เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 595 บทสรุป (6)
แม้ว่านางจะไม่ชอบมั่วเชียนเสวี่ย และไม่อยากให้มั่วเชียนเสวี่ยมาปรนนิบัตินางที่เรือนอีก แต่ในฐานะสะใภ้ตระกูลหนิง จะเมินเฉยต่อกฎของตระกูลแบบนี้ได้อย่างไร
นี่…นี่มันผิดหลักการครองตัวของสตรี!
นี่…นี่มันผิดศีลธรรมจรรยาสตรี!
แต่แม้ว่านางจะไม่ชอบ แต่ก็ทำอันใดไม่ได้
หนิงเซ่าชิงมีงานมากมายเช่นนี้ เขาทำได้เพียงแค่ยอมรับเรื่องที่ถงจื่อจิ้งสบโอกาสติดตามมั่วเชียนเสวี่ยไปโดยปริยาย
ตั้งแต่คราแรกที่ถงจื่อจิ้งปรากฏตัวขึ้น ก็เรียกเขาว่าพี่เขย ฐานะน้องชายภรรยานี้ เขาไม่ยอมรับ ก็ต้องยอมรับ
ฮูหยินผู้เฒ่าตำหนิเรื่องนี้ต่อหน้าเขา ย่อมถูกเขาต้านกลับไปจนหมด
หัวหน้าตระกูลรุ่นก่อนอาศัยเหตุผลว่าสุขภาพไม่ดี ทุกครั้งที่ได้ยินนางฟ้องเรื่องนี้ ก็ไอระยะหนึ่ง จนแทบจะไอเอาอวัยวะภายในออกมาด้วย นางจึงทำได้แค่หุบปาก
หลังจากฮูหยินผู้เฒ่าพร่ำบ่นต่อหน้าบุตรชายและหลานชายแต่ไม่ได้รับการตอบสนองครั้งหนึ่ง นางก็ไม่ตำหนิมั่วเชียนเสวี่ยต่อหน้าพวกเขาอีก
แต่เริ่มบ่นว่าสุขภาพตนเองไม่ดี บ่นว่าเรื่องในจวนมีมากเกินไป บ่น…”
ในขณะเดียวกันกับที่ฮูหยินผู้เฒ่าพร่ำบ่นอยู่ในจวน มั่วเชียนเสวี่ยกลับกังวลเรื่องในบ้านไร่
ดินประเภทนี้ มั่วเชียนเสวี่ยมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าเป็นพื้นที่ที่ดินมีปริมาณเกลือสูงจนส่งผลเสียต่อพืชที่ว่ากันในตำนาน
มิน่าถึงพืชถึงเจริญเติบโตไม่ได้
ทว่า จากที่นางรู้มา พื้นที่ที่ดินมีปริมาณเกลือสูงนั้นก็ไม่ใช่ว่าพืชไม่สามารถเจริญเติบโตได้ทั้งหมด เพียงแต่ต้องดูว่าปลูกอะไร
ดังนั้นกล่องไม้ขนาดใหญ่แต่ละกล่องล้วนถูกนำมาใช้งานจนหมด
มั่วเชียนเสวี่ยสั่งให้คนนำดินที่ขนมาจากเป่ยต้าฮวงใส่ลงในกล่องไม้ขนาดใหญ่แต่ละใบ แยกปลูกธัชพืช และพืชผักชนิดต่างกันในแต่ละกล่อง
ชนิดของพืชที่ปลูกในรอบแรกมีทั้งผักกับพืชผลทางการเกษตร และมีทั้งดอกไม้กับผลแตงผลไม้ พืชหลายสิบชนิดที่ปลูกไปกลับล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
ภายใต้การตั้งอกตั้งใจดูแลของนาง สิบกว่าวันหลังจากนั้นก็ไม่มีสัญญาณที่จะแตกหน่อ
นางจึงทำได้เพียงแค่ให้คนพลิกหน้าดินในกล่องไม้ แล้วลงมือปลูกใหม่!
ไม่เพียงแต่จะเป็นเช่นนี้ พืชผลทางการเกษตรที่นางปลูกทุกครั้งล้วนแบ่งวิธีการดูแลที่ไม่เหมือนกัน ส่วนหนึ่งใช้น้ำในเมืองหลวงรดน้ำ ส่วนหนึ่งใช้น้ำที่มาจากเป่ยต้าฮวงรด และยังมีอีกส่วนหนึ่งที่ใช้น้ำฝน
ทางด้านมั่วเชียนเสวี่ยยุ่งมาก ทางด้านหนิงเซ่าชิงก็กดดันไม่น้อยเช่นกัน
น้ำและดินจากเป่ยต้าฮวงมุ่งหน้ามาที่นี่คันแล้วคันเล่า ไม่เพียงแต่จะต้องหลีกเลี่ยงพระเนตรพระกรรณของฮ่องเต้ แต่ยังต้องหลีกเลี่ยงหูตาของตระกูลด้วย
คนรู้ยิ่งน้อยยิ่งดี
เขาไม่สงสัยว่าในตระกูลจะยังมีหนอนบ่อนไส้ เพียงแต่เรื่องนี้ต้องดำเนินการลับๆ เท่านั้น
ตอนนี้คนที่รู้เรื่องนี้ นอกจากคนในบ้านไร่ของมั่วเชียนเสวี่ย ก็มีแค่เขาคนเดียว กระทั่งบิดาของเขาที่เป็นหัวหน้าตระกูลรุ่นก่อน เขาก็ไม่ได้บอก
เขารู้ซึ้งดีแก่ใจว่ายิ่งหวังมาก ก็ยิ่งผิดหวังมาก
ภายในห้องของมั่วเชียนเสวี่ยที่เรือนจื่อจู๋หว่าน เรื่องที่ชูอีรั้งอยู่ที่บ้านไร่ก็มีแค่สืออู่คนเดียวที่รู้ กระทั่งซุนหมัวมัว เยวี่ยเซี่ย จื่อจิงและสาวใช้หลายคนที่ปรนนิบัติอย่างใกล้ชิดก็ล้วนไม่รู้
เหตุการณ์ผ่านไปเช่นนี้สามรอบ ไม่มีสักรอบที่แตกหน่อเจริญเติบโต มั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่ได้สิ้นหวัง หนิงเซ่าชิงกลับสิ้นหวังไปแล้ว
จนกระทั่ง…
มีวันหนึ่งที่มั่วเชียนเสวี่ยค้นพบว่ามีหน่ออ่อนต้นเล็กๆ ผุดขึ้นมาจากเมล็ดพันธุ์ที่ปลูกไว้ในกล่องไม้กล่องหนึ่ง
มั่วเชียนเสวี่ยได้รับประสบการณ์แห่งความล้มเหลวมาแล้ว
กล่องไม้กล่องนั้นใช้ดินจากเมืองหลวงกับเป่ยต้าฮวงผสมกัน และใช้น้ำจากเมืองหลวงรด ส่วนอีกกล่องหนึ่งที่ใช้ดินจากเมืองหลวงกับเป่ยต้าฮวงผสมกันเช่นกัน แต่ใช้น้ำจากเป่ยต้าฮวงรด กลับไม่ได้แตกหน่อ
มีกรณีตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จ มั่วเชียนเสวี่ยดีใจเป็นบ้าเป็นหลัง
การค้นพบนี้ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยใจกล้าทำการทดลองที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น
นั่นก็คือใช้น้ำของเป่ยต้าฮวงรดที่ดินทำการเกษตรในบ้านไร่ของนาง ก็ค้นพบว่าแรกเริ่มพืชผลเจริญเติบโตได้ไม่ค่อยดี ในภายหลังก็แห้งเหี่ยวไป
ที่แท้ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ดิน ปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นเกิดจากน้ำ
ตอนนี้เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิที่อากาศอบอุ่นในเดือนสาม มั่วเชียนเสวี่ยวิ่งรอกไปมาสองทางเป็นเวลาสองเดือนเต็มๆ ฮูหยินผู้เฒ่าทนจนทนไม่ไหว
นางเรียกหนิงเซ่าชิงมาไม่ได้ จึงเรียกหัวหน้าตระกูลหนิงรุ่นก่อนมาแทน
หัวหน้าตระกูลรุ่นก่อนยังคงใช้วิธีการเดิม ไอจนแทบอวัยวะภายในร่างกายจะหลุดออกมา
คราวนี้ฮูหยินผู้เฒ่าไม่คิดจะปล่อยเขาไป นางเอ่ยเนิบๆ “เจ้าจะไอก็ไอเถอะ ถ้าไอต่อไป สะใภ้ของเจ้าก็น่าจะสวมหมวกเขียว[1] ให้บุตรชายของเจ้าแล้ว
นางเอ่ยถึงตอนท้าย ก็ยิ่งโมโห “หน้าตาตระกูลหนิงของพวกเราล้วนไม่เหลือแล้ว เจ้าไอจนตาย ข้าที่เป็นผู้ชราก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วเช่นกัน…”
ฮูหยินผู้เฒ่าต่อว่ารุนแรงเช่นนี้ หัวหน้าตระกูลรุ่นก่อนก็อับจนหนทางที่จะไอต่อไป
เขาจะคิดได้เช่นไรว่า ถึงคนผู้นี้จะอายุมากแล้ว แต่นิสัยกลับดื้อดึงยิ่งกว่าแต่ก่อน! เกรงว่าท่าทีที่ไม่สนใจและไม่ล่วงเกินผู้ใดก่อนหน้านี้ของเขาจะใช้การไม่ได้แล้ว
ความจริงแล้วแม้ว่าหนิงเซ่าชิงจะไม่เคยบอกสาเหตุกับตนเอง
แต่หัวหน้าตระกูลรุ่นก่อนก็คิดเชื่อมโยงกับภาพแม่น้ำคูคลองที่เป็นฝีมือของมั่วเชียนเสวี่ยในครั้งที่แล้ว
ทั้งยังนึกได้ว่าหนิงเซ่าชิงเคยบอกว่าจะต้องทำให้เป่ยต้าฮวงปลูกธัญพืชได้แน่นอน อีกทั้งตอนนี้มั่วเชียนเสวี่ยก็กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ที่บ้านไร่ด้วย
ยิ่งกว่านั้น ด้วยนิสัยของหนิงเซ่าชิง และท่าทีใส่ใจต่อมั่วเชียนเสวี่ยของเขา จะยอมปล่อยให้นางทำตัวเหลวไหลอยู่ด้านนอกได้อย่างไร
เขาย่อมมีเหตุผล
หนิงเซ่าชิงขนของมาจากเป่ยต้าฮวงคันแล้วคันเล่า ผู้อื่นเดาไม่ออกว่าขนอะไรมา แต่จะปิดบังสายตาหัวหน้าตระกูลรุ่นก่อนได้เช่นไร
เขาไตร่ตรองเพียงเล็กน้อย ก็เดาจุดสำคัญได้แล้ว
เรื่องน้ำของตระกูลซูในครั้งที่แล้ว ก็มีสะใภ้มหัศจรรย์ผู้นี้เป็นคนจัดการแก้ไขไม่ใช่หรือ
ไม่แน่ว่า นางอาจจะมีวิธีที่สามารถทำให้พื้นที่ศักดินาของตระกูลฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ก็ได้
ไม่ว่าอย่างไร เขาก็จะสนับสนุนจนถึงที่สุด แม้ว่าจะต้องเป็นบุตรอกตัญญูก็ตาม
แน่นอนว่าสำหรับฮูหยินผู้เฒ่า เขายังสามารถเกลี้ยกล่อมได้
หากเกลี้ยกล่อมไม่สำเร็จ ก็ทำได้เพียงแค่หักหน้ากันอย่างเปิดเผยเท่านั้น!
เขาไม่มีทางอนุญาตให้การกล่าวโทษของฮูหยินผู้เฒ่าแม้เพียงเล็กน้อย ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยที่ดำเนินการเรื่องนี้ได้รับการขัดขวาง
เขาหยุดไอ และมีท่าทางจริงจังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน พลางลองโน้มน้าวฮูหยินผู้เฒ่า
“มั่วซื่อมีพรสวรรค์ในการทำการค้าเป็นอย่างมาก โรงเรือนเพาะปลูกนั่นก็เป็นฝีมือนางไม่ใช่หรือ คิดว่าตอนนี้นางกำลังหาทางทำสิ่งใหม่ๆ อะไรบางอย่าง เพื่อเปิดโอกาสทำการค้าให้กับตระกูลหนิง”
พืชผักในโรงเรือนนั้นมีผลผลิตที่ขายได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการ สิบวันก่อนวันปีใหม่ก็ขาดตลาดแล้ว
นี่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าที่มีชีวิตอยู่มานานได้กินผักที่เขียวขจีในอาหารมื้อค่ำในคืนส่งท้ายปี้เก่านี่เป็นครั้งแรก
แน่นอนว่า นางไม่รู้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยถอนผักทั้งหมดทิ้งไปแล้ว
ผักที่จวนหนิงได้กินในวันปีใหม่ ทั้งหมดล้วนได้มาจากการเสียสละผักในโรงเรือนของถงจื่อจิ้ง
มั่วเชียนเสวี่ยถอนผักทั้งหมดออกมาแล้ว ก็มอบให้กับลูกค้าที่มีความสัมพันธ์ต่อกันเล็กน้อย กระทั่งภัตตาคารอวี่จี้ก็ยังขาดสินค้า
โรงเรือนเพาะปลูกของมั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้ปลูกผัก แต่คฤหาสน์ตระกูลหนิงที่ชานเมืองเริ่มสร้างโรงเรือนเพาะปลูกแล้ว
ไม่เพียงแต่ชานเมืองเท่านั้น ในเขตพื้นที่อื่น ขอเพียงแค่เป็นบ้านไร่ตระกูลหนิงล้วนสร้างโรงเรือนเพาะปลูก เตรียมหาเงินก้อนโต
หัวหน้าตระกูลรุ่นก่อนเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา ฮูหยินผู้เฒ่าก็หมดวาจาจะกล่าวทันที
นางเพียงแค่เอ่ยอย่างเป็นกังวลว่า “ข้างนอกย่อมมีบุรุษเป็นผู้จัดการดูแล สตรีนางหนึ่งสมควรอยู่บ้านดูแลสามี อบรมสั่งสอนบุตร นางอยู่ข้างนอกทุกวันเช่นนี้นั่นไม่เข้าท่า ไม่อย่างนั้นแม่ส่งคนติดตามนางไปทุกวัน ผู้คนข้างนอกจะได้กล่าววาจาน่าฟังสักหน่อย…”
[1] สวมหมวกเขียว หมายถึง การสวมเขา