในสามวัน เจ้าก็กลับไปก่อนเถอะ ตอนนี้สถานการณ์โดยรวมมั่นคงแล้ว เจ้ากลับไปที่ชายแดนตะวันตกเร็ววัน ฮ่องเต้สบายใจ เชียนเสวี่ยสบายใจ ผู้นำสองชนเผ่าและแม่ทัพทั้งสองก็จะได้สบายใจเช่นกัน…”
ชังมู่เข้าเมืองหลวงมาในครั้งนี้ ก็เพื่อทูลขอให้เบื้องบนประทานตำแหน่งและบันทึกความดีความชอบให้ กองทัพชายแดนตะวันตกปักหลักอยู่บริเวณเนินเขาที่ประตูฉางเหมิน
กองทัพตระกูลซูพักอยู่ใกล้กับทางใต้ของกองทัพตะวันออก เมื่อเสร็จสิ้นสงครามก็กลับไป ส่วนทัพเหนือที่อยู่ภายใต้การนำทัพของซูชี กลับตั้งมั่นอยู่ที่เนินเขาซานเป่ยห่างจากทิศเหนือของเมืองหลวงออกไปห้าสิบลี้
คิดว่าตอนนี้ฮ่องเต้น่าจะอกสั่นขวัญแขวน
คาดว่าการที่ให้เขาไปจากเมืองหลวงโดยเร็ว คงเป็นเพราะกลัวว่าสองทัพจะรวมตัว และมีเจตนาร้าย…
“วันนี้เข้าเมืองหลวงเป็นวันที่สองแล้ว ฮ่องเต้จำกัดเอาไว้ว่าภายในสามวัน พรุ่งนี้เจ้าก็พาอวี่เสวียนออกจากเมืองหลวงกลับไปชายแดนตะวันตกด้วยกันเถอะ”
“…”
ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในนั้นมั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้กล่าวออกมาตรงๆ
ในเมื่อก่อนหน้านี้ประมือกับฮ่องเต้มาก่อน ขอแค่ชายแดนตะวันตกสงบเรียบร้อย คาดว่าฮ่องเต้คงไม่กล้ามีความคิดทำร้ายมั่วเชียนเสวี่ยตามใจชอบอีก
ชังมู่เปลี่ยนความคิดที่ยืนหยัดของมั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้ จึงรับปากที่จะจากไป
อวี่เสวียนกลับยืนกรานที่จะอยู่ต่อ แต่จนปัญญาที่มั่วเชียนเสวี่ยแสดงมาดความเป็นเจ้านายออกมากดดันนาง นางจึงทำได้ทำตามคำสั่ง
มั่วเชียนเสวี่ยมอบของขวัญแสดงความยินดี กำชับให้ทั้งคู่แต่งงานกันเร็วๆ เรื่องที่ชีวิตนี้ของนางปรารถนาจะเห็นมากที่สุดก็คือคนที่มีรักแท้ได้ครองคู่กันตลอดกาล
วันถัดไป ชังมู่ทิ้งทหารกลุ่มหนึ่งไว้ให้มั่วเชียนเสวี่ย และพาอวี่เสวียนกับนายทหารชายแดนตะวันตกออกเดินทาง
จิ่งชินอ๋องกลับเมืองหลวงมาก็ตรงไปยังวังหลวงทันที
เมื่อเป็นฝ่ายมีชัยในการทำสงคราม ความหนักใจของฮ่องเต้ก็ลดลงไปเล็กน้อย ร่างกายที่รู้สึกหนักอึ้งในหลายวันก่อนหน้านี้ ก็เบาลงไปบ้างแล้ว
แม้จะยังไออยู่ แต่กำลังวังชากลับมีมากกว่าก่อนหน้านี้เยอะมาก
เห็นจิ่งชินอ๋องเข้ามาในตำหนัก หลังจากไอเบาๆ สองสามครั้ง ก็เข้าประเด็นทันที “หัวหน้าตระกูลอวี้ฉือว่าอย่างไรบ้าง”
“ตาเฒ่านั่นเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก จะยอมลงมือเมื่อเห็นเป้าหมายที่ชัดเจนเท่านั้น”
“หมายความว่าอะไร”
“เขาบอกว่า…”
“มีอะไรก็เอ่ยมาตรงๆ เราอภัยโทษให้เสด็จลุง”
ฮ่องเต้ร้อนใจเล็กน้อย จิ่งชินอ๋องก็ไม่พิรี้พิไรอีก
“เขาบอกว่าในปีนั้นฮ่องเต้ยังไม่ได้ยืนยันตำแหน่งรัชทายาท และแม้ว่าจะกำหนดตำแหน่งรัชทายาทลงมาแล้ว ถึงสตรีตระกูลอวี้ฉือจะได้เป็นฮองเฮา ก็เป็นแค่ตระกูลเซี่ยที่เป็นเครือญาติฮองเฮาอีกตระกูลหนึ่งเท่านั้น เขายังบอกอีกว่าตระกูลเครือญาติของฮองเฮาแล้วอย่างไร ในเมื่อคนบนบัลลังก์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลอวี้ฉือของเขาไปตลอดกาล แล้วเหตุใดเขาถึงต้องกระทำเรื่องชั่วร้ายกับผู้อื่นด้วย…”
ฮ่องเต้ฟังถึงตรงนี้ ก็ทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว เขาตบโต๊ะดังปัง
“ดี ดีมาก ตระกูลอวี้ฉือ มีความกล้าไม่น้อยเลยจริงๆ ถึงกับกล้าจับจ้องบัลลังก์ฮ่องเต้ เขาไม่กลัวว่าเราจะประหารตระกูลเขาทั้งตระกูลหรอกหรือ”
หัวหน้าตระกูลขุนนางเล็กๆ ตระกูลหนึ่งถึงกับดูแคลนตระกูลญาติฮองเฮาของตระกูลกู?!
จิ่งชินอ๋องจิตใจจดจ่อ ไม่วอกแวก และไม่ได้รู้สึกแปลกใจที่ฮ่องเต้บันดาลโทสะ
แม้ว่าโทสะนี้ของฮ่องเต้จะดูเหมือนรุนแรง แต่กลับแสร้งทำเป็นสงสัย เพียงเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของตนเองเท่านั้น
“ตระกูลอวี้ฉือของเขาเฝ้าป้องกันหุบเขาหลายลูก ไม่มีการไปมาหาสู่กับโลกภายนอก ไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกับตระกูลเซี่ยได้ บวกกับนอกหุบเขา มีโจรภูเขาหลายกลุ่มกับกองกำลังทหารประจำการหลายตระกูลเฝ้าคุ้มครองให้เขา แม้ว่าตระกูลกูคิดจะกลืนกินตระกูลอวี้ฉือ ก็ไม่อาจรวบได้หมดจด”
เกรงว่าหุบเขาแห่งนั้นจะยังมีเส้นทางลับให้หลบหนีไปด้วย
ตระกูลขุนนางที่หลบซ่อนตัว ไม่ได้มีรากฐานเพียงแค่หลายร้อยปีเหมือนตระกูลกู แต่กลับมีประวัติศาสตร์หลายพันปี จนถึงขั้นที่ยาวนานยิ่งกว่านั้น อิทธิพลอำนาจเช่นนี้ ความอดทนในการซ่อนเร้นเช่นนี้ ไม่กระทำความผิด ไม่โผล่หน้าออกมา ย่อมไม่กลัวตระกูลกูของเขาเป็นธรรมดา!
ฮ่องเต้แค้นใจ!
ตระกูลกูของเขาทำเพื่อประชาชน ทุ่มเทความคิด แรงกายแรงใจเพื่อเทียนฉี แต่กลับไม่สามารถเป็นผู้ได้รับความเคารพเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้าอย่างแท้จริง!
ฮ่องเต้กำหมัด “จะต้องมีสักวันที่ตระกูลกูของข้าจัดการกับตระกูลเล็กใหญ่แต่ละตระกูลพวกนี้จนหมด”
จิ่งชินอ๋องไม่ตอบรับ “ได้ยินมาว่า ในปีนั้นหลูเจิ้งหยางเคยไปหาเขา แต่กลับถูกหัวหน้าตระกูลอวี้ฉือโยนออกมา”
ความหมายในวาจาทำให้ฮ่องเต้วางใจ ตระกูลอวี้ฉือไม่ช่วยตระกูลกู แต่ก็ไม่มีทางทำเรื่องชั่วร้ายเด็ดขาด
เอ่ยเพียงแค่เล็กน้อย ฮ่องเต้ก็สามารถเข้าใจภาพรวมทั้งหมดได้ จึงคลายหมัด แค่นเสียงหนักในจมูก
“หลูเจิ้งหยาง? ก็แค่ตัวตลกต่ำทรามที่ทำการไม่สำเร็จคนหนึ่งเท่านั้น! ถูกเราประทานความตายให้ไปแล้ว”
ฮ่องเต้ไม่มีทางลืมว่าถูกหลูเจิ้งหยางหลอกเด็ดขาด และลืมไม่ลงว่าเคยแบกรับผิดแทนเขา
จึงประทานโทษแล่เนื้อเฉือนหนังให้กับหลูเจิ้งหยาง เมื่อวานตอนบ่ายก็เริ่มดำเนินการลงโทษ
“ดังนั้นฝ่าบาทโปรดคิดทบทวนเรื่องตระกูลอวี้ฉือ ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ตอนนี้ในเมืองหลวงมีตระกูลหนิงกับตระกูลซู ชายแดนตะวันตกก็มีสองชนเผ่า สองแม่ทัพ และยังมีอิทธิพลอำนาจอีกเล็กน้อย ตระกูลอวี้ฉือนี้ ทำได้เพียงแค่อภัยโทษ ไม่สามารถข่มขู่ได้เด็ดขาด
ฮ่องเต้เอ่ยคร่าวๆ “อภัยได้ดี ก็เหมือนเสือติดปีก ดีไม่ดี…จะไม่ต่างจากการเจรจากับคนชั่วเพื่อให้สละผลประโยชน์ให้ตนเอง”
เบื้องหน้าเอ่ยคร่าวๆ เลี่ยงประเด็นสำคัญไป ทว่าสายตาโหดเหี้ยมกลับขายจิตใจของเขา “เรื่องนี้…ไม่รีบร้อน! เสด็จลุงควบคุมหัวหน้าตระกูลอวี้ฉือเอาไว้ก่อน รอเราแต่งตั้งรัชทายาทค่อยว่ากัน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องตระกูลหนิงกับตระกูลซู ท่านมีความเห็นอย่างไร”
เจิ้นหนานอ๋องตายไป คนข้างกายฮ่องเต้ที่สามารถปรึกษาได้ก็มีแค่จิ่งชินอ๋องกับอวี้จวิ้นอ๋องแล้ว
แต่ว่าอวี้จวิ้นอ๋องผู้นั้นเป็นทหารที่มีร่างกายแข็งแรงกำยำ ทว่าไม่สันทัดในเรื่องการใช้สมอง
เกรงว่าจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ฮ่องเต้สามารถเจรจาได้
จิ่งชินอ๋องครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า ”ตระกูลหนิงกับตระกูลซูมีเนื้อแท้ที่ต่างกับตระกูลหลูกับตระกูลเซี่ย”
ฮ่องเต้ปรายตามองแวบหนึ่ง “ลองว่ามาให้ฟังหน่อย…”
“ตระกูลหนิงไม่ใช่ตระกูลหลูในปีนั้น แม้ว่าจะโอหังแต่ไม่ได้ใช้อำนาจบาตรใหญ่ อีกอย่างวรยุทธ์ของหนิงเซ่าชิงก็ได้รับการถ่ายทอดจากเจ้าอาวาสของวัดเซียงกั๋วด้วยตนเอง เจ้าอาวาสท่านนั้นถึงกับบอกว่าเขาเป็นอัจฉริยะในด้านการฝึกวรยุทธ์ ว่ากันว่าหนิงเซ่าชิงฝึกเคล็ดกระบี่มายาของตระกูลหนิงจนถึงขั้นสุดท้ายแล้ว ในสามร้อยปีมานี้เปลี่ยนหัวหน้าตระกูลไปหลายคน และมีแค่สามคนเท่านั้นที่ฝึกถึงขั้นสุดท้าย คนผู้นี้ จัดการได้ยาก!”
ฮ่องเต้สีหน้าเคร่งขรึม ไม่กล่าววาจาใด
จิ่งชินอ๋องเอ่ยวิเคราะห์ต่อไป
“ตระกูลซูก็ไม่ใช่ตระกูลเซี่ย คุณชายใหญ่ซูจิ่นอวี้ที่กำลังจะสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าตระกูลในเร็วๆ นี้เป็นคนที่คิดลึกซึ้งและกระทำการรอบคอบคนหนึ่ง ร่องรอยการเดินทางของซูชีก็ไม่แน่นอน เล่ากันว่าพัดเหล็กด้ามหนึ่งสามารถทลายภูเขาระเบิดก้อนหินได้ แม้ว่าจะไม่ให้กองทัพตระกูลซูเข้ามาอาศัยในเมืองหลวง แต่สุดท้ายตระกูลซูยังคงมีบารมีชื่อเสียงในกองทัพอยู่ดี หากว่าสู้กันขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าจะสั่นคลอนขวัญกำลังใจของทหาร…และเป็นไปได้ว่าจะมีคนคิดกบฏยามออกศึก….”
ฮ่องเต้ฟังการวิเคราะห์บนพื้นฐานความเป็นจริง โดยไม่มีความรู้สึกเข้ามาเจือปนของจิ่งชินอ๋องแล้ว
ความคิดก็ล่องลอยไปไกล
ทางที่ดีที่สุดคือให้ทั้งสองตระกูลสู้กันเอง…