เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 573 เจ้าคิดว่าข้าจำเป็นต้องบำรุงด้วยหรือ (2)
เขาเป็นห่วงความปลอดภัยของมั่วเชียนเสวี่ย ย่อมต้องควบคุมเจินชี่[1]เป็นอย่างดี และไม่กล้าหย่อนยานแม้แต่น้อย
ทั้งสองคนหัวเราะโวยวายกัน หนิงเซ่าชิงกอดมั่วเชียนเสวี่ยเอาไว้ โดยไม่ได้กระทำขั้นต่อไป
เมื่อครู่เขาเพียงแค่หยอกมั่วเชียนเสวี่ยเล่นเท่านั้น
แม้ว่าจะนอน เขาก็แค่อยากกอดนางนิ่งๆ โดยสวมเสื้อผ้าครบชิ้น มีนางอยู่ข้างๆ ใจเขาถึงจะสงบนิ่ง
“ไม่นอนเป็นเพื่อนก็ได้ เช่นนั้นก็ร้องเพลงให้ข้าฟัง”
“ท่านอยากฟังเพลงอะไร”
“วันนั้นตอนที่เจ้าได้รับเทียบเชิญจากข้า กุ่ยซาบอกว่าเจ้าร่ายรำฮัมเพลงอยู่ครึ่งค่อนวัน วันนี้คนอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว เจ้าก็ร้องให้ฟังหน่อย…”
บอกตามตรง มั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่รู้ว่าเพลงในวันนั้น ร้องว่าอย่างไรบ้าง
แต่นางรู้ว่าตอนนี้ควรจะร้องเพลงอะไร
หนิงเซ่าชิงผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว ภายใต้เสียงเพลงกล่อมเด็กของมั่วเชียนเสวี่ย
เขาหลับสนิทอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
มั่วเชียนเสวี่ยฟังเสียงลมหายใจเอื่อยๆ ของเขา ก็ปล่อยม่านแล้วเดินย่องออกไปเงียบๆ
เรือนจื่อจู๋หว่านใหญ่มาก ใหญ่กว่าเรือนเสวี่ยหว่านของนางมากนัก เป็นเรือนใหญ่สามแห่ง
ห้องนอนอยู่ในสุด ก็คือสถานที่ที่นางเพิ่งจะออกมาเมื่อครู่นี้
หนิงเซ่าชิงเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ เรือนที่สองเป็นห้องหนังสือ ระหว่างเรือนที่สองกับเรือนที่สามยังมีลานฝึกยุทธ์กว้างขวางแห่งหนึ่ง ด้านนอกสุดถึงจะเป็นสถานที่รับรองแขก
มั่วเชียนเสวี่ยสั่งชูอีเตรียมวัตถุดิบให้เรียบร้อยแต่แรกแล้ว ตอนนี้ออกมาตรวจดูอีกรอบ แล้วให้ชูอีเคี่ยวข้าวต้มบำรุงร่างกาย นางยังคิดจะลงมือทำอาหารเรียกน้ำย่อยให้หนิงเซ่าชิงด้วยตนเองสักสองสามอย่างด้วย
วันนี้เป็นวันแต่งงานวันแรก แม้จะไม่มีใครกล้ามารายงานเรื่องต่างๆ กับหนิงเซ่าชิง ทว่า คนที่มาคารวะยามเช้า ขอรางวัลจากมั่วเชียนเสวี่ยนั้นมีไม่น้อย
ข้าวต้มเพิ่งจะเริ่มเคี่ยว เครือญาติสตรีซึ่งไม่ใช่สายตรงที่ไร้ฐานะก็มาแสดงความยินดี
จำเป็นต้องกล่าวว่า ตระกูลหนิงร่ำรวยมาก แม้ว่าจะเป็นสตรีในครอบครัวสายรอง แม้จะไม่อาจกล่าวได้ว่าการแต่งกายนั้นงามสง่า ดูดีมีระดับ แต่ศีรษะกลับเต็มไปด้วยเครื่องประดับที่ทำจากหยก ทั่วร่างมีประกายเรืองรองจากอัญมณีจนเกือบจะทำให้ตาบอด
แต่ละคนคุยสัพเหระกันสองสามประโยค กลุ่มแรกยังไม่ทันส่งกลับ กลุ่มถัดไปก็มาแล้ว รอจนส่งคนทั้งหมดกลับไป ฟ้าก็มืดแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยแวบเข้าไปในครัวเล็ก
ในห้องครัวมีแค่ชูอีกับสืออู่ ซุนหมัวมัวถูกนางไล่ไปส่งแขก เยวี่ยเซี่ยกับจื่อจิงกำลังเก็บกวาดห้องโถงอยู่
หนิงเซ่าชิงไม่ชอบให้มีคนเดินไปเดินมาในเรือนมากเกินไป แต่ก่อนในเรือนหลัก นอกจากเยวี่ยเซี่ยแล้ว ก็มีสาวใช้ที่ทำงานที่ต้องใช้แรงงานหนักกับผัวจื่อทำความสะอาดลานบ้านไม่กี่คน
ข้าวต้มของชูอีใกล้จะเคี่ยวเสร็จแล้ว เครื่องปรุงที่ใช้ทำอาหารเรียกน้ำย่อยก็เตรียมเรียบร้อย
มั่วเชียนเสวี่ยสั่งสืออู่ให้จุดไฟในครัว นางร้อนใจจนดึงผ้ากันเปื้อนลงมา เตรียมสวมให้ตนเองแล้วเริ่มทำอาหาร
สืออู่สีหน้าไม่ค่อยดี นิ่งบื้อไม่ขยับ ชูอีก้าวเข้าไปแย่งผ้ากันเปื้อน “คุณหนูใหญ่ พวกนี้ให้บ่าวทำเถอะเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้อง ข้าอยากทำให้เขาด้วยตนเอง”
นึกถึงสีหน้าท่าทางที่เปลี่ยนไปมากของหนิงเซ่าชิงที่ได้กินข้าวต้มของนางเป็นครั้งแรก มั่วเชียนเสวี่ยก็อบอุ่นหัวใจ จากนั้นก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อย
แม้ว่าตอนนั้นอาหารการกินจะเรียบง่ายธรรมดา แต่ทุกครั้ง หนิงเซ่าชิงก็กินไม่น้อย อย่างน้อยก็เยอะกว่าในวันนี้มาก
ระยะนี้ดูเหมือนเขาจะผอมลงไปเล็กน้อย
นับตั้งแต่เข้าเมืองหลวงมา นางก็ละเลยไปจริงๆ เขาคิดเพื่อนางในทุกๆ ด้าน แอบจัดการเรื่องต่างๆ ไปไม่รู้เท่าไร ส่วนสิ่งที่นางทำเพื่อเขานั้นน้อยมาก น้อยมากๆ
หัวหน้าตระกูลมีความกดดันมาก หัวหน้าตระกูลในประวัติศาสตร์ล้วนไม่ได้มีอายุยืนยาว หัวหน้าตระกูลรุ่นก่อนก็สุขภาพไม่ดี…
ขณะที่มั่วเชียนเสวี่ยครุ่นคิดไปมา หยาดน้ำตาก็เอ่อคลอหน่วยตาเล็กน้อย
นางหวังว่าหนิงเซ่าชิงจะอายุยืนถึงร้อยปี แม้ว่าจะให้นางเป็นแม่ครัวทุกวันก็ตาม
นางแย่งผ้ากันเปื้อนกลับมาจากชูอี แล้วมัดให้แน่น “สืออู่ จุดไฟ!”
“คุณหนูใหญ่” สืออู่ร้อนใจ
“หลังจากนี้เรียกฮูหยิน”
“เจ้าค่ะ ฮูหยิน” จย่าฮูหยินเคยบอกกับพวกนางในตอนที่อยู่จวนกั๋วกงว่า แต่งงานแล้วต้องเปลี่ยนไปเรียกฮูหยิน พวกนางสองคนเรียกคุณหนูใหญ่จนชิน ตอนที่ร้อนใจจึงลืมไปชั่วคราว
ชูอีเห็นว่าขวางไม่อยู่ ก็พยายามอธิบายว่า “บ่าวได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่เอ่ยถึงสิ่งที่เจ้าสาวไม่ควรทำมากที่สุดในสามวันแรก หากว่าในสามวันนี้ลงมือทำงาน ก็จะมีลำบากไปชั่วชีวิต ดังนั้น…”
สืออู่แย่งเอ่ย “ดังนั้นจึงมีแม่สามีใจร้ายที่คิดจะข่มลูกสะใภ้ ให้ลูกสะใภ้ลงมือทำอาหารให้คนทั้งครอบครัวกินในช่วงที่เพิ่งแต่งงาน…”
ชูอีเอ่ยต่อไปว่า “ดังนั้นขอแค่เป็นคนที่มีฐานะล้วนมีสาวใช้ติดตัวแต่งเข้ามาด้วย เพื่อให้บุตรีของตนเองมีคนคอยช่วยเหลือข้างกาย ตระกูลที่มีฐานะ ตอนที่เพิ่งแต่งงานไม่มีทางให้สะใภ้ใหม่เข้าครัวทำอาหารเด็ดขาด…”
ดังนั้น…
“แต่ละคนล้วนมีความเชื่องมงาย!”
มั่วเชียนเสวี่ยจิ้มศีรษะชูอีกับสืออู่เบาๆ “พอแล้ว ชีวิตฮูหยินของเจ้าอยู่ในมือของตนเอง สุดท้ายชีวิตจะเหน็ดเหนื่อยยากลำบากหรือว่านอนเสพสุขสบาย ในใจตนเองล้วนรู้ดี เจ้าไปเป็นลูกมือข้าตรงนั้น ช่วยข้าควบคุมไฟให้ดี ก็เป็นความดีความชอบอันใหญ่หลวงเรื่องหนึ่ง”
ชูอีกับสืออู่สบตากัน พวกนางรู้นิสัยของมั่วเชียนเสวี่ย ขวางผู้เป็นนายไม่ได้ ก็ทำได้แค่แย่งทำงานมากหน่อย
ดังนั้นนอกจากมั่วเชียนเสวี่ยจะผัดอาหารในกระทะ สั่งสืออู่ให้ควบคุมไฟให้ดี ก็ไม่ได้ทำอะไรอีก
ชูอีเกรงว่าจะถูกคนเห็น จึงปิดประตูห้องครัวแต่แรก
เมื่อเห็นประตูปิด เยวี่ยเซี่ยกับจื่อจิงที่เก็บกวาดเสร็จแล้วก็ยืนเฝ้าอยู่ข้างนอกเงียบๆ
พวกนางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะลงมือเอง เพียงแค่เดาว่า ภัตตาคารอวี่จี้ของมั่วเชียนเสวี่ยจะเป็นหนึ่งเดียวในเมืองหลวง เกรงว่าจะมีตำรับลับเฉพาะอะไรที่ไม่อยากให้พวกนางเห็น…
ก่อนแต่งงาน ฮูหยินคนไหนบ้างที่ไม่ได้นำตำรับลับเฉพาะจากตระกูลฝ่ายมารดามามัดใจกระเพาะสามี เพื่อให้สามีมากินข้าวบ่อยๆ จากนั้นก็พักค้างคืนด้วยบ้าง
พวกนางสามารถเข้าใจได้ เพียงแต่ฮูหยินทำแบบนี้รีบร้อนเกินไปหน่อยหรือไม่
คนในเรือนหลักนำอาหารเย็นจากครัวใหญ่ถอยออกไป ข่าวคราวไปถึงหูฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนแรก
ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังกินอาหาร ก็ยิ้มเยาะทันที “แต่งเข้ามาก็เข้าครัวเลย คิดอยากจะเอาใจสามีตนเอง เป็นสตรีที่พาไปแนะนำออกงานด้วยไม่ได้จริงๆ
ปกติยามไม่มีเรื่องอันใด คนที่ปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่ากินอาหารย่อมเป็นเหมยฮูหยินและจิ้งฮูหยิน
จิ้งฮูหยินเอ่ย “สตรีที่มีมารดาเลี้ยงดูแต่ไร้มารดาสั่งสอน นางจะรู้อะไรได้”
เหมยฮูหยินเพียงแค่ยิ้มๆ เป็นครั้งแรกที่ไม่ได้เอ่ยวาจาสำทับ
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นท่าทีของพวกนางสองคน ก็คิดว่าตอนนี้ข้างกายหนิงเซ่าชิงยังไม่มีคนจากตระกูลมารดาที่ถูกใจมาปรนนิบัติก็ยิ่งโมโห
“ไม่ใช่บอกว่าให้ตระกูลอวี่เหวินหาสตรีที่เหมาะสมสักสองคนมาปรนนิบัติเซ่าชิงหรอกหรือ เหตุใดจึงยังไม่มีข่าวคราว”
จิ้งฮูหยินรีบอธิบาย “ระยะนี้ในตระกูลมีเรื่องเยอะมาก ยิ่งไปกว่าในแง่ของรูปโฉมและชาติกำเนิด หันเหล่ยคนที่โดดเด่นที่สุดก็ถูกส่งกลับไป จึงหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ชั่วคราวเจ้าค่ะ”
“จะเป็นไปได้อย่างไร ตระกูลใหญ่อย่างตระกูลอวี่เหวิน จะหาสตรีที่คุณสมบัติเพียบพร้อมออกมาไม่ได้ได้อย่างไร”
“บุตรีอายุมากหน่อยที่เกิดจากภรรยาเอกล้วนมีคู่หมั้นหมายแล้ว ยังมีอีกบุตรีอนุภรรยาหลายคนที่อายุเหมาะสม รูปโฉมไม่เลว แต่ไม่รู้ว่าทำไมระยะนี้มักจะป่วยโรคต่างๆ ที่อายุน้อยก็ยังเด็กเกินไป จึงหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ชั่วคราว”
ฮูหยินผู้เฒ่าเลิกคิ้ว ตำหนิว่า “อาการป่วยนี้ก็เป็นด้วยกันหรือ ไร้เหตุผลสิ้นดี! พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าดูแลจัดการจวนอย่างไรกันแน่”
[1] เจินชี่ คือต้นธารของพลังขับเคลื่อนต่างๆ ในร่างกาย