เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 585 ความรู้สึกมีความสุข (2)
หวนนึกถึงคราแรกสุด และนึกถึงเรื่องในภายหลังทีละเล็ก ทีละน้อย…
เขาป่วย นางออกไปตามหาหมอในตอนฝนตกหนักและลมแรง
เขาได้รับบาดเจ็บ นางไม่ได้นอนทั้งคืน เป็นทุกข์เสียยิ่งกว่าตนเองได้รับบาดเจ็บ
นางคำนวณบัญชีใต้แสงไฟ เขานั่งอ่านหนังสือบนตั่ง และมักจะสบตากันอย่างไม่ได้ตั้งใจท่ามกลางความเงียบงัน
เขาเอ่ยว่า “ข้า หนิงเซ่าชิง ชั่วชีวิตนี้จะมีสตรีเพียงแค่คนเดียว” นั่นก็คือมั่วเชียนเสวี่ย
นางเอ่ยว่า “ท่านชนะ ข้าจะยิ้มแย้ม ดูทิวทัศน์เป็นเพื่อนท่าน ท่านแพ้ ข้าจะลุกขึ้นกลับมายืนหยัดใหม่อีกครั้งเป็นเพื่อนท่าน หากกระทั่งชีวิตก็ไม่เหลือ เช่นนั้นก็เอาชีวิตของข้าไปด้วย…”
เพื่อที่จะให้นางมีชื่อเสียงฐานะที่ถูกต้อง เขาหลอกลวงเบื้องบน ปิดบังเบื้องล่าง
เพื่อที่จะสามารถยืนเคียงข้างเขาได้อย่างเปิดเผย นางมุมานะช่วงชิงอย่างห้าวหาญ
นึกถึงเรื่องพวกนี้ มั่วเชียนเสวี่ยก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่!
สามารถเดินมาจนถึงวันนี้ได้นั้นไม่ง่าย
ทำไมนางต้องใจอ่อน ทำไมต้องไปเห็นอกเห็นใจสตรีอื่น ทำไมตนเองต้องทำให้ตนเองเป็นทุกข์ ทำไมต้องทำให้หนิงเซ่าชิงเป็นทุกข์ไปกับนางด้วย
ไม่! ไม่มีทาง!
มั่วเชียนเสวี่ยถูกหนิงเซ่าชิงกอดไว้ในอ้อมแขนอยู่นาน หัวใจที่เย็นเยียบก็ค่อยๆ ละลาย และเข้มแข็งขึ้น
นางไม่สามารถสร้างความกดดันให้เขา
นางไม่อาจไม่มีเขา เขาก็ไม่อาจไม่มีนางเช่นกัน
นางไม่อาจยอมแพ้ ไม่อาจอ่อนแอ…
ดังนั้น สตรีชั่วร้ายนี้ นาง…จะต้องเป็นแน่แล้ว!
หากพวกนางไม่โวยวาย เชื่อฟังการจัดการของนาง ในภายหลัง นางจะจัดหาสถานที่ที่ดีให้พวกนางไป
หากโวยวาย เช่นนั้นก็ขอโทษด้วย!
ในเมื่อคิดตกแล้ว ร่างกายของมั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่แข็งทื่ออีก
หนิงเซ่าชิงรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงทางความรู้สึกของคนในอ้อมแขน ในเวลาเดียวกันกับที่ชื่นใจ จิตใจก็สงบลง
เสี้ยววินาทีเมื่อครู่นี้ เขาพลันรู้สึกว่าจะถูกมั่วเชียนเสวี่ยจะปล่อยมือ ทำให้เขาใจไม่สงบยิ่ง
สำหรับเขาแล้ว นอกจากมั่วเชียนเสวี่ย สตรีอื่นล้วนไม่มีค่า
แต่ตอนนี้เขายังไม่สามารถกำจัดคนเหล่านั้นทิ้งได้
อย่างไรเสียก็เป็นคนที่ฮ่องเต้พระราชทานมาให้ เขายังต้องขายผ้าเอาหน้ารอดกับฮ่องเต้อยู่ ยังต้องเร่งทำเวลา
มั่วเชียนเสวี่ยคิดได้แล้ว เรื่องที่หนิงเซ่าชิงคิดอยู่ ก็เป็นเรื่องที่นางกำลังคิดในตอนนี้เช่นกัน
หากต้องการไล่สตรีที่ไม่สลักสำคัญสองคนนั้นไปเร็วๆ ก็ต้องแข็งแกร่งขึ้น แล้วยืนหยัดด้วยตนเองให้ได้อย่างแท้จริงโดยเร็ว
เมื่อได้สติจากความคิด มั่วเชียนเสวี่ยก็เงยหน้าขึ้นถาม “ครั้งที่แล้วที่ท่านกลับมา ได้เอ่ยว่าตระกูลซูก็มีความคิดเหมือนกับตระกูลหนิงของพวกเรา เพียงแต่สภาพแวดล้อมของพื้นที่รัฐศักดินาที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ตระกูลซูเลวร้ายยิ่งกว่าตระกูลหนิง จึงทำให้หัวหน้าตระกูลซูลังเลตัดสินใจไม่ถูก หลายวันมานี้ ข้าลองคิดๆ ดูให้ดีแล้ว รู้สึกว่าความจริงแล้วปัญหาของตระกูลซูแก้ไขได้ง่ายกว่าตระกูลหนิงของพวกเราเล็กน้อย”
ความคิดของมั่วเชียนเสวี่ยเปลี่ยนแปลงไวเกินไป หนิงเซ่าชิงยังประมวลผลความคิดไม่ทัน
หลังจากนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก็ถามกลับมา “อย่างนั้นหรือ”
ในเมื่อมั่วเชียนเสวี่ยคิดตกแล้ว อารมณ์ย่อมดีขึ้นตาม
นางเอ่ยอย่างแง่งอนยิ้มๆ “ทำไม? ท่านไม่เชื่อข้าแล้วหรือ!”
แม้ว่าจะนางจะไม่เคยบริหารจัดการน้ำด้วยตนเอง แต่นางเคยไปเขื่อนสามหุบผามาหลายครั้ง ไปเป็นเพื่อนพ่อค้าต่างถิ่น ไม่เพียงแต่ไปดูทัศนียภาพ ยังต้องคุยเรื่องหลักการ เรื่องที่ได้ยินมาบ่อยจนสามารถอธิบายออกมาได้เป็นเพื่อนด้วย
หลังจากนั้น ย่อมเข้าใจความรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำมากมาย
ความจริงแล้ว สำหรับคนในยุคปัจจุบัน การบริหารจัดการน้ำล้วนไม่ได้แปลกใหม่ แม้ว่าจะไม่สามารถอธิบายได้อย่างเชี่ยวชาญ แต่เรื่องการบริหารจัดการน้ำก็ได้ยินผ่านหู ได้เห็นผ่านตาบ่อยๆ
การบริหารจัดการน้ำนั้นหนีไม่พ้นวิธีการเหล่านี้ หนึ่งสร้างอ่างเก็บน้ำไว้กักเก็บน้ำ สองสร้างคลองส่งน้ำกระจายน้ำ สามสร้างประตูน้ำระบายน้ำเสริมเขื่อน สี่สร้างพื้นที่สีเขียวโดยการปลูกต้นไม้นานาพันธุ์เพื่อจัดการการเซาะกร่อนไหลไปของดิน…
ขนาดเล็กใหญ่ของอ่างเก็บน้ำ การกระจายตัวของคลองส่งน้ำ ประตูระบายน้ำสร้างอย่างไร สิ่งสำคัญที่สุดคือเขื่อน!
คนยุคโบราณส่วนใหญ่รู้จักใช้แต่เขื่อน ความสามารถในการรองรับน้ำของเขื่อนนั้นมีจำกัด น้ำท่วมมากเกินไป ให้เขื่อนขวาง ก็ขวางไว้ไม่อยู่
อีกอย่างในสายตาของคนยุคโบราณ การขุดลอกคลองนั้นใช้ไม่ได้ น้ำเยอะขนาดนั้น จะให้ชักนำไปไว้ที่ใด
แน่นอนว่าต้องคิดหาวิธี ชักนำให้ไหลลงไปในแม่น้ำอีกสายหนึ่ง
มั่วเชียนเสวี่ยเอ่ยวิธีการบริหารจัดการน้ำออกมาคร่าวๆ อย่างเป็นระบบ ทั้งยังเป็นความคิดแปลกใหม่ หนิงเซ่าชิงจึงนัยน์ตาเป็นประกายอย่างอดไม่อยู่
ดูท่า เขาจะเก็บสมบัติล้ำค่าได้แล้วจริงๆ
เหนียงจื่อของเขาผู้นี้ มีความรู้กว้างขวาง ไม่มีสิ่งใดที่ไม่รู้จริงๆ
“เซ่าชิง วิธีของข้าพวกนี้ยังไม่ครบถ้วนดี รอข้าคิดอีกหน่อย หรือหากมีแผนที่รัฐศักดินาของตระกูลซู ก็ไม่แน่ว่าข้าจะสามารถคิดวิธีการที่ดียิ่งกว่านี้ออกมาได้เร็วขึ้น…อีกอย่าง ตอนนี้เรื่องตระกูลซูก็ไม่ใช่ภารกิจเร่งด่วนของพวกเรา ภารกิจเร่งด่วนของพวกเราคือ…”
“ไม่! เชี่ยนเสวี่ย นี่ก็เป็นภารกิจเร่งด่วนเช่นกัน หากตอนนี้หากตระกูลหนิงยังมีพันธมิตร ก็มีตระกูลซูเพียงแค่ตระกูลเดียวแล้ว หากฮ่องเต้คิดจะต่อสู้กับพวกเราสองตระกูล ย่อมไม่มีทางแยกกันจัดการ แต่จะต้องลงมือในเวลาเดียวกันแน่นอน!”
เป็นเช่นนี้จริงๆ ทั้งสองตระกูลล้วนไม่ได้โง่ ช่วงเวลานี้ ไม่มีทางยืนอยู่ข้างเดียวกับฮ่องเต้ ช่วยฮ่องเต้จัดการกับฝ่ายตรงข้าม หรือมองดูฮ่องเต้จัดการกับอีกฝ่าย โดยทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนเด็ดขาด!
“การวิเคราะห์ของท่านนั้นมีเหตุผล แต่ว่า…ข้าคิดว่าวิธีบริหารจัดการน้ำพวกนี้ ท่านค่อยเอ่ยกับตระกูลซูในตอนที่ตระกูลหนิงสามารถล่าถอยได้แล้วกัน”
“ไม่ต้อง ตระกูลซูกับตระกูลหนิงไปมาหาสู่ เป็นมิตรที่ดีต่อกันมาหลายรุ่น ขอเพียงแค่มีตระกูลหนึ่งไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวง ฮ่องเต้จะขว้างหนูก็กลัวไปกระทบของสิ่งอื่น[1] ทำอะไรห่วงหน้าพะวงหลัง และยิ่งบุ่มบ่ามโดยไม่สนสิ่งใด”
“ความหมายของท่านคือ…” ภายใต้ความจำใจ เมื่อตระกูลซูล่าถอยจากไปก่อน ก็สามารถสร้างความ สั่นสะเทือนให้กับฮ่องเต้ได้ในระยะเวลาอันสั้น
“ความหมายของข้า ย่อมคือจัดการสิ่งที่เจ้าเอ่ยออกมาพวกนี้ให้เป็นลำดับขั้นตอนให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยบอกกับตระกูลซู แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้จะต้องแลกผลประโยชน์ดีๆ กลับมาได้แน่นอน”
เอ่ยไปเอ่ยมา หนิงเซ่าชิงแทบรอไม่ไหวบ้างแล้ว “เชี่ยนเสวี่ย ตอนนี้ข้าจะไปนำแผนที่ภูมิประเทศของพื้นที่รัฐศักดินาของตระกูลซูมา เจ้าสามารถร่างแบบจำลองของอ่างเก็บน้ำ รวมไปถึงวิธีการสร้างประตูระบายน้ำ แล้วยังมีคลองส่งน้ำ…”
ความจริงก็คือให้นางทำรายงานความเป็นไปได้ฉบับหนึ่ง จะได้มีพลังในการโน้มน้าวมากกว่าเล็กน้อย
เอ่ยจบ หนิงเซ่าชิงก็ออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
พื้นที่รัฐศักดินาที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ตระกูลซู ที่นั่นมีคนอยู่ไม่กี่คน และไม่มีความลับที่บอกไม่ได้อะไร อาศัยฝีมือของหอลับ ย่อมมีแผนที่ของตระกูลซูแน่นอน
จะว่าไปแล้ว แม้ว่าพื้นที่รัฐศักดินาของตระกูลซูจะมีความลับอันใด อาศัยการทำงานถึงที่ของหอลับ ไปเอาแผนที่ฉบับหนึ่งนั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไร ไม่เพียงแต่แผนที่พื้นที่ในครอบครองของตระกูลซูอย่างละเอียด ในคลังเก็บของของตระกูลหนิง ก็มีแม้กระทั่งแผนที่แคว้นเทียนฉี
ไม่นานนัก หนิงเซ่าชิงก็ลอยตัวเข้ามาจากด้านนอกอย่างรวดเร็ว ทั่วร่างเต็มไปด้วยหิมะ
เขารีบร้อนออกไป จึงไม่ได้สวมเสื้อคลุมหนัง และหมวกกันลมหนาว
ดังนั้นเรือนผมจึงถูกลมพัดจนยุ่งเหยิงเล็กน้อย ใบหน้าก็แดงนิดหน่อย
แต่ทว่า นี่กลับไม่ได้ทำลายบุคลิกของเขาเลยสักนิดเดียว ทั้งยังช่วยขับเน้นเสน่ห์ดึงดูดใจบนดวงหน้าหล่อเหลาขึ้นหลายส่วน
มั่วเชียนเสวี่ยทั้งสงสาร ทั้งเสียใจที่เมื่อครู่แสดงท่าทีแง่งอน
นางลูบเรือนผมยุ่งเหยิงที่ปรกหน้าผากของหนิงเซ่าชิง ปัดหิมะบนร่างเขาออก ลุกขึ้นไปรินชาร้อนให้เขาอุ่นมือแล้ว ถึงได้รับแผนที่มาเริ่มศึกษา
หนิงเซ่าชิงรับชาร้อนมา ยิ้มอย่างเข้าใจในความหวังดี
เขารู้ว่านางรักตนเองมากมาโดยตลอด
หลังจากจิบไปคำหนึ่ง ก็วางถ้วยชาไว้อีกด้าน แล้วดูแผนที่เป็นเพื่อนมั่วเชียนเสวี่ย ดูไป พลางชี้แนะอธิบายให้มั่วเชียนเสวี่ยฟัง
เมื่อลงมือทำเรื่องจริงจังขึ้นมา ทั้งสองคนพลันเปลี่ยนเป็นคนละคน
[1] ขว้างหนูก็กลัวไปกระทบของสิ่งอื่น เทียบได้กับสำนวนไทยที่ว่า ลูบหน้าปะจมูก ไม่อาจทำอะไรเด็ดขาด เพราะกลัวจะไปกระทบกับพวกพ้อง หรือมีผู้ขัดขวางเป็นอุปสรรคอยู่