เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค - ตอนที่ 631 ตอนพิเศษ กิจการตระกูลซู รังแกคนเกินไปแล้ว (1)
อย่ามองว่าซูชีคนผู้นี้สง่างาม ไม่อยู่ในกฎเกณฑ์มานาน แต่ก็เหมือนกับที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ หากเขาไม่ได้ประสบความสำเร็จมากมาย คนในตระกูลจะปล่อยให้เขาเดินทางท่องเขาลำเนาไพรไปทั่วแบบนี้ได้อย่างไร
ตอนนี้ใกล้จะคืนวันสิ้นปีแล้ว สุดท้ายคนทั้งขบวนก็หยุดพักที่อำเภอเฟ่ย
กิจการตระกูลซูในสถานที่แห่งนี้ล้วนมีการรับสินบนเป็นหลัก
ครั้งนี้เบื้องหน้าซูชีดูเหมือนออกมาผ่อนคลายอารมณ์ แต่ความจริงแล้ว เขามาตรวจสอบกิจการในอำเภอต่างๆ ของตระกูลอย่างเป็นความลับ
จากเบาะแสที่ได้มา อำเภอเฟ่ยมีปัญหาไม่น้อย
ใกล้จะคืนวันสิ้นปีแล้ว มองออกเลยว่า เมืองใหญ่น้อย ตระกูลน้อยใหญ่ล้วนยุ่งวุ่นวายและยินดีปรีดา
ทั้งสี่คนเข้าพักใน “โรงเตี๊ยมถงฝู” ซึ่งเป็นโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในอำเภอเฟ่ย
ความจริงแล้วนี่ก็เป็นกิจการของตระกูลซูเช่นกัน
คนเยอะมาก!
นี่คือความรู้สึกแรกที่เมืองที่เจริญรุ่งเรืองแห่งนี้มอบให้กับซูชี
จากนั้นก็ยุ่งวุ่นวาย
“ซูชี คิดไม่ถึงเลยว่ากิจการของพวกเจ้าตระกูลซูจะเจริญรุ่งเรืองขนาดนี้!” ซูซูตามติดอยู่ด้านหลังซูชี เพราะคนเยอะเกินไป นางจึงจำเป็นต้องคว้าแขนเสื้อซูชีเพื่อรักษาความสมดุล
ซูชีหันมาถลึงตาใส่ซูซูครั้งที่สิบเจ็ด หลังจากยังคงไร้ผลเช่นเคย เขาก็ยอมแพ้ไป
ตอนนี้นางสวมเสื้อผ้าบุรุษ ฉุดลากก็ฉุดลากเถอะ
ซูซูเห็นซูชีมีสีหน้าจนปัญญา ก็แอบยิ้มบางๆ…
อยากจะสลัดข้าทิ้งน่ะ มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกนะ!
“กิจการของตระกูลซูก็นับว่ากระจายไปทั่วเทียนฉีแล้ว แม้ว่าจะเจริญรุ่งเรือง แต่กลับไม่รู้ว่าซื่อสัตย์หรือไม่ ดังนั้นที่ข้ามายังอำเภอเฟ่ย ก็เพื่อตรวจสอบ เจ้า!”
ซูชีหันกลับมาเตือนนางอย่างจริงจัง “เจ้าจะต้องระวังตัวหน่อย เพราะบางครั้ง ข้าก็ไม่มีเวลามาดูแลเจ้า เข้าใจไหม”
ซูซูนัยน์ตาเปล่งประกายวาบ! เมื่อเห็นท่าทางจริงจังมากของซูชี
เชียนเสวี่ยเคยบอกไว้ว่า บุรุษที่จริงจังนั้นโดดเด่นที่สุด! แต่ก่อนนางไม่เห็นด้วย แต่ตอนนี้นางเชื่อแล้ว!
ซูชีที่มีท่าทางเช่นนี้หล่อเหลามากจริงๆ
ซูซูกลัวว่าวินาทีถัดไป ซูชีจะเอ่ยวาจาไม่น่าฟังออกมา จึงรีบพยักหน้า!
“รู้แล้ว! รู้แล้ว!”
อย่างไรซูชีก็รู้สึกสงสัยในวาจาเช่นนี้ของซูซูมาก แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะเผชิญหน้ากัน คนเยอะเกินไป พวกเขาขึ้นไปที่ชั้นบนก่อนจะดีกว่า
รอหลังจากคนทั้งขบวนล้วนพักผ่อนกันเรียบร้อยแล้ว ซูชีก็พาซูซูเดินสะเปะสะปะไปใน อำเภอเฟ่ย
อ่อ ไม่อาจบอกว่าซูชีพาซูซู ควรจะบอกว่าซูซูตามตื๊อซูชี…
“กูเสี่ยวซู! เทียนฉีไม่อนุญาตให้บุรุษรักกัน เจ้าปล่อยมือจากตัวข้าเสีย!”
“ไม่!”
“กูเสี่ยวซู! เจ้าอย่าเอาตัวมาติดข้า! ร้อนมาก!”
“ข้าหนาว!”
“อย่าตามข้ามา!”
“หากข้าหายไปจะทำเช่นไร”
ซูชีรู้สึกไร้เรี่ยวแรงสุดขีด
เขารู้มาตลอดว่า ท่านหญิงซูซูเป็นคนซุกซนเฉลียวฉลาด แต่เป็นเพราะความยากลำบากที่นางได้รับทั้งหมดในตอนที่อยู่เมืองไหลหยาง ถึงกับทำให้เขาลืมไปว่า ความจริงแล้วสตรีนางนี่เป็นแมลงสาบที่ตีไม่ตายตัวหนึ่ง!
หรือสามารถกล่าวได้ว่าซูซูมีเงามืดในอำเภอไหลหยาง ดังนั้นนางจึงอยู่นิ่งๆ แต่เมื่อมาถึง อำเภอเฟ่ย นางก็เหมือนม้าป่าที่หลุดจากบังเหียน วานรที่กระโดดออกจากฝ่ามือพระโพธิสัตว์!
เขาโมโหจะตายแล้ว!
“ไสหัวไปๆ! ไม่ดูฐานะตนเองเสียบ้าง! ร้านของพวกเราให้ผู้ใดเข้ามาก็ได้อย่างนั้นหรือ หากยังกล้าก่อกวนอีก ข้าจะตีเจ้าให้ตาย!”
คนทั้งขบวนกำลังเดินมาถึงหน้าประตูร้านแร่หยก ก็พลันเห็นบุรุษที่มีท่าทางคล้ายบัณฑิตผู้หนึ่งถูกเสี่ยวเอ้อร์ของร้านผลักออกมาอย่างหยาบคาย ปากก็พึมพำด่าไปเรื่อยอย่างไร้ซึ่งท่าทีที่บ่าวรับใช้ควรจะมี
ซูชีหรี่ตาลงเล็กน้อย พิจารณามองเสี่ยวเอ้อร์ของร้านครู่หนึ่ง และเงยหน้ามองป้ายแวบหนึ่ง สีหน้าพลันเย็นเยียบทันที
ซูซูย่อมสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของซูชี จึงรีบกระตุกชายเสื้อเขา แล้วถามว่า “ซูชี นี่ก็คือกิจการตระกูลเจ้าเช่นกันหรือ”
ความจริงแล้วนางไม่ได้ตั้งใจฉีกหน้าซูชีในตอนนี้ ที่แท้กิจการของพวกเจ้าตระกูลซู ก็มีช่วงที่อาศัยอิทธิพลมารังแกผู้คนเช่นกัน…
ซูซูไม่ได้เอ่ยอันใด แต่ไม่ได้หมายความว่าซูชีไม่รู้ว่าในใจนางคิดอะไรอยู่!
ซูชีก้าวไปข้างหน้า ประคองบุรุษที่ถูกเสี่ยวเอ้อร์ในร้านผลักออกมาให้ลุกขึ้น
ความจริงแค่มองก็รู้แล้วว่าฐานะครอบครัวบุรุษผู้นี้ไม่ได้ร่ำรวย จนถึงขั้นกล่าวได้เลยว่ายากจนข้นแค้น
เพราะว่าปีใหม่มาถึงแล้ว ตอนนี้ครอบครัวที่ค่อนข้างมีเงินครอบครัวใดบ้างที่ไม่นำผ้าสองฉื่อมาทำชุดใหม่ แต่เสื้อผ้าบนร่างคนผู้นี้กลับเต็มไปด้วยรอยปะชุน
แม้ว่ารอยปะชุนจะเยอะ แต่กลับสะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อย
หลังถูกประคองให้ลุกขึ้นแล้ว บุรุษผู้มีท่าทางของซิ่วไฉ[1]ก็รีบประสานมือกล่าวขอบคุณซูชี
“ขอบคุณพี่ชายท่านนี้ที่ช่วยเหลือ ข้าน้อยซาบซึ้งใจยิ่งนัก”
ซูชีพิจารณามองเขาขึ้นๆ ลงๆ หลายครั้ง สุดท้ายกลับหยุดอยู่ที่นัยน์ตาเปล่งประกาย และไม่ยินยอมแต่กลับจำเป็นต้องยอม แล้วยิ้มบางๆ “ไม่เป็นไร”
เขาเงยหน้ามองร้านแร่หยกแวบหนึ่ง แล้วถามราวกับชวนคุยด้วยความประหลาดใจ “ไม่ทราบว่าเหตุใดพี่ชายถึงได้ถูกเสี่ยวเอ้อร์ร้านนี้ผลักออกมาหรือ หรือว่า…”
โทสะของซิ่วไฉผู้นี้ยากจะสงบลงได้! ตอนนี้เห็นมีคนเป็นฝ่ายถาม จึงเริ่มระบายความคับแค้นใจออกมา
“รังแกกันเกินไปแล้ว! นั่นเป็นเครื่องปั้นดินเผาล้ำค่าของตระกูลข้า หากไม่ใช่ว่ามารดาข้าป่วย ข้าจะเอามันออกมาจำนำทำไม แต่พวกเขา…แต่พวกเขากลับให้ข้าแค่สองตำลึง! ผลงานการเขียนตัวอักษรด้วยพู่กันและภาพวาดนั่น พวกเขาก็บังคับแย่งไป! ข้าต้องการจะถกเถียงกับพวกเขา!”
เขายังคงระบายความคับข้องใจอยู่ตรงนั้นอย่างเต็มที่ แต่กลับไม่เห็นว่าสีหน้าของซูชีทะมึนมากขึ้นเรื่อยๆ!
ซูซูย่อมเห็นอยู่ในสายตา เห็นท่าทางเคร่งขรึมของซูชี ในใจก็ร้อนรนเล็กน้อย จึงอดเอ่ยตัดบทซิ่วไฉผู้นั้นไม่ได้
“เช่นนั้นเจ้าก็ไปแจ้งทางการสิ! ให้พวกเขาตัดสินให้เจ้า”
ซิ่วไฉมองซูซูด้วยความประหลาดใจแวบหนึ่ง สายตานั้นราวกับมองซูซูเป็นคนปัญญาอ่อนคนหนึ่ง!
“เจ้าไม่รู้หรือว่านี่คือกิจการของ ‘ตระกูลซู’ ข้าไปศาลาว่าการแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าถูกรังแกเหมือนกันหรือ!” จัดการได้เรียบร้อยก็ยังมีชีวิตอยู่ต่อได้ จัดการไม่ดี ก็เป็นการเอาชีวิตของตนเองไปทิ้ง!
ซูซูอ้าปากกว้าง ไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะเอ่ยอันใดในตอนนี้
อย่างไรเสียในตระกูลซูก็มีส่วนที่เป็นของซูชีเช่นกัน
นางหันกลับไปมองจ้าวเฟยลู่ที่อยู่ข้างหลังแวบหนึ่ง
จ้าวเฟยลู่พลันรู้สึกหมดวาจาจะกล่าว
เมื่อไม่ได้รับวิธีการที่ดี ซูซูก็หันกลับไป ดึงแขนเสื้อซูชี พลางเอ่ยปลอบว่า “ซูชี ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนดีคนหนึ่ง มีคนชาติชั่วเช่นนี้ในตระกูลซูของพวกเจ้า เจ้าจะต้องโมโหมากแน่นอน แต่พวกเราจัดการสักเล็กน้อยก็จบแล้ว อย่าโกรธจนสุขภาพตนเองเสียเลย…”
ในตอนนี้ สมองที่มีขีดจำกัดของนาง ก็ไม่รู้ว่ายังจะเอ่ยอันใดได้อีก อย่างไรเสียเรื่องประเภทนี้ก็ไม่เคยเกิดขึ้นกับตัวนางมาก่อน แม้ว่านางอยากจะช่วยซูชีขจัดปัญหา ก็เป็นไปไม่ได้
[1] ซิ่วไฉ คือผู้สอบผ่านระดับอำเภอ