เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 566 ความกลัวก่อนแต่งงาน (4)
แต่ตระกูลหนิงกับตระกูลซูมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาตลอด ได้ยินมาว่าความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างหนิงเซ่าชิงกับซูจิ่นอวี้นั้นไม่เลว แล้วจะสู้กันได้อย่างไร?!
เขาถอนหายใจ ควบคุมทั้งสองตระกูลก่อนแล้วกัน
ถึงอย่างไร พวกเขาก็ล้วนอยู่ในเมืองหลวง
ในปีนั้น พวกเขาหลายตระกูลล้วนสาบานอย่างหนักแน่นว่าจะไม่ทรยศราชวงศ์ตระกูลกูเด็ดขาด
หากว่าไร้สัจจะ ก็ยากที่สวรรค์จะให้อภัย
ตอนนี้เขาทำได้เพียงแค่แต่งตั้งองค์รัชทายาท แล้วรอให้ตระกูลอวี้ฉือตอบจดหมายกลับมาค่อยว่ากันอีกทีแล้วกัน
ยังมี อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันแต่งงานแล้ว ไม่มีคนจัดการให้มั่วเชียนเสวี่ย นางจึงทำได้เพียงแค่ยุ่งวุ่นวายด้วยตนเองคนเดียว
แม้ว่าจย่าฮูหยินจะมาจัดการให้นางหลายครั้ง จนถึงขั้นเสนอออกมาว่าจะพักในจวนกั๋วกงเพื่อดำเนินการให้นาง ก็ถูกนางปฏิเสธหมด
จย่าฮูหยินอายุไม่น้อยแล้ว สามารถมาเยี่ยมนางได้บ่อยๆ ชี้ทิศทางของงาน และให้คำแนะนำกับนาง นางก็พอใจแล้ว จะได้ทีขี่แพะไล่ ไม่พอใจได้อย่างไร
แน่นอนว่า หนิงเซ่าชิงก็มักจะให้คนมาส่งของบางอย่างบ่อยๆ
นี่ไง เตาหนูถูกนายท่านของตนเองให้มาส่งของอีกแล้ว
สำหรับงานที่สั่งให้มาทำนี้ เขาทั้งรักทั้งเจ็บปวดใจ
รักเพราะทุกครั้งที่มาล้วนได้เห็นสืออู่แวบหนึ่ง
เจ็บปวดเพราะ เขามาแล้ว สืออู่กลับไม่มองเขา เพียงแค่เขามา ก็จะหนีไปให้ไกล
เมื่อเตาหนูมา สืออู่ก็หลบเข้าไปในห้องนอนของมั่วเชียนเสวี่ย หยิบผ้าขี้ริ้วเช็ดนั่นเช็ดนี่
นางไม่กล้าไปหาข้ารับใช้คนอื่น
วันนั้นเมื่อเตาหนูไปหา จื่อฉิงและจื่อจู้ที่อยู่ด้วยกันกับนางต่างแยกย้ายกันไปราวกับผึ้งแตกรัง นางจึงถูกเตาหนูขวางเอาไว้อีกครั้ง
ทว่า คราวนี้นางลงมือตบเขาก่อน ทำให้เตาหนูที่เตรียมจะกล่าววาจามึนงง จากนั้นก็หนีหัวซุกหัวซุน
นางให้ชูอีรับของที่เตาหนูนำมาให้ แล้วไล่เตาหนูไป มั่วเชียนเสวี่ยเหลือบมองสืออู่ที่เช็ดโต๊ะอยู่แวบหนึ่ง “สีบนโต๊ะจะถูกเจ้าเช็ดจนลอกแล้ว”
“หือ?” สืออู่เงยหน้า ถึงได้ค้นพบว่าตนเองเช็ดอยู่ที่เดิมเป็นเวลานานสองนาน
มั่วเชียนเสวี่ยไม่เข้าใจ “ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้ากำลังกลัวอะไร เตาหนูจะกินเจ้าหรือ”
คนนอกที่เฝ้าดูนั้นร้อนใจกว่าเจ้าตัว
“…” สืออู่ยืนบิดผ้าเช็ดหน้าอยู่ตรงนั้น โดยไม่เอ่ยวาจาใด
มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มเจ้าเล่ห์ “สองสามวันนี้อากาศไม่เลว ออกไปย่ำเท้าลงบนหิมะ ก็โรแมนติกดี ไม่สู้ ข้าเรียกเตาหนูกลับมาแล้วให้เขาพาเจ้าออกไปย่ำหิมะ”
“ไม่เอาเจ้าค่ะ!” สืออู่เหลือบตาขึ้นมอง สีหน้าสะเทือนใจ งอตัวคุกเข่าลง “บ่าวผิดไปแล้ว คุณหนูใหญ่ให้อภัยบ่าวเถอะนะเจ้าคะ”
มั่วเชียนเสวี่ยลูบจมูก เห็นชัดๆ ว่านางช่วยให้ผู้อื่นสมปรารถนา ทำไมถึงดูเหมือนกับลงโทษอย่างไรอย่างนั้น
นางนั่งพิงตั่ง หลับตาพักผ่อน
ระยะนี้จิตใจนางสับสนมาก สืออู่ไม่ยินยอม นางก็ไม่สนใจนางอีก ถึงอย่างไรก็เข้าไปในจวนหนิงแล้ว วันเวลายังอีกยาวไกล
ชูอีวางของในมือเรียบร้อยแล้ว ก็มองเงาร่างไกลๆ นอกประตู แล้วเข้ามาประคองสืออู่ “สืออู่ ไม่ใช่ว่าข้าจะตำหนินะ เจ้าใจร้ายจริงๆ”
สืออู่สะบัดมือที่ประคองของชูอีออก สีหน้าดื้อดึง
“ชูอี ไม่ใช่ว่าข้าใจร้าย แต่…แต่ว่าข้ากลัว”
“เจ้ากลัวอะไร” ชูอีไม่เข้าใจ “ทั้งหมดล้วนมีคุณหนูตัดสินใจให้เจ้า”
“ข้ากลัว…ข้ากลัวว่าข้าจะเหมือนกับเจ้าที่ติดตามบุรุษไป”
วาจาของสืออู่ทำให้ใบหน้าชูอีแดงระเรื่อ
“หากว่าข้าไปด้วย ในภายภาคหน้าใครจะอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูใหญ่ ข้าเคยสาบานไว้ว่าจะไม่ไปจากคุณหนูใหญ่และปรนนิบัติคุณหนูใหญ่ไปชั่วชีวิต เหมือนกับที่หมัวมัวปรนนิบัติฮูหยิน ไม่แต่งงานกับผู้ใด ใครก็พาข้าไปไม่ได้…”
สืออู่เอ่ยแล้วนัยน์ตาก็แดงระเรื่อ นั่งคุกเข่าตรงตั่งของมั่วเชียนเสวี่ย
“คุณหนูใหญ่ ข้าขอร้องท่าน อย่าได้ไล่สืออู่ไป ในภายภาคหน้าสืออู่จะระมัดระวัง จะไม่มีทางให้คุณหนูใหญ่ต้องกังวลใจ”
มั่วเชียนเสวี่ยลืมตาขึ้น หมดวาจาจะกล่าว
มองขื่อคานที่งดงามอย่างเศร้าโศก
คนข้างนอกที่เดินไปแล้วกลับมานอกประตู ก็มองขึ้นไปด้านบนตามนาง เพียงแต่ที่มองนั่นเป็นท้องฟ้า
มองไปมองมา ก็ถอนหายใจแล้วจากไป
มั่วเชียนเสวี่ยลุกขึ้นมานั่งบนตั่ง ยื่นมือออกไปเช็ดน้ำตาที่รินไหลจากหางตาของสืออู่
จะบอกว่าไม่ซึ้งใจนั้นโกหก!
สืออู่รู้สึกไม่มั่นคง ส่วนลึกในหัวใจนางก็หวาดกลัวเช่นกัน
“สืออู่ เจ้ารู้ไหมว่าข้าก็กลัวเช่นกัน” มั่วเชียนเสวี่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม เป็นน้ำเสียงไร้เรี่ยวแรงที่ชูอีกับสืออู่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
“ข้ากลัวว่าในภายภาคหน้า เมื่อเห็นเขาอยู่กับสตรีอื่นแล้ว จะพุ่งเข้าไปจัดการเขาและสตรีข้างกายเขาอย่างอดไม่อยู่”
“ข้ากลัวว่าตนเองทนไม่ได้แล้วหนีไป ชั่วชีวิตอาศัยอยู่ในจวน แค่มองท้องฟ้ารอบๆ ก็ทำให้ข้ารู้สึกกลัวมาก”
“ข้ากลัวว่าจะลืมความมุ่งมาดปรารถนาเดิมของตนเอง ลืมสิ่งที่ตนเองเคยเชื่อ…”
“ข้าทนในสิ่งที่ตนเองไม่ยอมรับไม่ได้ และยิ่งไม่อยากกลายเป็นสิ่งนั้นในสายตาผู้อื่น แต่ว่าฐานะของเขา แม้ว่าเขาจะไม่อยาก แม้ว่าเขาจะเอ่ยคำสัญญามากมาย แต่ในใจข้ากับเขาล้วนเข้าใจดีว่า ถึงตอนนั้นเกรงว่าจะมีเหตุผลต่างๆ นาๆ ให้มีสิ่งนั้นๆ มากมาย”
“สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะกลายเป็นดาบแหลมคมที่ทิ่มแทงความรู้สึกที่ข้ามีต่อเขาจนมีบาดแผลไปทั่ว…”
นี่เป็นครั้งแรกที่มั่วเชียนเสวี่ยวิเคราะห์ตนเอง เพียงแค่คิดก็ทำให้นางเจ็บปวดรวดร้าวถึงทรวงใน เป็นเพราะนางรักลึกซึ้งเกินไป หรือว่านางใจแคบมากไปกันแน่
“ข้าไม่อยากกลายเป็นสตรีที่น่าหวาดกลัวเพราะความริษยา และยิ่งไม่อยากแบ่งปันหัวใจของเขากับผู้ใด…”
ชูอีกับสืออู่ถูกวาจาในส่วนลึกจิตใจของมั่วเชียนเสวี่ยทำให้ตะลึงค้าง
สืออู่พยักหน้าอึ้งๆ “คุณหนูใหญ่ หากว่ากูเหยียมีสตรีอื่น สืออู่จะช่วยท่านจัดการนางเจ้าค่ะ”
ชูอีกลับถอนหายใจ
หลายวันมานี้ ในเมืองหลวง นอกจากทัพใหญ่เคลื่อนทัพกลับมาพร้อมกับชัยชนะ เรื่องที่ใหญ่ที่สุดก็คือ การสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งหัวหน้าตระกูลซูเก่าใหม่…คุณชายใหญ่จิ่นอวี้แห่งตระกูลซูเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลซูแล้ว
งานเลี้ยงฉลองนี้สิ้นสุดนานแล้ว ฮ่องเต้ปล่อยราชทูตหนานหลิงทิ้งไว้หลายวัน จึงสมควรแก่เวลาให้เข้าเฝ้าแล้ว
ขุนนางราชทูตแห่งหนานหลิงเข้ามาในท้องพระโรง
ฮ่องเต้ให้เข้าเฝ้า ซูจิ่นอวี้กับหนิงเซ่าชิงเข้าท้องพระโรงพร้อมกันเป็นครั้งแรก
และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผู้ที่มีฐานะสูงสุดของเทียนฉีได้พบหน้ากันกลางท้องพระโรงหลังจากที่ซูจิ่นอวี้เข้ารับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลซู
ราชทูตหนานหลิงนำรายการของขวัญชดเชยจากการเป็นฝ่ายปราชัยในสงครามออกมา และกล่าววาจาไปไม่น้อยแล้ว ถึงได้มอบองค์หญิงที่งดงามที่สุดในแคว้นให้
เพื่อความสงบสุขของชายแดน ฮ่องเต้จึงแต่งตั้งองค์หญิงแห่งหนานหลิงเป็นมู่เฟยเหนียงเหนียงทันที เพื่อเป็นสัญลักษณ์ความปรองดองของสองแคว้นไปตลอดกาล
ปฏิบัติต่อคนอื่นเสมือนคนอื่นปฏิบัติต่อตน เมื่อมู่เฟยเหนียงเหนียงถูกแต่งตั้ง ราชทูตหนานหลิงก็ร้องขอความเมตตาจากฮ่องเต้
หวังว่าฮ่องเต้ของเทียนฉีจะสามารถมอบองค์หญิงพระองค์หนึ่งให้แก่ผู้นำแคว้นหนานหลิง เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจ
หนิงเซ่าชิงนึกถึงการทำให้ลำบากใจและเจตนามุ่งร้ายต่างๆ นาๆ ในวันนั้นขององค์หญิงอวี้เหอแล้ว ก็ถือโอกาสเสนอให้องค์หญิงอวี้เหอแต่งงานสมรสเพื่อสันติสุข
นับตั้งแต่โบราณกาล หลังจากสองแคว้นแต่งงานกันแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดที่มีจุดจบที่ดี และยิ่งไม่มีทางให้นางได้ให้กำเนิดบุตร
ยิ่งไปกว่านั้น สตรีที่หนานหลิงส่งมาก็เป็นบุตรีสายตรงของผู้นำแคว้น ส่วนสตรีที่เทียนฉีส่งกลับไปก็เป็นแค่บุตรีของฮองเฮาผู้ถูกปลดจากตำแหน่งในตระกูลที่ไร้ซึ่งอำนาจผู้หนึ่ง