เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 611 อุปสรรค ซูซูต้มตุ๋นคน (2)
“เฮ้อ…นังหนู…นังหนู…”
ซูซูหมดสติไปเพราะร่างกายอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง ขอทานชรามีสีหน้าร้อนรน
เขากลัวขึ้นมาแล้วจริงๆ!
คนผู้หนึ่งที่ติดตามเขามาในยามเช้ายังกระโดดโลดเต้น แต่ตอนนี้ชั่วพริบตาเดียวกลับหมดสติไป
“นายท่านทุกท่าน! นายท่านทุกท่านที่มีจิตใจดีงามมีใครสามารถช่วยเหลือได้หรือไม่ขอรับ เด็กคนนี้หมดสติไปแล้ว! ทุกคนช่วยกันหน่อยเถอะขอรับ…”
ขอทานชราเอ่ย พลางโขกศีรษะให้กับผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาท่ามกลางพายุหิมะ
แต่ทว่าผู้คนท่าทางรีบร้อน คนส่วนใหญ่ล้วนห่อตัวก้าวเดินอย่างรวดเร็ว หนาวจนกระทั่งตนเองก็ยังเอาตัวไม่รอด ใครจะมีแก่ใจไปช่วยเหลืออีก?
ขอทานชราตะโกนอยู่นานก็ไม่มีใครมาช่วย หลังจากไม่ได้ผล ขอทานชราก็ทำได้เพียงแค่ฝืนขาที่แทบจะไร้ความรู้สึกของตนเองให้ลุกขึ้นยืน
ไม่อาจ…คงไม่อาจมองเด็กคนนี้ตายอยู่ข้างกายตนเองได้หรอกนะ?
แบบนี้เขาใจแข็งไม่พอนี่!
เป็นเพราะคุกเข่าตลอดช่วงเช้า ตอนที่ขอทานชราฝืนตัวลุกขึ้นยืน เป็นเพราะพื้นลื่น จึงโซเซล้มลงไปบนพื้นที่เต็มไปด้วยหิมะ กินน้ำหิมะเข้าไปเต็มๆ!
เจ็บจนเขาต้องสูดปาก!
และหนาวจนเขาตัวสั่นระริก!
ตอนนี้คนในตระกูลร่ำรวยมีผู้ใดบ้างที่ไม่สวมเสื้อนวมหนาๆ? ก็มีเพียงแค่พวกเขาเหล่าขอทานที่ไม่มีเงิน ชะตาชีวิตลำบากที่มีแค่เสื้อผ้าชุดเดียวเท่านั้นตลอดทั้งสี่ฤดูในหนึ่งปี!
เดิมเขาสวมเพียงแค่เสื้อที่ทำจากผ้าฝ้ายบางๆ ตัวหนึ่ง ตอนนี้เมื่อล้มลง เข่าก็กระแทกจนได้แผล โลหิตค่อยๆ รินไหลออกมา
ท่ามกลางลมแรงหิมะตกหนัก หากเขาไม่สนใจ ก็เกรงว่าเด็กนี่ไม่ป่วยตายก็ต้องหนาวตายแน่ๆ…
ขอทานชราอยากจะขยับตัว แต่กลับรู้สึกได้ว่าขาไร้เรี่ยวแรง เขามองซูซูที่อยู่ข้างๆ แวบหนึ่งอย่างไม่อยากจะสนใจเด็กคนนี้ แล้วปล่อยนางไปตามยถากรรมจริงๆ!
ตั้งแต่สมัยโบราณ ขอทานที่หนาวตายในฤดูหนาว ขอทานที่จมน้ำฝนตายในฤดูร้อน ขอทานที่หิวตายในหนึ่งปีสี่ฤดูนั้นมีจำนวนนับไม่ถ้วน!
มีเด็กเพิ่มมาอีกคนก็ไม่มากขึ้น ขาดนางไปคนหนึ่งก็ไม่ได้น้อยลง!
เขาครุ่นคิดไปมา แต่ก็รู้สึกว่าแข็งใจทำไม่ลง!
อายุน้อยถึงเพียงนี้ หากว่าตนเองช่วยเหลือสักหน่อย ก็ยังสามารถมีชีวิตต่อไปได้…ในภายภาคหน้าหากมีความกระตือรือร้น ก็อาจจะสามารถโดดเด่นกว่าผู้อื่นได้!
แม้ว่าตัวเขาจะแก่แล้ว แต่ว่าสายตากลับยังใช้การได้ดีอยู่!
เขามองออกว่า แม่นางน้อยผู้นี้จะต้องเป็นบุตรีของตระกูลที่ร่ำรวย ไม่เคยลำบากมาตลอดชีวิต จะต้องพบเจอกับเรื่องลำบากมาอย่างแน่นอน
ชีวิตคนเรานั้นคาดเดาได้ยาก ใครบ้างที่ไม่มีอุปสรรค?!
“อืม…ช่างมันเถอะ ใครใช้ให้เจ้าพบกับข้ากันเล่า…”
ใช่แล้ว ใครใช้ให้เจ้าพบกับผู้เฒ่าน่าตายที่มีจิตใจดีงามเช่นข้าคนนี้กัน?
ขอทานชราลุกขึ้นอย่างยากลำบาก แต่สุดท้ายก็ลุกขึ้นยืนได้ด้วยขาที่สั่นระริก จากนั้นก็โค้งตัวไปประคองซูซูขึ้นมา แบกนางไว้บนหลังของตนเอง แล้วเดินไปข้างหน้าทีละก้าวๆ อย่างเชื่องช้า…
“ซูชี…ซูชี…”
ซูซูที่ถูกแบกอยู่บนหลังขอทานชรากลับตะโกนเรียกชื่อซูชีออกจากปากในตอนนี้
ในความฝัน ซูซูมองเห็นเงาร่างของซูชีอย่างเลือนราง
เขาอยู่ตรงหน้า มองมาที่ตนเองแล้วหัวเราะ
นางพยายามตามไปข้างหน้า เข้าไปใกล้เขา แต่ตรงกลางกลับมักจะมีระยะทางขวางกั้นเอาไว้ช่วงหนึ่ง…
ไม่ไกลไม่ใกล้ คล้ายกับใช้มือสัมผัสได้ แต่ก็คล้ายกับไกลเกินเอื้อม
ทันใดนั้นซูชีก็หมุนตัวจากไป จากไปอย่างรวดเร็ว
นางอยากจะรีบตามไป…ทว่าก็ไม่อาจเข้าใกล้ได้ตลอด
นางทำได้เพียงแค่ตะโกนเรียกชื่อของซูชีอย่างกระวนกระวายและจนปัญญา หวังว่าจะสามารถทำให้ซูชีมองเห็นตนเอง ได้ยินเสียงของตนเอง หันหน้ากลับมา แล้วหยุดเดิน…
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเสียงนางจะดังเพียงใด ตามไปด้วยความลำบากเพียงไหน ซูชีก็ไม่ได้หันหน้ากลับมาตั้งแต่ต้นจนจบ และยิ่งไม่ได้ค้นพบว่านางอยู่ข้างหลังเขา
ซูชี…เลือนหายไปจากสายตาของนางอย่างเชื่องช้า
ความเจ็บปวดของการที่ถูกคว้านหัวใจมันก็แค่เท่านี้เอง!
เดิมสตินางยังเลือนราง คราวนี้ก็หมดสติไปทันที
ความทรงจำสุดท้ายหยุดอยู่ที่ซูชีหายตัวไป นางร้องไห้คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยความเสียใจ…และสิ้นหวัง…
จ้าวเฟยลู่เร่งรีบมุ่งหน้าไปยังเมืองไหลหยาง แต่เป็นเพราะเส้นทางของซูชีกับเมืองไหลหยางอยู่คนละทิศคนละทาง อย่างน้อยสุดก็ต้องใช้เวลาสามสี่วันถึงจะไปถึง
ไม่รู้จริงๆ ว่า ถึงตอนนั้น ท่านหญิงที่หยิ่งยโสผู้นั้นจะแข็งตาย หิวตาย หรือป่วยตายหรือเปล่านะ…
“ย่าห์!”
จ้าวเฟยลู่กระวนกระวายใจ สิ่งที่ถวิลหาแม้ในความฝันของเขา…ได้แต่หวังว่า ท่านหญิงผู้โง่งมท่านนี้จะยังมีลมหายใจเฮือกสุดท้ายรอเขาอยู่นะ
วันรุ่งขึ้น ซูชีที่นั่งสมาธิพักผ่อนอยู่ในโรงเตี๊ยม ตลอดทั้งคืนไม่เพียงแต่จะไม่ได้ปรับกำลังภายในให้เรียบร้อย เมื่อถึงยามเช้าก็เลือดลมปั่นป่วน
เขาที่ในใจหงุดหงิด สับสนวุ่นวาย ถึงกับไม่สามารถรวบรวมสมาธิได้
เส้นลมปราณพลันสับสน ทะลุพลังภายใน จนกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง
ทันใดนั้น ซูชีก็ลืมตาขึ้นแล้วหรี่ตาลงเล็กน้อย ในแววตาดำมืดมีความรู้สึกที่ทำให้คนมองไม่ออก
เขาเม้มกลีบปากแดงเข้มแน่น สีหน้าจริงจังจนมองออกเลยว่าตอนนี้เขากำลังดิ้นรนกับอะไรบางอย่างอยู่
“อาจ้าว!”
ไม่นานนัก ในห้องก็มีบุรุษสวมอาภรณ์สีน้ำเงินกอดดาบเอาไว้ผู้หนึ่งเพิ่มขึ้นมา
“ขอรับ”
ซูชีหยิบผ้าดิ้นออกมาจากอกผืนหนึ่ง ซับคราบโลหิตที่มุมปากอย่างเอื่อยเฉื่อยด้วยสีหน้าจนปัญญาเล็กน้อย
แม้ว่าจะลอบด่ากูเสี่ยวซูในใจไปร้อยรอบ แต่เขากลับไม่อาจไม่สนใจนางได้
กูเสี่ยวซู ตัวหายนะผู้นี้ ตั้งแต่ต้นจนจบก็เป็นเพราะเขาถึงได้หนีออกจากจวน เขาไม่สนใจเช่นนี้ มโนธรรมในใจก็ยากจะสงบ เช่นนั้นถึงได้ทำให้เลือดลมปั่นป่วน!
หากไม่ “ขุดรากถอนโคน” นางผู้เป็นตัวหายนะ ก็เกรงว่าจะถูกนางทำให้โมโหจนป่วยเอาได้
เขาสูดลมหายใจลึก พลางบอกกับตนเองว่า ที่สนใจนางก็เพราะศีลธรรม
“รีบเดินทางไป เมืองไหลหยางตามหา ท่านหญิงซูซูให้พบโดยเร็วที่สุด! หลังจากหานางพบแล้ว ก็คุมตัวนางกลับไปจวนจิ่งอ๋อง เฝ้าให้นางแต่งงาน…” จะได้ไม่ต้องออกมาสร้างหายนะให้เขาอีก
หลังจากซูชีคลุกคลีกับซูซูในฐานะหัวหน้าและผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นเวลานาน ก็นับว่าเข้าใจเนื้อแท้ของซูซูคนผู้นี้แล้ว
นางเป็นคนนิสัยดื้อรั้น เทียบกับตนเองแล้ว ก็ไม่ด้อยกว่าเลยแม้แต่น้อย!
ด้วยความหัวรั้นของนาง เกรงว่าอาจ้าวไม่มีทางคุมตัวกลับไปได้
ซูชีถอนหายใจอย่างจนปัญญา แล้วประนีประนอม โดยการเรียก อาจ้าวที่รับคำสั่งแล้วกำลังจะเตรียมตัวออกไปกลับมา
“เฮ้อ…ช่างเถอะ เจ้าไม่ต้องไปแล้ว…”
ในเมื่อตัดสินใจแล้ว ซูชีก็ลุกขึ้น
เขาไม่เคยเป็นคนเยิ่นเย้ออืดอาด จัดอาภรณ์เล็กน้อยครู่หนึ่ง ก็สั่งอาจ้าวว่า “คืนห้องเถอะ!”
แม้ตัดสินใจแล้วว่าจะให้ความสนใจกูเสี่ยวซูสักหน่อย แต่ในใจกลับยังคงเดือดดาล
กูเสี่ยวซู ชาติที่แล้วข้า ซูชีจะต้องทำเรื่องชั่วร้ายเอาไว้ไม่น้อย สุดท้ายถึงได้มาข้องเกี่ยวกับเจ้าที่ชอบหลอกลวงผู้คน!
คราวนี้ เขาจะต้องคุมตัวนางกลับเมืองหลวงด้วยตนเอง แล้วเฝ้าดูนางแต่งงาน!
ระหว่างที่มึนงง ซูซูคล้ายกับรู้สึกว่ามีคนบังคับง้างปากนางออก จากนั้นก็เทของเหลวอุ่นร้อนเข้าปากตนเอง