เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 567 แต่งงาน การเริ่มต้นใหม่อีกบทหนึ่ง (1)
วันเวลาหลังจากนี้ แค่คิดก็รู้แล้ว
ทั้งสองตระกูลพึ่งพาอาศัยและอยู่ร่วมกัน หนิงเซ่าชิงริเริ่ม ซูจิ่นอวี้ย่อมคล้อยตามด้วย
ก็แค่บุตรีฮองเฮาที่ถูกปลดจากตำแหน่งผู้หนึ่งเท่านั้นเอง!
ขุนนางบู๊บุ๋นในท้องพระโรงโอ้อวดถึงพฤติกรรมชององค์หญิงอวี้เหอเสียเลิศเลอ และมีความเห็นไปในทางเดียวกัน
ข้อเสนอแนะนี้ตรงตามความต้องการของฮ่องเต้ ทว่าราชทูตแห่งหนานหลิงกลับขมวดคิ้ว
ความจริงแล้ว พวกเขาต้องการตัวองค์หญิงที่อวี้กุ้ยเฟยองค์ปัจจุบันเป็นผู้ให้กำเนิด ไม่ใช่บุตรีของฮองเฮาผู้ถูกปลดจากตำแหน่งที่ไร้คุณค่าในการใช้ประโยชน์ผู้นี้
เพียงแต่ แคว้นที่เป็นฝ่ายปราชัยในสงครามจะแสดงจุดยืนปฏิเสธได้เสียที่ไหนกัน เช่นนี้ราชทูตแห่งหนานหลิงจึงทำได้แค่ยอมรับ แล้วกล่าวขอบพระทัยแทนผู้นำแคว้นของตนเอง
หลายวันมานี้ เทียนฉีก็ปรองดองกลมเกลียวกันทั้งบนและล่าง งานแต่งงานของหนิงเซ่าชิงกับมั่วเชียนเสวี่ยกำลังจะจัดขึ้นในเร็วๆ นี้
ฮ่องเต้อึดอัดใจยิ่งนัก แต่กลับทำได้แค่ส่งของขวัญอวยพรไปให้
วันที่สิบสองเดือนสิบสอง จวนเจิ้นกั๋วกงประดับประดาไปด้วยผ้าและโคมไฟที่สวยงาม
เช้าตรู่ก็มีคนยืนเต็มจวนกั๋วกง
ในเรือนเสวี่ยหว่านก็คึกคักเป็นอย่างยิ่ง
จย่าฮูหยินมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว นางอยู่เป็นเพื่อนมั่วเชียนเสวี่ยคืนหนึ่ง
เมื่อวานท่านหญิงซูซูก็มาส่งสินเดิมติดตัวเจ้าสาวที่เตรียมไว้ให้นางมากมาย วันนี้ก็มาแต่เช้าอีก
นับว่านางเข้าใจความหมายของคำว่าเพื่อนเจ้าสาวที่มั่วเชียนเสวี่ยเอ่ยถึงแล้ว
ทว่า นางกลับไม่กล้ารับปาก ตามประเพณีของเทียนฉี หากว่าติดตามเกี้ยวของมั่วเชียนเสวี่ยออกจากจวนกั๋วกงไปยังจวนหนิงเป็นเพื่อนมั่วเชียนเสวี่ยจริงๆ ถึงตอนนั้น ก็อธิบายได้ไม่ชัดเจนแล้ว
หลันรั่วเมิ่งก็มาเช่นกัน
งานแต่งงานระหว่างเฟิงอวี้เฉินกับหลันรั่วเมิ่งได้กำหนดไว้ตั้งแต่ตอนที่ดูเวลาตกฟากและวันเดือนปีเกิดแล้ว ตอนนี้วันที่ก็ดูเรียบร้อย รอผ่านวันปีใหม่ไป ก็เป็นวันมงคล
ซูชีไม่ได้มา เพียงแค่ให้คนมาส่งของขวัญล้ำค่าให้
พี่สาวแต่งงาน ถงจื่อจิ้งไม่ชอบความคึกคักเพียงใด ก็จำเป็นต้องมา
เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้น ก็กลายเป็นเป้าสายตาของสตรีสูงศักดิ์ทุกคน
สำรวจดูรอบๆ สิ ลูกหลานตระกูลขุนนางคนไหนบ้างที่ยังไม่แต่งงานแล้วมีฐานะสูงศักดิ์เช่นเขา
ไม่ได้กล่าวกันว่าคุณชายตระกูลถงเป็นโรคที่ไม่กล้าบอกใครหรอกหรือ
ดูสีหน้าท่าทางที่มีชีวิตชีวา และท่าทีที่ปฏิบัติต่อพี่สาวบุญธรรมอย่างนุ่มนวลนั่นสิ ไหนเลยจะมีสภาพของอาการป่วยเป็นโรคที่บอกใครไม่ได้อีก
บุคคลผู้มีความสามารถ สืบทอดตำแหน่งหัวหน้าตระกูลถงตั้งแต่อายุยังน้อย
ที่สำคัญก็คือเหนือเขาไม่มีแม่สามี ข้างกายถงจื่อจิ้งไม่มีแม้กระทั่งสาวใช้ข้างห้อง ไม่เพียงแต่ครอบครัวจะเรียบง่าย ฐานะสูงศักดิ์ แต่เมื่อแต่งงานเข้าไปก็ได้กลายเป็นผู้มีอำนาจทันที
เป็นบุรุษชั้นดีจริงๆ
ชั่วขณะหนึ่ง ฮูหยินผู้สูงศักดิ์ทุกคนล้วนอิจฉาตาร้อน
ชั่วขณะหนึ่ง สตรีสูงศักดิ์ล้วนใบหน้าแดงระเรื่อ
เพียงแต่น่าเสียดายยิ่งนัก
คุณหนูจางที่เข้าใกล้อย่างไม่ระมัดระวัง เพื่อถามสารทุกข์ดิบกลับถูกถงจื่อจิ้งจับโยนออกไปโดยไม่สนถูกผิด
หลังจากนั้น ก็มีอีกหลายคนที่ไม่กลัวตาย
หนึ่งในนั้นมีคนหนึ่งที่โชคไม่ดี หลังจากถูกโยนลงสระบัวในฤดูหนาว ก็ไม่มีสตรีคนไหนกล้าเข้าใกล้ถงจื่อจิ้งในระยะสามฉื่ออีกเลย
ตอนที่คุณหนูผู้โชคร้ายที่ถูกโยนลงในสระบัวถูกงมขึ้นมาก็กลายเป็นแท่งน้ำแข็งจนใกล้จะไม่รอดแล้ว
ท่านหมอที่อยู่ในเหตุการณ์จำเป็นต้องปลดอาภรณ์ตัวหนาที่อยู่นอกสุดนาง ให้เหลือเพียงแค่เสื้อชั้นใน เพื่อรีบช่วยชีวิต จากนั้นก็ใช้ผ้าห่มห่อร่างเอาไว้ ชีวิตนั้นรักษาเอาไว้ได้ แต่ร่างกายก็ถูกคนมองเห็นหมดแล้วเช่นกัน
เหล่าสตรีสูงศักดิ์สูญเสียแล้วยังไม่ได้ประโยชน์อันใด กินองุ่นไม่ถึง แล้วเที่ยวพูดว่าองุ่นนั้นเปรี้ยว[1]
คราวนี้ ข่าวแพร่ไปอย่างรวดเร็วราวกับติดปีกคุณชายผู้เป็นหัวหน้าตระกูลถงเป็นโรคที่ไม่อาจบอกใครได้จริงๆ
ว่ากันว่าเป็นพวกนิยมตัดแขนเสื้อ![2]
ลือกันจนมหัศจรรย์ยิ่ง
เหล่าสตรีสูงศักดิ์ที่คิดจะยกระดับฐานะให้สูงขึ้นจากไปแล้ว ก็ต้อนรับเหล่าคุณชายเสเพลที่ไปเยือนหอคณิกาชายบ่อยๆ หลายคนต่อ
คุณชายเสเพลหลายคนนี้ย่อมไม่ได้ถูกคนจับโยนออกไป แต่ถูกถงจื่อจิ้งที่กำลังโมโหอยู่ลงมือด้วยตนเอง ต่อยตีเสียจนใบหน้าบวมช้ำ แข้งขาหัก แม้กระทั่งบิดามารดาก็จำเขาไม่ได้
ตั้งแต่นั้น โลกของถงจื่อจิ้งพลันสงบเงียบโดยสิ้นเชิง
ไปที่ไหน กลุ่มคนก็แหวกทางให้ทันที ไม่มีผู้ใดกล้าก้าวเข้าไปทักทาย และไม่มีผู้ใดจะเข้าไปทักทาย
ทว่ากลับสอบถามอดีตระหว่างมั่วเชียนเสวี่ยกับถงจื่อจิ้งเป็นการส่วนตัวกัน
ไม่อยากรู้อยากเห็นนั้นไม่ได้!
คุณชายที่อายุยี่สิบเอ็ดหนาวผู้หนึ่งถึงกับเรียกสตรีที่เพิ่งจะปักปิ่นตอนอายุสิบห้าหนาวผู้หนึ่งว่าพี่สาว
แปลกเกินไปแล้ว!
มั่วเชียนเสวี่ยมีชื่อเสียงโจษจันในด้านที่ไม่ดีนักในเมืองหลวง เป็นที่รู้กันดีว่าโหดร้ายทารุณ แต่เหล่าตระกูลสูงศักดิ์ ภายนอกอย่างน้อยยังคงสุภาพอ่อนโยน ไหนเลยที่จะตรงไปตรงมาเหมือนถงจื่อจิ้ง กระทั่งเหล่าตระกูลสูงศักดิ์ก็ไม่ไว้หน้า ทั้งยังมีพฤติกรรมประหลาด จนเรียกได้ว่าโหดเหี้ยมอย่างแท้จริง
พี่สาวน้องชายที่แปลกประหลาดคู่หนึ่ง
ในเมื่อไม่ได้นิยมตัดแขนเสื้อ แม้เหล่าสตรีสูงศักดิ์จะแอบด่าว่าโรคจิตในใจ แต่กลับเริ่มมีความคิดเช่นนั้นขึ้นมาอีกครั้ง
แม้ว่าจะไม่กล้าเข้าไปใกล้ แต่กลับแสร้งแสดงท่าทางยั่วยวนจากที่ไกลๆ
และเริ่มมีคนสอบถามรูปแบบอาภรณ์ที่มั่วเชียนเสวี่ยสวม รวมไปถึงงานอดิเรกต่างๆ
หัวหน้าตระกูลเฟิงรุ่นก่อนและคนปัจจุบันไม่ได้มา น้าสะใภ้กับญาติผู้พี่และญาติผู้น้องหลายคนกลับมาแทน
แม้มั่วเชียนเสวี่ยจะไม่สนิทกับพวกนางเท่าใดนัก แต่ก็ระลึกถึงความเมตตากรุณาที่พวกนางมีต่อเจ้าของร่างเดิม จึงให้ความสนิทสนมยิ่ง
เพียงแต่วันนี้นางยุ่งจนอยากจะแยกร่าง เรื่องการต้อนรับขับสู้จึงตกเป็นหน้าที่ของจย่าฮูหยินและอาสะใภ้สองสามคนผู้นับว่ามีความสามารถที่ถงจื่อจิ้งพามา
มั่วจื่อถังต้อนรับแขกเหรื่อที่เรือนด้านหน้า
เฟิงอวี้เฉินก็ช่วยต้อนรับขับสู้เช่นกัน
ถงจื่อจิ้งไม่ได้เฝ้านางเหมือนกับแต่ก่อน ตอนนี้เขาอยู่ที่จวนกั๋วกง ก็เหมือนได้กลับบ้านตนเอง เดินลาดตระเวนไปทั่ว กลัวว่าจะเกิดความผิดพลาดเล็กน้อยจากความประมาทเลินเล่อ
ความสุขที่นางต้องการนั้นแค่เอื้อมมือออกไปก็คว้ามันเอาไว้ได้
วันนี้มั่วเชียนเสวี่ยสวมอาภรณ์แดงสด ขับเน้นให้นางดูนุ่มนวลบอบบางเป็นพิเศษ
วันแต่งงานจำเป็นต้องเชิญฮูหยินผู้มีชีวิตที่ดีมาหวีผมให้เจ้าสาว และฮูหยินผู้นั้นจำเป็นต้องเพรียบพร้อมไปด้วยบุตรชายและบุตรี
พระชายาเอกจิ่งขันอาสาตนเองรับบทบาทนี้อย่างกล้าหาญ นางหยิบหวีขึ้นมาหวีผมให้มั่วเชียนเสวี่ย
หลังจากซูซูกลับไป ก็เล่าให้นางฟังเยอะมาก
พระชายาเอกจิ่งเป็นคนฉลาด จะไม่รู้เหตุผลความกลัดกลุ้มใจของมั่วเชียนเสวี่ยได้อย่างไร ย่อมรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง
ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มยินดี ปากก็ขับร้อง
หวีครั้งแรกได้รับพรให้อยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า
หวีครั้งที่สองขอให้รักกันตลอดไป
หวีครั้งที่สามขอให้มีลูกเต็มบ้าน หลานเต็มเมือง…
มั่วเชียนเสวี่ยใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความสุข ท่านหญิงซูซูที่ได้เห็นก็อิจฉา
หวีผมเสร็จแล้ว ขบวนตระกูลหนิงที่มารับตัวเจ้าสาวก็มาถึงแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยคารวะอำลาผู้อาวุโสเรียบร้อย ก็คลุมผ้าคลุมหน้า โดยมีมั่วจื่อถังแบกขึ้นเกี้ยวไป
บิดามารดานางไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว จึงทำได้แค่ไปไหว้ลาบิดามารดาบุญธรรม บัณฑิตจย่ากับจย่าฮูหยิน
บัณฑิตจย่ากับจย่าฮูหยินเอ่ยติดๆ กันว่า “ดีๆๆ…”
แต่ละคนให้หงเปาคนละห่อ พิธีนี้ก็นับว่าผ่านไป
จะกล่าวว่าสินเดิมของมั่วเชียนเสวี่ยยิ่งใหญ่อลังการเสียจนสามารถมองเห็นได้แต่ไกลก็ไม่มากเกินไป
คนยุคโบราณแต่งงาน เก้าเก้าเป็นสิริมงคล!
ตัวนางเองก็นำสินเดิมของมารดาที่รอดพ้นจากเพลิงไหม้ของมารดาพวกนั้น กับสินสอดที่หนิงเซ่าชิงส่งมา บวกกับข้าวของจิปาถะใหม่ๆ ของตนเองเตรียมใส่หีบไว้เก้าสิบเก้าหีบเต็มๆ
จย่าฮูหยินเห็นนางเป็นบุตรีแท้ๆ ก็เตรียมสินเดิมให้นางเก้าสิบเก้าหีบเช่นกัน
ตระกูลเฟิงเป็นตระกูลท่านตาท่านยาของนาง ย่อมเตรียมไว้ให้นางเก้าสิบเก้าหีบเช่นกัน
มั่วจื่อถังแห่งตระกูลมั่วก็เตรียมให้นางเก้าสิบเก้าหีบเหมือนกัน
[1] กินองุ่นไม่ถึง แล้วเที่ยวพูดว่าองุ่นนั้นเปรี้ยว เปรียบถึงการที่คนเราไม่ได้ในสิ่งที่ตนเองหมายปอง ก็อาศัยเหตุผลที่ไม่ดีหรือบอกว่าตนเองไม่ต้องการแล้ว มาปลอบประโลมจิตใจที่ผิดหวังของตนเอง
[2] นิยมตัดแขนเสื้อ แปลว่า ชายรักชาย