เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 608 ตอนพิเศษ สูญเสียสิ่งที่อยู่ในกำมือไปโดยไม่คาดฝัน (5)
- Home
- เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค
- ตอนที่ 608 ตอนพิเศษ สูญเสียสิ่งที่อยู่ในกำมือไปโดยไม่คาดฝัน (5)
“กูเสี่ยวซู เจ้าคิดจะทำอันใดอีก…”
“กูเสี่ยวซู เจ้าไสหัวไปไกลให้จากข้าเลย…”
“กูเสี่ยวซู ทำไมเจ้าถึงได้ตามติดไม่เลิกรา…”
“กูเสี่ยวซู…”
แต่แผ่นดินกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ นางจะไปตามหาซูชีจากที่ใดกัน
แต่แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ นางกลับไม่มีความคิดที่จะกลับไปเช่นกัน!
ในเมื่อออกมาแล้ว เช่นนั้นนางจะต้องหาซูชีให้พบ! หากหาเขาไม่พบ นางไม่มีทางกลับไปเด็ดขาด!
ตระกูลซูกุมอำนาจทางการทหาร ตอนที่หนานหลิงมารุกราน ซูชีเคยขอเป็นตัวแทนไปยังชายแดน ตอนนี้สงครามสิ้นสุดลงแล้ว ซูซูไม่รู้ว่าซูชีจะไปที่ชายแดนอีกหรือไม่
แต่ในสมองนาง นอกจากสถานที่แห่งนี้แล้ว นางก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่าซูชีจะไปที่ใดอีก
ซูซูพลิกกายขึ้นมา แยกแยะทิศทาง แล้วควบม้ารุดหน้าไปยังชายแดน โดยโอบอุ้มจิตใจที่หวังจะบังเอิญโชคดีเอาไว้
หากคนเรามีความตั้งใจจริง ก็สามารถคลี่คลายได้ทุกปัญหา!
นางไม่เชื่อว่าความจริงใจของนางจะเปิดหัวใจที่แข็งแกร่งของซูชีดวงนั้นไม่ได้ นางไม่เชื่อว่า นาง กูเสี่ยวซูจะไม่มีค่าอันใดเลยในสายตาซูชี และไม่ยินยอมที่จะเป็นคนไม่มีค่าในใจเขาไปตลอดชีวิตเช่นกัน
หากว่าซูชีไม่อาจยอมรับนางได้ เช่นนั้นนางจะพยายาม!
หนึ่งปีไม่ได้ ก็สองปี! สองปียังไม่ได้ ก็ห้าปี! ห้าปีไม่ได้ ก็สิบปี!
อย่างไรนางก็ยังสาว อย่างไรชั่วชีวิตนี้ก็ยอมรับเพียงแค่บุรุษที่มีนามว่าซูชีผู้นั้น ดังนั้นนางไม่กลัวที่จะต้องใช้เวลาไปกับซูชีอย่างไม่มีที่สิ้นสุด!
ย่าห์!
เจ้าม้า เจ้ารีบวิ่งเร็วเข้า! ให้ข้าได้พบเขา! ให้ข้าได้ชนะใจเขา! ให้ข้าได้ให้ความอบอุ่นกับเขา!
ให้ข้าได้ยินเสียงของเขา แม้ว่าเขาจะคิดถึงคนอื่น ข้าก็จะคิดถึงเป็นเพื่อนเขาเช่นกัน…
การหนีออกจากจวนของท่านหญิงซูซูในครั้งนี้ ทำให้ทั่วทั้งบนและล่างของจวนจิ่งอ๋องล้วนตกอยู่ท่ามกลางเมฆหมอกอึมครึม
จิ่่งซื่อจื่อโอบกอดความหวังที่จะบังเอิญโชคดีเอาไว้ นั้นค้นหาทั่วเมืองหลวงแล้ว แต่กลับไม่เห็นแม้กระทั่งเงาคน
เป็นเพราะเสด็จพ่อรักนาง จึงจ่ายเงินก้อนโตซื้อม้าให้กับนางโดยเฉพาะ ม้าของซูซูดีกว่าม้าของเขา นั่นเป็นม้าที่สามารถวิ่งห้อได้พันลี้ในวันหนึ่ง ช่วงบ่ายก็สามารถวิ่งออกไปได้ไกลหลายร้อยลี้
นี่ก็ผ่านมาสามวันแล้ว ในเมื่อไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ก็คงไปไกลแล้ว
ในเมื่อไม่รู้ว่านางไปทางไหน เขาก็ไม่สะดวกที่จะลงมือตรวจสอบ
หากว่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา ทั่วทั้งเทียนฉีล้วนรู้ว่าท่านหญิงแห่งจวนจิ่งชินอ๋องหนีไปตามหาบุรุษ จะให้จวนอ๋องของพวกเขาเงยหน้าได้อย่างไร หลังจากน้องสาวกลับมาแล้วจะทำตัวอย่างไร
เขาเรียกข้ารับใช้ข้างกายมา ให้พิราบส่งสารไปหาจ้าวเฟยลู่ ให้เขาเลิกติดตามซูชี เพื่อไปตามหาซูซู แล้วพานางกลับมาอย่างปลอดภัย
ข้ารับใช้ข้างกายเพิ่งจากไป ข้างนอกกลับมีคนรายงานว่า จวนหนิงส่งคนมาขอเข้าพบ บอกว่ามีข่าวคราวของท่านหญิง
ปฏิกิริยาแรกของจิ่งซื่อจื่อก็คือส่งคนไปจับนางกลับมา แล้วขังเอาไว้ ค่อยหาตระกูลฝ่ายสามีให้นาง คุมตัวขึ้นเกี้ยว ลำบากครั้งเดียว สบายไปตลอดชีวิต จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องของนางอีก
แต่เมื่อส่งคนส่งข่าวจากไปแล้ว จิ่่งซื่อจื่อก็ใจอ่อนอีกแล้ว
หากว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็เกรงว่าชั่วชีวิตนี้เขาคงไม่ได้เห็นรอยยิ้มของน้องสาวอีกแล้ว เกรงว่าน้องสาวจะทำเรื่องที่รุนแรงยิ่งกว่านี้ออกมาเพราะเหตุนี้
เขาถอนหายใจ
ช่างเถอะ…
นางอยากจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ
ขอแค่ตัวนางรู้สึกว่าคุ้มค่า รู้สึกว่านั่นเป็นสิ่งที่นางหวังไว้ในชีวิตนี้ เช่นนั้น…เขาก็จะทำให้นางสมปรารถนา
แม้ว่าในข่าวคราวที่ตระกูลหนิงส่งมา จะไม่ได้มีความแม่นยำ แต่อย่างน้อยก็พอจะรู้ตำแหน่งทิศทางคร่าวๆ ของนางในตอนนี้
ดังนั้นจึงเรียกข้ารับใช้ข้างกายมา แล้วเขียนจดหมายฉบับหนึ่งส่งไปให้จ้าวเฟยลู่
ตอนที่ตระกูลซูรู้เรื่องนี้ก็เป็นสองสามวันให้หลังแล้ว
ซูจิ่นอวี้ที่ได้รับข่าว ก็ไม่ได้สติอยู่นานสองนาน
“ท่านพี่ ทำไมหรือเจ้าคะ”
ตอนที่ลั่วซื่อผู้เป็นฮูหยินยกน้ำแกงโสมเดินเข้ามาในห้องหนังสือ ก็เห็นซูจิ่นอวี้จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงเป็นห่วงอยู่บ้าง เลยส่งเสียงถามขึ้นอย่างอดไม่อยู่
ซูจิ่นอวี้เงยหน้าเห็นภรรยา ก็ยิ้มอย่างจนปัญญา
“ท่านหญิงซูซูแห่งจวนจิ่งอ๋องหายตัวไป ว่ากันว่าหนีออกจากจวนไปแล้ว”
ลั่วซื่อตะลึงเล็กน้อย มองซูจิ่นอวี้ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยเสียงนุ่มนวลว่า “คงจะไม่ได้…ไปตามหาซูชีหรอกนะเจ้าคะ?”
พวกเขาล้วนรู้ถึงความรู้สึกที่ท่านหญิงซูซูมีต่อซูชี คนหนึ่งตาม คนหนึ่งหนี ช่างล้มลุกคลุกคลานจริงๆ
ซูจิ่นอวี้พยักหน้า ไม่ได้ปิดบังอะไรกับลั่วซื่อ
เขากวักมือให้ลั่วซื่อนั่งลงข้างกายตนเอง โอบกายนางเอาไว้เล็กน้อย พลางเอ่ยว่า “บางครั้งก็จำเป็นต้องนับถือความกล้าเช่นนี้ของท่านหญิงซูซูจริงๆ! นางไม่รู้แม้กระทั่งว่าซูชีอยู่ที่ไหน แต่กลับกล้าออกไปตามหา!”
ลั่วซื่อได้ยินแล้วก็ยิ้มอ่อนโยน
“บางทีนี่คงเป็นความยิ่งใหญ่ของความรัก”
ความยิ่งใหญ่ของความรัก?
ซูจิ่นอวี้หรี่ตาทั้งคู่ลงเล็กน้อย
สำหรับคำว่าความรักคำนี้ เขายังคงรู้สึกไม่คุ้นเคย แม้ว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับลั่วซื่อจะดีมาก แต่กลับห่างไกลจากคำว่าความรักยิ่งนัก
เขานึกถึงความรู้สึกรักที่เคยเกิดขึ้นในใจตนเองเล็กน้อย
เดิมเขานึกว่า สตรีนางนั้นจะได้ครองคู่กับน้องเจ็ดที่ใกล้ชิดมากที่สุดของตนเอง เพียงแต่สิ่งต่างๆ ในโลกนั้นคาดเดาได้ยาก ชีวิตคนเรามักจะช้าไปก้าวหนึ่งเสมอ
ซูชีพบกับมั่วเชียนเสวี่ยหลังหนิงเซ่าชิงไปก้าวหนึ่ง
ท่านหญิงซูซูปรากฏตัวเข้าสู่สายตาน้องเจ็ดหลังมั่วเชียนเสวี่ยก้าวหนึ่ง
ส่วนตนเอง ก็ยิ่งช้า ช้าเสียจนความคิดสนใจเพียงเล็กน้อยก็ไม่อาจมีได้
“อาจจะ…”
ใช่แล้ว อาจจะ เรื่องประเภทนี้ ใครจะไปรู้ได้
ทว่า แม้ว่าจะเป็นซูจิ่นอวี้ที่เพิ่งรู้ว่าความรักคือสิ่งใดในตอนนี้ ก็ทำได้เพียงแค่อวยพรท่านหญิงซูซูกับน้องเจ็ดของตนเอง
เขาไม่หวังว่าการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลกูจะสร้างความก้าวหน้าที่ดีมากเพียงใดให้กับตระกูลตนเอง เพียงแต่หวังว่าน้องชายของตนเองจะมีคนที่จริงใจ รักและทะนุถนอมเขาคนหนึ่ง แล้วมีความสุขไปชั่วชีวิต
เพียงเท่านี้เอง
ซูชีออกจากเมืองหลวง ซูจิ่นอวี้ย่อมรู้ เขาไม่แจ้งให้ใครทราบ แต่ก็มาบอกพี่ชายของเขา
หลายวันก่อนหน้านี้เป็นวันแต่งงานของหัวหน้าตระกูลหนิง เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเขาสองคนไปคารวะท่านย่า ท่านย่ายังคงเอ่ยเรื่องที่เคยเอ่ยไปแล้วเช่นเคย นางบังคับให้เขารีบแต่งงาน บอกว่ามีคุณหนูหลายตระกูลที่สนิทสนมกัน ครั้งนี้เขาไม่เลือกก็ต้องเลือก
เมื่อออกมาจากห้อง ซูชีก็เอ่ยด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกว่า “พี่ใหญ่ ข้าอยากออกไปผ่อนคลาย”
จากนั้น เขาก็ไม่เห็นซูชีอีก
เพียงแต่เทียบกับ จวนจิ่งชินอ๋อง ที่อลหม่านโกลาหลเพราะซูซูหายไป ตระกูลซูกลับใช้ชีวิตดำเนินไปตามปกติ
ท่านย่าเพียงแค่ด่าอย่างโมโหว่า “เจ้าเด็กเปรต” นางกระทืบเท้าด้วยความเจ็บใจที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้เป็นเหล็กกล้าได้[1]แล้วเรื่องนี้ก็ผ่านไป
ความจริงแล้ว ตระกูลซูแทบจะเคยชินกับการจากไปโดยไม่บอกลาของซูชีแล้ว ซูชีถูกขับไล่ตั้งแต่เด็ก เขาก็ชินกับน้องชายที่มีนิสัยคิดได้ก็ลงมือทำทันทีคนนี้แล้ว
เพียงแต่ ต่อให้เป็นใครก็คิดไม่ถึงว่า จุดหมายปลายทางที่ซูชีไปในครั้งนี้จะเป็นหมู่บ้านหวังจยาอำเภอเทียนเซียงชีวิตคนเรา บางครั้งก็มักจะชอบกลั่นแกล้งคนเช่นนี้
สำหรับซูชีแล้ว การที่รักแต่ไม่ได้มาครอบครองนั้นเป็นเรื่องน่าเสียใจ
แต่แม้ว่าจะไม่ยินยอมเพียงใด เขาก็ทำได้เพียงแค่กัดฟันทน ฝืนทำหน้ายิ้มแย้มอวยพรมั่วเชียนเสวี่ยให้มีความสุขและเบิกบานใจเช่นนี้ในทุกๆ ชาติไป!
[1] เจ็บใจที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้เป็นเหล็กกล้าได้ คือการตั้งความหวังหรือเข้มงวดกับคนคนหนึ่ง เพื่อหวังว่าเขาจะได้ดิบได้ดี