แกร่งสุดด้วยอาชีพผสาน ในโลกที่มีมอนสเตอร์ออกมากินคนยามค่ำคืน - ตอนที่ 16 ใครจะรู้ว่ากำลังเสริมหมายถ
- Home
- แกร่งสุดด้วยอาชีพผสาน ในโลกที่มีมอนสเตอร์ออกมากินคนยามค่ำคืน
- ตอนที่ 16 ใครจะรู้ว่ากำลังเสริมหมายถ
หัวหน้าของพวกปลอกแขนแดงเมื่อวาน… เจ้าหมอนี่น่ะเหรอ!?
ทัตกัดฟันกรอดหลังได้รับคำยืนยันจากมิ้นที่อยู่ข้าง ๆ เพราะไม่คิดว่าจะมีเหตุผลอะไรให้เธอโกหกในสถานการณ์แบบนี้
และถึงจะไม่ได้รับคำอธิบายจากมิ้น… แต่ด้วยรูปลักษณ์กำยำใหญ่โตดูน่าเกรงขามเหนือมนุษย์มนาปกติ มันก็ทำให้เผลอคิดไปอยู่แล้วว่าหมอนี่น่าจะเป็นคนระดับนั้น
“เห… ไอ้ตัวเล็กนี่น่ะเหรอ”
ชายหนุ่มร่างกายกำยำผิวสีคล้ำผมสีเงินผู้เป็นหัวหน้าของกลุ่มปลอกแขนแดง… เจสันบ่นพึมพำหลังได้เห็นทัตที่อยู่ด้านล่างแล้วก็คิดว่าช่างดูอ่อนแอผิดกับความสามารถที่ได้ยินมา ทั้งที่ความจริงทัตถือได้ว่าเป็นคนที่สูงพอสมควรหากเทียบกับมาตรฐานชายไทย แต่หากเทียบกับตัวเจสันที่สูงกว่า 2 เมตรก็คงถือว่าเตี้ยกว่าอยู่ดี
แต่เจสันเองก็ไม่ได้ตีค่าคนด้วยรูปลักษณ์ไปเสียหมด…
เขาที่อยากยืนยันในเรื่องนั้นจึงกระโดดลงจากชั้นที่อยู่เหนือหัวลงมาอยู่เบื้องหน้าของทัตในการกระโดดเพียงครั้งเดียว เรียกว่าไม่ทันกะพริบตาเจสันก็มายืนอยู่เบื้องหน้าของพวกทัตไปแล้ว
แล้วยิ่งพอมาอยู่ใกล้ก็ยิ่งทำให้สัมผัสได้ถึงความต่างของส่วนสูง… แถมด้วยบรรยากาศที่แผ่ออกมายังสัมผัสไม่ได้เลยถึงความเป็นมิตรอีก
ความรู้สึกคุกคามนั่นเลยทำให้พล กล้า หนุ่มและแพรยืนสั่นขยับไม่ได้พูดอะไรไม่ออกนอกจากอ้าปากค้าง เพราะถึงจะไม่มั่นใจว่าชายร่างยักษ์คนนี้เป็นศัตรูหรือไม่ แต่ก็สัมผัสได้ว่าไม่ใช่มิตรแน่ ๆ จากท่าทางของทัต พิมและมิ้นที่มีต่อเขา
“นาย… ต้องการอะไร?” ทัตเป็นคนเอ่ยถามก่อนเพราะรู้สึกว่ามีส่วนต้องรับผิดชอบ ทั้งที่เขาเองก็กลัวเหมือนกันแท้ ๆ
ทางด้านเจสันพอได้ยินอย่างนั้นก็ฉีกยิ้มออกมาอย่างพอใจต่อความกลัวที่พวกทัตแสดงออก
“ฉันชื่อเจสัน… นายสินะคนที่ฆ่าลูกน้องฉันไปเมื่อวานน่ะ?” เจสันแนะนำตัวก่อนจะเปิดประเด็นอย่างนั้น น้ำเสียงของเขาไม่ได้มีความโกรธซ่อนอยู่เลย แต่ทัตก็คิดเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจาก…
“คิดจะมาแก้แค้นเหรอ… แต่เพื่อนนายโดนมอนสเตอร์ฆ่านะ ฉันไม่เกี่ยว” ทัตตอบกลับ พยายามจ้องตาคู่สนทนากลับไปแม้จะดูน่ากลัวแค่ไหนก็ตาม
เพราะในสถานการณ์นี้… หากยอมให้อีกฝ่ายข่มได้ก็ถือว่าแพ้ไปแล้วเกินครึ่ง
อย่างไรก็ดี ดูเหมือนเจสันคนนี้จะไม่ได้คิดอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนั้นเลย
แทนที่จะคิดแบบนั้น เขากลับติดใจคำพูดของทัตเสียมากกว่า
“เพื่อนเหรอ? ไอ้กระจอกพวกนั้นเป็นขี้ข้ายังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!”
เฮอะ! เจสันเอ่ยแล้วก็ยิ้มเยาะ แสดงสีหน้ารังเกียจออกมาทั้งที่คนที่ถูกกล่าวถึงเป็นคนที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันแท้ ๆ เห็นได้ชัดเลยว่าพวกเด็กหนุ่มที่ทัตเจอเมื่อวานไม่ต่างอะไรจากเครื่องมือสำหรับชายคนนี้ที่สามารถโยนทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้หากเห็นว่าไร้ประโยชน์
นั่นทำให้ทัตรู้สึกไม่พอใจอยู่ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากมองค้อนกลับไป
“ฉันไม่สนใจพวกกระจอกแบบนั้นหรอกนะ กลับกันแล้ว…” ในขณะที่ทางด้านของเจสัน พอพูดแล้วก็กอดอกมองลงมายังทัต
“ได้ยินว่าแกสามารถสู้กับเจ้าพวกนั้นที่เลเวล 50 กว่าพร้อมกันได้สามคน ทั้งที่ตัวเองมีเลเวลแค่ 30 ต้น ๆ… ฉันล่ะสงสัยจริง ๆ ว่าทำได้ยังไง” เจสันว่าแล้วผละมือออกเดินเข้ามา
สิ่งที่เจสันพูดทำให้มิ้นแคลงใจเหมือนกัน เพราะถึงจะฟังมาจากทัตคร่าว ๆ แล้ว แต่เธอก็ไม่รู้มาก่อนว่าทัตสามารถเอาชนะศัตรูได้ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบขนาดนั้น
เป็นเวลาเดียวกับที่ทัตเองก็เดินเข้าไปหาเจสันเหมือนกัน แต่หาใช่เพราะปรารถนาจะต่อสู้ แต่เพื่อไม่ให้มันเข้าใกล้พิมและคนอื่นมากเกินไปต่างหาก พิมเห็นอย่างนั้นถึงได้แสดงสีหน้าเป็นกังวลจนเหงื่อแตกพลั่กออกมา
ทัตเองก็เห็น แต่ก็จำต้องยอมเมินความเป็นห่วงนั้นเพื่อปกป้องทุกคนโดยเฉพาะพิม
เป็นจังหวะเดียวกับที่เจสันยิ้มออกมาอย่างพอใจต่อความห้าวหาญของทัตที่กล้าเผชิญหน้ากับตนทั้งที่ยังหวาดกลัว
“แกนี่น่าสนใจจริง ๆ… พูดตรง ๆ เลยนะ แกน่ะมาเป็นลูกน้องฉันซะ”
“ขอปฏิเสธ”
ในจังหวะที่เจสันเผยเจตนาตัวเองออกมา ทัตก็บอกปัดปฏิเสธในทันทีโดยที่ไม่ต้องใช้เวลาคิดสักนิดเดียว เพราะเห็นแล้วว่าเขามองคนในกลุ่มเป็นยังไง ทัตรู้ดังนั้นย่อมไม่อยากจะอยู่เป็นเครื่องมือให้มันใช้งานอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ดี… นั่นทำให้เจสันคิ้วกระตุกไปเลย เห็นได้ชัดเลยว่าความอดทนของเขาต่ำมาก
และมากกว่าที่ทัตคิด…
“!!!?”
ด้วยเหตุนั้น… พอรู้สึกตัวอีกทีหมัดของเจสันก็พุ่งเข้ามาใส่ใบหน้าของทัตแล้ว แต่ในพริบตาที่ทัตรู้สึกตัว เขาเองก็ง้างหมัดอัดใส่เจสันกลับไปด้วยเหมือนกัน
หมัดของทั้งสองกระทบกันจนเสียงดังสนั่น เกิดแรงกระแทกกระจายไปรอบ ๆ จนพวกพล กล้า หนุ่มและแพรที่เป็นคนธรรมดาถูกแรงกระแทกส่งผ่านอากาศจนล้มก้นจ้ำเบ้าลงไปกับพื้นเลยทีเดียว
“โห…” เจสันส่งเสียงด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นว่าทัตไม่ปลิวกระเด็นไปแต่กลับรับหมัดของตัวเขาได้ด้วย
แต่แน่นอนว่าเจสันไม่ยอมหยุดแค่นั้น… รอยยิ้มที่กำลังหิวกระหายของเขาบอกแบบนั้น
…นั่นคือก่อนที่เขาจะใช้มือข้างเดียวกันนั้นคว้าหมัดของทัตเอาไว้
เวรแล้ว!
ทัตสังหรณ์ไม่ดีทันที แต่ก็ทำได้แค่สบถ
เพราะไม่ทันไร ในจังหวะถัดมาเจสันก็จัดการจับข้อมือทัตแล้วเหวี่ยงออกไปกระแทกเข้ากับกระจกของห้างจนกระเด็นออกไปข้างนอก ตกลงไปจนถึงลานด้านหน้าตัวห้างสรรพสินค้าเลยทีเดียว เจสันเองก็กระโดดตามไปติด ๆ ไม่ได้ปล่อยให้พักหายใจ
เห็นอย่างนั้น มีหรือที่พิมจะทนดูอยู่เฉย ๆ ไหว…
“ทัต!!!”
“เดี๋ยวก่อน! เธอไปไม่ได้นะ”
พิมเห็นอย่างนั้นก็แทบจะลืมไปว่าตัวเองอยู่ชั้นสาม ถ้าไม่ได้มิ้นดึงแขนไว้ก่อนล่ะก็บางทีเธอคงกระโดดตามทัตลงไปแล้ว
…แต่นั่นเป็นแค่สาเหตุเดียวที่ทำให้พวกเธอชะงัก
“เป็นตัวเลือกที่ถูกต้องแล้วครับ”
“ “!!!?” ”
ในจังหวะถัดจากที่มิ้นเข้าไปห้ามพิมไม่นาน อยู่ ๆ ก็มีชายหนุ่มสวมแว่นปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของพวกเธอแล้วใช้มีดสั้นจี้พวกเธอไว้ทั้งสองคน
หากมีแค่คนเดียวคงไม่น่ากังวลเท่าไหร่สำหรับมิ้น… แต่ในความเป็นจริงคือยังมีชายหนุ่มและหญิงสาวอีกรวม 2 คนปรากฏตัวขึ้นแล้วเล็งมีดสั้นไปทางพวกพลจนพวกเขาเองก็ขยับไปไหนไม่ได้เหมือนกัน
หนอย… แย่แล้วแบบนี้
สกิลพรางกายเราเองก็เพิ่งใช้ไปหมาด ๆ… ต้องรออีกตั้ง 5 นาที กว่าจะใช้ได้อีกรอบ…
มิ้นกัดฟันกรอด… เพราะถึงแม้เธอจะมีแผนสำรองอยู่ก็เถอะ แต่ก็ไม่อาจจะทำให้มันเกิดขึ้นเพื่อพลิกสถานการณ์ได้ อย่างน้อย ๆ ก็สำหรับเวลานี้ที่ไม่อาจปลีกตัวออกไปจากตรงนี้ได้เลย
ในขณะเดียวกัน… ทางด้านของทัตที่ถูกเหวี่ยงออกมาจนกระแทกกับพื้นตรงลานกว้างหน้าห้างสรรพสินค้าซึ่งเต็มไปด้านร้านค้าแผงลอยที่ถูกทิ้งร้าง
แม้ในตอนที่ร่วงลงมาจะกระแทกแผงและร่มของร้านค้าไปเสียหลายร้าน แต่ดูเหมือนนั่นจะไม่มากพอที่จะทำให้ทัตบาดเจ็บได้ ที่เปื้อนหน้าจึงมีแค่ฝุ่นควัน
อย่างไรก็ดี ดูเหมือนโชคร้ายของทัตจะเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
“!!!!?”
เพราะในจังหวะถัดจากนั้น เจสันก็กระโดดตามเข้ามาหาหวังจะกระทืบทัตให้จมดิน
แต่แน่นอนว่าทัตไม่ปล่อยให้เป็นอย่างนั้น… เขาตีลังกากระโดดหลบออกไปก่อนที่เท้าของเจสันจะกระทืบใส่ตรงจุดที่ทัตเคยอยู่จนพื้นแตก พอได้เห็นว่าจุดที่ตัวเองเคยนอนอยู่กลายเป็นหลุมลึกแล้วยิ่งทำให้ทัตรู้สึกขนลุกเข้าไปใหญ่
เจสันค่อย ๆ ยันร่างขึ้นมายืนอย่างสบายใจ… ท่าทางของเขาไม่รู้สึกกังวลกับสถานการณ์เลยสักนิด
นั่นเป็นตอนที่ทัตเพิ่งสังเกตว่าพิมกับมิ้น รวมถึงคนอื่น ๆ ถูกจับเป็นตัวประกันอยู่บนห้างพอดี ทัตเห็นได้ชัดเพราะพวกเขาถูกชายหนุ่มสวมแว่นที่เป็นคนจี้บังคับให้มายืนอยู่ตรงขอบเพื่อให้ทัตมองเห็น
นอกเหนือจากนั้น ทัตก็เริ่มสังเกตเห็นว่ามีกลุ่มคนจำนวนมากมายหลายสิบคนคละทั้งเพศและวัยล้อมกรอบอยู่บริเวณลานกว้างแห่งนี้
ทัตไม่เห็นท่าทีหวาดกลัวหรือสับสนในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจากคนพวกนี้เลย แต่นั่นก็ทำให้ทัตรู้สึกหวาดกลัวกับสถานการณ์ในตอนนี้ขึ้นมาแทน
เพราะหากพิจารณาอย่างเป็นกลาง… ดูยังไงตอนนี้เขาก็ถูกกลุ่มปลอกแขนแดงนี้ล้อมเอาไว้หมดแล้ว แถมยังเสียเปรียบด้วยจำนวนที่มากกว่านับสิบเท่าได้
และที่สำคัญที่สุด คือเรื่องที่พิมและคนอื่น ๆ ถูกจับเป็นตัวประกันนี่แหล่ะที่ทำให้เขารู้สึกอยู่ไม่สุข
แต่ว่า…
“เฮ้ยพวกแก! อย่าทำอะไรนอกเหนือฉันสั่งล่ะ!”
ในจังหวะที่ความกังวล สับสนและหวาดกลัวของทัตมาถึงขีดสุด ทัตก็ได้ยินเจสันตะโกนอย่างนั้นออกมาจนดังลั่น หมายให้สมาชิกทุกคนของกลุ่มเจสันได้ยินกันถ้วนหน้า รวมถึงพวกคนที่อยู่บนชั้นสามอย่างพวกที่กำลังจี้พวกพิมอยู่ให้ได้ยินด้วย
“ขอให้ฉันได้สนุกหน่อยเถอะ” พอตะโกนเสร็จเขาก็หันมาพูดกับทัตอย่างนั้นต่อ… รอยยิ้มกระหายการต่อสู้ไม่เคยจางลงไปจากใบหน้าของเขาเลย
แต่ถ้าคิดตามหลักเหตุผล… สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ก็มีเรื่องแปลก ๆ ที่ไม่เข้ารอยอยู่
“อยากจะสู้กับฉันเหรอ… ที่ข่มขู่กันถึงขนาดนี้ไม่ได้ตั้งใจจะบังคับให้เข้าร่วมกลุ่มรึไง? ”
นั่นแหล่ะคือสิ่งที่ทัตไม่เข้าใจ… เพราะถ้าหากเจสันตั้งใจจะใช้กำลังคนรวมถึงการจับตัวพวกพิมเป็นตัวประกันเพื่อกดดันให้ทัตยอมเป็นพวกคือเป้าหมายหลัก นี่ก็มากพอแล้วที่จะทำให้ทัตยอมเป็นพวกด้วย มันไม่มีเหตุผลเลยที่เขายังต้องสู้กับทัตอีก
เขาถึงได้ถามออกไปเพราะไม่เข้าใจจุดประสงค์จริง ๆ ของเจสัน ทว่า…
“เฮอะ! ไอ้เรื่องอย่างนั้นน่ะเดี๋ยวค่อยทำทีหลังก็ได้” เจสันที่ได้ยินอย่างนั้นกลับหัวเราะออกจมูกด้วยความดูแคลนต่อความคิดของทัต กระทั่งเดินเข้ามาอยู่เบื้องหน้าของทัตในระยะที่สามารถจ้องทัตได้อีกครั้ง
“ฉันน่ะ… แค่อยากเอาชนะคนเก่ง ๆ แบบแกเท่านั้นแหล่ะ”
ก่อนจะพูดอย่างนั้นอัดหน้าทัต… ด้วยสิ่งที่ไร้เหตุผลเกินกว่าจะรับได้
ทว่านั่นก็ทำให้ทัตเข้าใจธรรมชาติของชายคนนี้ ว่าเขาไม่ได้แตกต่างอะไรจากสัตว์ป่าคลุ้มคลั่งที่เคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณมากกว่าเหตุผล
ให้ตายสิ… ตัวโตเป็นควายซะเปล่านะไอ้หมอนี่
แต่ว่า… ถ้าเป็นอย่างนี้ก็มีแค่วิธีเดียวที่จะกู้สถานการณ์กลับมาได้
แต่ถึงเป็นอย่างนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีวิธีรับมือ
ทัตรู้ดังนั้นจึงยืนประจันและเงยหน้ามองเจสันด้วยแววตาคมกริบราวพญาเหยี่ยว ไม่เกรงกลัวแม้อีกฝ่ายจะร่างสูงใหญ่กว่า เพราะทัตในตอนนี้ตระหนักแล้วว่าวิธีการรับมือสัตว์ป่ามันมีแค่วิธีเดียว
…นั่นคือการสอนให้มันรู้จักความกลัว และให้มันรู้ ว่าใครกันแน่ที่แข็งแกร่งกว่า
“ฮะฮะฮ่า! ต้องแบบนั้นสิวะ!”
เจสันยิ้มร่าหัวเราะออกมาอย่างพึงพอใจหลังเห็นว่านอกจากจะไม่กลัวแล้ว ทัตยังยกมือขึ้นตั้งการ์ดเป็นท่าพร้อมสู้อีก แต่ถึงทัตจะแสดงท่าทีอย่างนั้นออกมาก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่กังวลเลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง… หลังจากที่ทัตได้เห็นสเตตัสของชายที่ชื่อเจสันคนนี้
เลเวล 90… แถมยังเป็นสาย Fighter แบบเดียวกับเรา แถมเป็นอาชีพเดี่ยว ๆ แบบใช้แต้มเลเวลทั้งหมดอัพลงไปกับอาชีพเดียวอีกด้วย
รวมฉายาจำนวนมากที่เจ้าหมอนี่มี ทำให้สเตตัสของมันทั้งความสามารถทางกายและความเชี่ยวชาญคลาสอยู่ในระดับที่มากกว่า 150 แต้มเลย นี่ยังไม่นับเลเวลสกิลของมันที่ทุกสกิลอยู่ในเลเวล 9 อีก…
ต่อให้เทียบกันแค่สเตตัสพื้นฐาน… สิ่งที่เราพอจะสูสีก็มีแค่ความสามารถทางกายที่มีอยู่ 143 แต้มเท่านั้น
ส่วนเรื่องความเชี่ยวชาญคลาสกับเลเวลสกิล เจ้าหมอนี่เหนือกว่าเราหลายขุม…
อย่างอื่นที่พอจะทำให้ได้เปรียบก็คือสกิลที่มีความหลากหลาย
…และความเสียหายจากเวทมนตร์ที่สร้างได้จากอาชีพผสานซึ่งมีมากกว่าการโจมตีปกติ
ทัตคิดได้ดังนั้นก็ถีบพื้นกระโดดออกมาเพื่อทิ้งระยะก่อนในจังหวะที่การต่อสู้กำลังจะเริ่มขึ้น
มีเสียงผิวปากโห่ร้องสนุกสนานดังขึ้นทั่วทุกสารทิศรอบ ๆ อันมาจากเหล่าสมาชิกของพวกปลอกแขนแดงที่ล้อมลานกว้างแห่งนี้อยู่ บรรยากาศราวกับที่แห่งนี้กลายเป็นสนามประลองเถื่อนไปแล้วยังไงอย่างงั้น
มีมอนสเตอร์ปรากฏตัวขึ้นมาบางก็จริง แต่พวกลูกน้องของเจสันที่อยู่รอบนอกของลานกว้างก็จัดการพวกมันไปหมด เดิมทีที่เจสันให้พวกสมาชิกมาล้อมที่นี่เอาไว้น่าจะเป็นเพราะต้องการสู้ตัวต่อตัวกับทัตโดยที่ไม่มีตัวอะไรเข้ามาขวางให้เสียอรรถรสนี่แหล่ะ
ในขณะที่พิม มิ้น พล กล้า หนุ่มและแพรที่อยู่ด้านบนเองก็รู้สึกลุ้นระทึกและได้แต่หวาดกลัวไปกับสถานการณ์ที่ไม่รู้ที่มาที่ไป
ทัต… ขอร้องล่ะ อย่าเป็นอะไรเลยนะ
ทว่าสำหรับพิม… เธอก็ได้แต่หวังว่าทัตจะไม่โดนเจสันทำอะไรเท่านั้น… นั่นมากเกินพอสำหรับเธอแล้ว เธอคิดเสียด้วยซ้ำว่าอยากให้ทัตอาศัยจังหวะนี้หนีไปคนเดียวก็ได้หากมันจำเป็น เพราะกลัวว่าทัตอาจจะเอาชนะอีกฝ่ายที่มีเลเวลสูงกว่าขนาดนี้ไม่ไหว
แต่แน่นอนว่าสำหรับทัต เขาทำแบบนั้นไม่ได้แน่ ๆ และกลับกัน…
สถานการณ์ในตอนนี้ ถ้าอยากจะทำให้ทุกคนรอด ก็มีอยู่ทางเดียวคือต้องเอาชนะเจ้าหมอนี่ให้ได้
ถ้าทำอย่างนั้นจะทำให้ลูกน้องของไอ้เจสันมันขวัญเสียและกลัวเราไปด้วย และคิดว่าคงไม่กล้ามายุ่มย่ามกับเราอีกแน่
เพราะงั้น… ต้องชนะ!
การตัดสินใจของทัตไม่มีบิดพลิ้วไปจากสิ่งที่คิดไว้แต่หนแรก แถมในสถานการณ์นี้เขาก็ไม่มีตัวเลือกอื่นอยู่แล้วนอกจากต้องสู้
เปลวเพลิงก่อขึ้นบนหมัดทั้งสองข้างของทัต ร้อนแรงแผดเผาบรรยากาศไปทั่วราวกับใช้ใจสู้ของทัตเป็นเชื้อ เห็นอย่างนั้นเจสันยิ่งฉีกยิ้มเข้าไปใหญ่
ทัตตามด้วยการใช้เวทยิงธาตุสายฟ้าประจุที่เท้าทั้งสองไปด้วย มันเพิ่มความเร็วให้ตัวทัตดุจสายฟ้าฟาดก่อนเข้าประชิดตัวเจสัน
ตู้ม!!!
ก่อนจะใช้หมัดขวาง้างสุดแรงแล้วอัดใส่ปลายคางของเจสันหวังปิดเกมเร็ว แรงกระแทกด้วยพลังโจมตีอันรุนแรงส่งไปรอบทิศจนทุกคนในที่แห่งนี้ได้ยินกันหมด คางของเจสันถึงกับมีควันลอยออกมาเหมือนถูกเผาไหม้
แต่ว่า…
“เอาเรื่องนี่หว่า… เกือบมองไม่ทันเลยว่ะ”
“!!!?”
ทางด้านของเจสันกลับไม่ได้รู้สึกเจ็บเลยสักนิด เขายกมือขึ้นลูบคางประหนึ่งเกาจุดคันที่แมลงวันตอม
หนนี้ถึงทีของมันบ้างที่ง้างหมัดขวาไปด้านหลังสุดแรงด้วยรอยยิ้มแห่งความคาดหวังและหิวกระหาย พริบตานั้นทัตก็รู้เลยว่าหมัดนั่นจะทำให้เขาน็อคได้ และข่าวร้ายก็คือด้วยระยะประชิดอย่างนี้ หมัดของมันเร็วเกินกว่าที่ทัตจะหลบได้ทัน
ทัตจึงรีบใช้เวทเกราะสร้างกำแพงดินขึ้นที่ท้องของเขาเพื่อป้องกันหมัดของเจสัน
ตู้ม!!!
“อั๊ก!!!”
ทว่าหมัดของเจสันกลับทำลายกำแพงดินนั่นได้อย่างง่ายดายแถมยังอัดเข้าใส่ท้องของทัตจนจุกและส่งเขากระเด็นออกไปกระแทกเข้ากับร้านค้าแผงลอยอีกร้าน
กำแพงดินสามารถลดทอนความรุนแรงของหมัดเจสันได้ก็จริงอยู่ แต่มันก็ไม่มากพอที่จะหยุดหมัดของเจสันได้อยู่ดี
เวรเอ้ย… หมัดจากสกิลเลเวล 9 โคตรแรงเลยพับผ่าสิ
ทัตสบตในใจในขณะที่ถุยเลือดที่กระอักออกมาจากปากทิ้งอย่างไม่สบอารมณ์
และถึงอีกฝ่ายจะหมัดหนักขนาดไหนแต่ก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้ทัตจอดได้ในหมัดเดียว อาจเป็นเพราะสเตตัสความสามารถทางกายที่สูงมากของทัตด้วยส่วนหนึ่ง
“ไอ้หมอนั่นไม่ร่วงในหมัดเดียวด้วยล่ะ”
“สมแล้วที่เอาพวกไอ้วินมันลง”
“ต้องแบบนี้สิค่อยน่าสนุก”
แต่ก็ด้วยความที่สเตตัสของทัตสูงจนผิดปกติสำหรับคนเลเวลเดียวกันนั่นแหล่ะ ทุกคนถึงได้สงสัยและแคลงใจกัน โดยเฉพาะพวกลูกน้องของเจสันที่อยู่รอบ ๆ เพราะหากจะมีใครรู้จักความแข็งแกร่งของเจสันพอ ๆ กับเจ้าตัว ก็คงเป็นพวกลูกน้องพวกนี้นี่แหล่ะ
อย่างไรก็ดี… เพราะพวกลูกน้องพูดแบบนั้น เลยทำให้ทัตรู้ว่านิสัยของกลุ่มนี้แทบไม่ต่างกันเลย อย่างน้อย ๆ ก็เรื่องที่กระหายในการต่อสู้
กับอีกเรื่องหนึ่งที่ทัตตระหนักจากการโจมตีเมื่อครู่ คือความรุนแรงจากหมัดของเจสันเพียงหมัดเดียวที่อาจทำให้ทัตสลบเหมือดได้เลยหากไม่ทอนลงด้วยเวทมนตร์ นั่นกระตุ้นให้ทัตระวังมากกว่าเดิม
“ว่าไง? คงไม่ได้มีน้ำยาแค่นี้ใช่ไหม?” เจสันเอ่ยถามในขณะที่เดินเข้ามาใกล้ทัต เขาหักนิ้วดังกรอบแกรบเสมือนเมื่อครู่เป็นแค่การวอร์มอัพ
“เออ… แหงอยู่แล้ว” นั่นทำให้ทัตหงุดหงิดไม่เบา แม้จะไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นก็ตาม
ทัตถึงค่อย ๆ ยืนขึ้นเพื่อตั้งสติ และพยายามเรียบเรียงข้อได้เปรียบของตนอีกครั้งเพื่อใช้ต่อกรกับศัตรูที่มีแค่หมัดลุ่น ๆ
คิดได้ดังนั้น ทัตก็สร้างเวทยิงธาตุไฟและสายฟ้าขึ้นอย่างละสองอันขึ้นด้านหลังแต่ไม่ได้ยิงออกไป ด้วยสกิลดัดแปลงเวททำให้พวกมันไม่หายไปเมื่อทัตเคลื่อนที่
“โอ้…”
เจสันเห็นภาพอย่างนั้นแล้วก็ยิ้มออกมาอีก เมื่อเห็นแล้วว่าทัตยังเหลือไพ่ในมืออีกและยังไม่ถอดใจ
แต่ทัตไม่ได้ให้ความสนใจในเรื่องนั้น… เขาใช้เวทสายฟ้าอาบเท้าทั้งสองข้างเป็นแรงส่งเข้าหาเจสันในระยะประชิดอีกครั้ง ก่อนจะยิงเวทธาตุไฟและสายฟ้าทั้งหมดที่ร่ายไว้ก่อนหน้านี้ใส่เจสันในระยะประชิดเพราะทัตเห็นแล้วว่าถ้ายิงด้วยระยะอื่นเจสันคงหลบพ้น
“ฮึ่ย…” เจสันเห็นดังนั้นก็รีบยกมือขึ้นมาป้องกันแทนที่จะหนี เพราะรู้ว่าระยะนี้หลบไม่พ้นสมดั่งสมมติฐานของทัต
และเท่านั้นยังไม่พอ…
“เอาไปกินซะ!!!!”
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ทัตกระหน่ำยิงเวทไฟและสายฟ้าที่สร้างขึ้น ด้วยผลของมันทำให้เกิดการเผาไหม้ที่รุนแรงบริเวณจุดกระทบ เท่านั้นไม่พอ สายฟ้ายังทำให้เจสันชะงักไปแม้จะชั่วพริบตาเดียวก็ตาม เพราะแบบนั้นทัตเลยมีเวลาอาบหมัดด้วยธาตุไฟแล้วอัดใส่เจสันที่ยังยกมือขึ้นไขว้ป้องกัน
พอออกหมัดไปทีหนึ่งก็ใช้อีกหมัดหนึ่งอัดเข้าไป ในขณะที่อีกหมัดหนึ่งก็ร่ายเวทยิงธาตุไฟซ้ำแล้วอัดใส่อย่างนั้นไปเรื่อย ๆ พร้อมกับที่ร่ายเวทยิงในระยะประชิดเป็นธาตุสายฟ้าสี่อันยิงใส่เจสันเรื่อย ๆ เพื่อรักษาจังหวะในการโจมตีให้มันชะงักและหนีไปไหนไม่ได้
เสียงจากหมัดและเวทยิงของทัตทั้งต่อเนื่องและดังสนั่น ประหนึ่งประทัดที่จุดในเทศกาลยังไงอย่างงั้นเลย
หนอย… ไอ้เด็กเวรนี่!!!
การโจมตีของทัตในหนเดียวอาจไม่รุนแรงมาก แต่หากมีความต่อเนื่องเข้ามาเสริมมันก็เป็นอีกเรื่อง เจสันตระหนักถึงเรื่องนั้นในทันทีที่รู้สึกว่าผิวบริเวณที่รับหมัดผสานเวทของทัตเริ่มเจ็บและแสบ
“ก็เอาสิวะ!!!!” จนกระทั่งมาถึงจุดที่เริ่มจะทนไม่ไหว ทั้งเพราะจากบาดแผล แรงกดดันและความรู้สึกเป็นรอง
เจสันถึงได้ตะโกนออกมาดังลั่นอย่างหงุดหงิด ก่อนที่จะสะบัดมือทั้งสองออกอย่างแรงจนเกิดกระแสลมทำให้การโจมตีของทัตต้องหยุดชะงักไป สิ่งนั้นเกิดขึ้นจากกำลังกายของเขาล้วน ๆ ไม่ใช่เวทมนตร์แต่อย่างใด
ซู่ม!!!
“!!!?”
และนั่นก็เป็นพริบตาเดียวกับที่มีออร่าสีทองอร่ามปรากฏขึ้นแล้วพวยพุ่งออกมาจากทั่วทั้งร่างของเจสัน นั่นทำให้ทัตเลิกคิ้วในจังหวะแรกด้วยความแปลกใจเพราะไม่เคยเห็นสภาวะแบบนั้นมาก่อน
แต่พอเข้าใจได้คิ้วของทัตก็ขมวดเข้าด้วยกันแทนเพราะเข้าใจในสถานการณ์
“โห… ถึงกับทำให้คุณเจสันต้องใช้ ‘เสริมพลังกาย’ เชียวเหรอครับเนี่ย… เด็กคนนั้นดูท่าจะแกร่งสมกับที่ได้ยินมาจริง ๆ ด้วยแฮะ”
ในขณะที่ชายหนุ่มสวมแว่นที่ใช้มีดขู่พิมกับมิ้นเป็นตัวประกันอยู่นั้น พอได้เห็นว่าเจสันใช้ท่านั้นเขาก็ฉีกยิ้มออกมาด้วยความชื่นชมต่อทัต
ทางด้านพิมได้ยินอย่างนั้นก็ทำได้แค่ขมวดคิ้วมองลงไปอย่างกังวล… เธอกับทัตเองก็ยังไม่เคยใช้สกิลนี้มาก่อนเพราะสามารถโค่นมอนสเตอร์ทั้งหมดได้โดยไม่อยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก ครั้นจะให้ลองใช้ดูสักครั้งก็กลัวว่าเวลาคับขันจะมาถึงในตอนที่คูลดาวน์ของสกิลยังอยู่
นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ทั้งสองคนไม่เคยได้ลองใช้สกิลที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของสเตตัสพื้นฐานนี้เลยสักครั้ง
“แต่ว่าแบบนี้ก็แย่หน่อยนะครับ… ดูท่าเด็กหนุ่มคนนั้นคงไม่รอดแล้วล่ะ”
“…ที่พูดนั่นหมายความว่ายังไงน่ะ” คำพูดของชายหนุ่มสวมแว่นข้องใจพิมน่าดูเพราะเกี่ยวกับความปลอดภัยของทัตโดยตรง เธอถึงได้ขมวดคิ้วถามโดยที่ไม่ได้กลัวมีดที่จ่ออยู่เลย
แต่คนที่ตอบคำถามนั้นกลับไม่ใช่ชายหนุ่มสวมแว่น…
“ผลต่างของสเตตัสน่ะ… เพราะเจ้าคนชื่อเจสันนั่นมีเลเวลสกิลและสเตตัสพื้นฐานทั้งหมดสูงกว่า พอใช้สกิลเสริมพลังกายที่มีเลเวลสูงกว่าเข้าไปอีก อัตราการเพิ่มขึ้นของสเตตัสเลยยิ่งเพิ่มความห่างชั้นเข้าไปใหญ่ ดังนั้น ต่อให้ทัตใช้เสริมพลังกายเหมือนกัน แต่สเตตัสทั้งหมดก็เทียบกับเจสันไม่ติดอยู่ดี”
พิมได้ยินแบบนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น… ก็จริงที่เรื่องดังกล่าวไม่เกินความสามารถของพิมที่จะคิดเอง แต่นี่มันเป็นเพราะเธอไม่รู้ความห่างของสเตตัสระหว่างเจสันกับทัต เธอเลยไม่รู้ผลต่างที่แท้จริง
แต่นั่นก็แค่ตอนแรกที่ได้ยินเท่านั้น… เพราะแม้จะเป็นความจริงที่ทัตเลเวลน้อยกว่าทำให้เสียเปรียบอะไรหลายอย่าง แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ทัตมี ซึ่งนั่นก็คือความหลากหลายของสกิล
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับทัตในตอนนี้… เขาเองก็ถือครองไพ่ตายที่สามารถเอาชนะเจสันได้ต่อให้เลเวลน้อยกว่าอยู่ นั่นคือสิ่งที่พิมรู้ รวมถึงมิ้นด้วย
ขอร้องล่ะ… ช่วยรู้ตัวทีเถอะ
มิ้นจึงภาวนาอย่างนั้นในใจ หวังให้ทัตมีไหวพริบพอจะสังเกตเห็นวิธีการดังกล่าว เพราะสำหรับตอนนี้มันไม่มีวิธีอื่นอีกแล้วที่จะพลิกสถานการณ์
ทั้งที่ในทางกลับกัน พิมกับฉีกยิ้มออกมาเล็ก ๆ เพราะเห็นแววชนะแม้ทัตจะยังไม่สังเกตเรื่องนั้นก็ตามที
นั่นเพราะเธอเชื่อสุดใจ ว่าทัตต้องสามารถเข้าใจวิธีการดึงศักยภาพของตัวเองในตอนนี้ออกมาให้ถึงขีดสุดได้แน่นอน
ตู้ม!!!
ในขณะที่พิม มิ้นรวมถึงคนอื่น ๆ เฝ้ามองทัตอย่างมีความหวังจากข้างบน แต่สถานการณ์ของทัตนั้นไม่ได้น่าไว้วางใจเอาซะเลยจากการที่อีกฝ่ายมีพลังพื้นฐานสูงขึ้นเกือบสองเท่าตัว ทำให้ทัตทำได้แค่ถีบพื้นทิ้งระยะหลบการโจมตี แต่นั่นก็ทำได้แค่ถ่วงเวลาเท่านั้น
“เป็นอะไรไปเล่า! ไม่เข้ามาโจมตีแล้วรึไง!!!”
เจสันตะโกนด้วยรอยยิ้มอย่างพึงพอใจอีกครั้งในขณะที่ถีบพื้นกระโดดขึ้นสูงเข้ามาหาทัตแล้วต่อยใส่เขา แต่เพราะทัตหลบออกไปก่อนหมัดของเจสันเลยไปกระแทกลงที่พื้นแทน
แล้วเจสันก็อาศัยจังหวะเดียวกันนั้นถีบพื้นพุ่งเข้าหาทัตอีกครั้งก่อนจะรัวหมัดใส่ทัตราวกับต้องการเอาคืนเรื่องก่อนหน้านี้
เวรเอ้ย!
ทัตพยายามยกมือปัดป้องการโจมตีออกไป ส่วนที่ป้องกันได้ไม่หมดก็ใช้เวทเกราะสร้างกำแพงดินขึ้นเพื่อเบี่ยงการโจมตีออกไปแทน แต่ก็ไม่มากพอทัตจึงลองใช้เวทยิงสายฟ้าใส่
ต้องขอบคุณที่เลเวลสกิลทางด้านเวทมนตร์ของทัตทั้งหมดสูงกว่าเลเวล 7 แล้ว จึงทำให้ไม่ต้องใช้เวลาร่ายสำหรับเวทพื้นฐาน ด้วยเหตุนั้นในทันทีที่ทัตตั้งใจจะใช้เวทสายฟ้า มันจึงปรากฏขึ้นเบื้องหน้าแล้วฟาดเข้าใส่เจสันเป็นกระแสไฟฟ้าชอร์ตในระยะประชิดทันที
แต่ว่า…
“ไม่ได้ผลหรอก! ความสามารถทางกายของฉันสูงกว่า 300 ไปแล้ว!”
ผลที่ทำให้ศัตรูชะงักเมื่อถูกโจมตีของสายฟ้าไม่มีผลเนื่องด้วยความต่างของสเตตัสทำให้ทัตขมวดคิ้วแน่น
เป็นเวลาเดียวกับที่เจสันคึกถึงขีดสุด… เขาเข้ามาประชิดทัตอีกครั้งแล้วจัดการออกหมัดตรงเข้าใส่กลางร่ายกายของทัตอีกครั้งเพราะมันเล็งง่ายสุด
เวรแล้ว! แบบนี้แย่แน่!
ทัตเห็นดังนั้นก็มั่นใจแน่ ๆ ว่าตัวเองหลบไม่พ้น เข้าจึงใช้ความสามารถจากสกิลผสานเวททั้งหมดในการสร้างกำแพงดินขึ้น 8 ชั้นเบื้องหน้าเพื่อรับการโจมตีด้วยหมัดฮุคตรงของเจสัน
“อึก!!!”
แต่หมัดของมันกลับพุ่งเข้ามาโดยไม่สนนกสนกา กระแทกทั้งกำแพงดินที่ทัตสร้างรวมถึงตัวทัตเองปลิวกระเด็นไปพร้อมกัน ด้วยทิศทางและแรงส่งทำให้ทัตปลิวกระเด็นเข้าไปในตัวห้าง ชนเข้ากับร้าน ผนังและเสาค้ำจำนวนมากทะลุทุกสิ่งอย่างจนทำให้ร่างกายบอบช้ำไปหมด
กระทั่งเขาไปหยุดลงที่กลางห้าง นอนแอ้งแม้งอยู่อย่างนั้นจวนเจียนจะลุกขึ้นไม่ไหวเต็มที
“ทัต!!!” พิมเองก็ไม่รู้ว่าทัตปลิวกระเด็นไปถึงไหน แต่เพียงแค่รู้ว่าทัตถูกอัดกระเด็นใจเธอก็หล่นไปอยู่ตาตุ่มแล้ว เธอถึงพยายามจะหลีกตัวออกไป
“โอ๊ะโอ๋… อย่าทำให้ฉันต้องตัดสินใจยากสิสาวน้อย”
แต่แน่นอนว่าชายหนุ่มสวมแว่นไม่ยอมให้พิมทำอย่างนั้น เขาใช้มือข้างเดียวแนบคมมีดเข้ากับคอของเธอโดยใช้แค่นิ้วชี้ขวางด้ามมีดเอาไว้ไม่ให้เฉือนไปถึงเนื้อคอของเธอ อาจเป็นเพราะเขาเห็นแล้วว่าพิมเป็นตัวประกันที่ส่งผลต่อทัตมากที่สุดเขาถึงได้ไม่ตัดสินใจฆ่าเธอในจังหวะที่พยายามหนี
ทางด้านพิมเอง พอถูกมีดจอค่อในระยะประชิดอย่างนั้นตัวก็แข็งทื่อไปเหมือนกัน แถมพอความตายเข้ามาจ่อในระยะประชิดมันก็ทำให้เธอตระหนักว่าตัวเองในตอนนี้ที่เลเวลยังน้อยอยู่ แม้จะอยากเข้าไปช่วยทัตก็เป็นได้แค่ตัวถ่วงเสียเปล่า ๆ
แต่ความเป็นห่วงของพิมเองก็สมเหตุสมผล… เพราะดูจากอาการของทัตในตอนนี้แล้วมันก็น่าเป็นห่วงจริงเพราะมันเกือบจะถึงขีดจำกัดที่สามารถทนไหวอยู่รอมร่อแล้ว
ทัตที่ลุกขึ้นมายืนได้จึงเรียกว่าฝืนตัวเองเต็มทนอยู่เหมือนกัน
บ้า… เอ้ย…
ขืนเป็นอย่างนี้ จะแพ้เมื่อไหร่ก็ขึ้นอยู่กับเวลาน่ะสิ…
มีวิธีไหนบ้างไหมนะที่จะ————
แล้วในตอนนั้น… ทัตก็นึกวิธีการบางอย่างออก…
…แถมยังเป็นวิธีการที่น่าสนใจมากเสียด้วย
❖❖❖❖❖
“เฮ้ย ๆ… เงียบไปสักพักแล้วนะ”
“ตายไปแล้วมั้งนั่นน่ะ”
ในขณะเดียวกัน… ทางฝั่งของลานกว้างที่เปลี่ยนเป็นลานประลองเถื่อนนั้นก็เกิดเสียงกระซิบนินทาด้วยความสงสัยเต็มไปหมด ซึ่งก็คงไม่แปลกอะไร เพราะทุกคนในที่นี้เดิมทีก็ไม่คิดว่าเจสันจะเป็นฝ่ายแพ้อยู่แล้ว
แต่สำหรับเจสันนั้นไม่สบอารมณ์เลยสักนิด เขาถึงทำหน้ามุ่ยกอดอกอย่างหงุดหงิดอยู่กลางลาน เพราะหากทัตตายไปแล้วจริง ๆ มันก็หมายความว่าเวลาสนุกของเขาได้หมดลงแล้วตามไปด้วย
“!!!?”
จนกระทั่งได้ยินเสียงอย่างดังขั้นมาจากภายในตัวห้างซึ่งเป็นจุดที่ทัตโดนอัดกระเด็นเข้าไปในนั้น เสียงนั่นคล้ายกับสายลมกระจายไปรอบทิศ แต่ก็ได้ยินมาจนถึงจุดที่เจสันยืนอยู่
นั่นถึงทำให้เจสันฉีกยิ้มออกมา ด้วยความดีใจที่ความสนุกในศึกครั้งนี้ยังไม่จบลง
ทว่า… น่าเสียดายที่เจสันคิดผิด
เพราะการที่ทัตยังมีชีวิตอยู่แม้จะเป็นข่าวดีสำหรับเจสันในความคิดของเขา ทว่าในความเป็นจริงแล้ว นี่จะเป็นฝันร้ายของเขาต่างหาก
ตู้ม!!!
“อั๊ก!!!!?”
แค่พริบตาเดียวเท่านั้น จู่ ๆ ก็มีบางสิ่งพุ่งเข้ามากระแทกกับเจสันจนเขากระอัก ความรุนแรงนั่นราวกับกระสุนปืนใหญ่จากรถถัง ส่งผลให้เจสันที่ยืนติดพื้นมาตลอดปลิวกระเด็นออกไปไกลจนออกนอกลานกว้าง กระแทกและกระดอกถนนด้านหน้าห้างไป ถึงขั้นทะลุเข้าไปในตึกที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของถนนเลยทีเดียว
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ลูกน้องทุกคนไม่แม้แต่พวกพิมชะงักไปเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
กระทั่งพวกพิมเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ตรงจุดที่เจสันยืนอยู่คือทัต พวกเธอก็ฉีกยิ้มออกมาด้วยความดีใจและเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง
ซู่ม!!!
ตัวทัตในตอนนี้ถูกสายฟ้าอาบไปทั่วทั้งร่างราวทั้งตัวกลายเป็นประจุไฟฟ้าสีเหลือง เกิดเสียงเปรี๊ยะ! อยู่รอบ ๆ ตัวเขาตลอดเวลาจากการที่ใช้เวทเกราะธาตุสายฟ้าสร้างชุดคลุมทั้งตัว
เท่านั้นยังไม่พอ… รอบ ๆ ตัวเขายังมีออร่าสีเหลืองทองอร่ามอาบร่างแบบเดียวกับที่เจสันเผยให้เห็นก่อนหน้านี้อันเกิดจากการใช้สกิล ‘เสริมพลังกาย’
แต่ข้อแตกต่างของทัตกับเจสัน… คือทัตมีออร่าดังกล่าวสวมซ้อนทับกันอยู่ถึง 4 ชั้น อันเกิดจากการใช้สกิล ‘เสริมพลังกาย’ 2 ครั้งและสกิล ‘เสริมพลังเวท’ อีก 2 ครั้งซ้อนทับกัน ส่งผลให้ความสามารถทุกอย่างเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2 เท่า
…แต่ความสามารถทางกายนั้นเพิ่มสูงขึ้นอย่างน้อย 5 เท่าตัว
เยี่ยมเลย… ต้องให้ได้แบบนี้สิน่า!
พิมกับมิ้นแทบจะกำหมัดชูขึ้นฉลองชัยชนะหลังได้เห็นทัตในรูปลักษณ์ที่คาดหวัง
“บ้าน่า! เจ้าหมอนั่นไม่ใช่ ‘Mage Fighter’ ธรรมดาหรอกเหรอ!?”
ในขณะที่ทางด้านชายหนุ่มสวมแว่น พอเห็นทัตในสภาพนั้นแล้วก็ได้แต่เบิกตาโพลงด้วยความตกตะลึงเมื่อเพิ่งจะมาตระหนักเอาป่านนี้ว่าทัตอัพเลเวลให้กับทั้ง 3 อาชีพพร้อมกัน
เขาที่ประมาทมาตลอดเลยไม่ได้ตรวจสอบสเตตัสของทัตจึงเพิ่งมาทำเอาป่านนี้… แล้วผลลัพธ์ก็ทำให้เขายิ่งเบิกตาโพลงมากยิ่งขึ้นไปอีกกับความผิดปกติที่ได้เห็น
แต่ ‘ความลับ’ เบื้องหลังพลังที่ผิดปกตินั่น คงไม่อาจมีใครหยั่งรู้ได้นอกจากเจ้าตัวอย่างทัตและพิมที่เคยได้เห็นหน้าต่างข้อมูลของทัต
“เฮ้ย ๆ แบบนี้มันเป็นไปได้ยังไงกันวะเนี่ย!?”
“เจ้าเด็กนั่นอัดคุณเจสันซะปลิวเลยเหรอ!”
“เรื่องแบบนี้มันเป็นไปได้ด้วยเหรอ!?”
เช่นเดียวกับลูกน้องคนอื่น ๆ ของเจสันที่เริ่มแสดงท่าทีสับสนกันออกมาแล้ว นี่คือสิ่งยืนยันว่ากระแสของการต่อสู้ได้เปลี่ยนไปแล้ว
“พวกแก พูดห่าอะไรกันวะ!”
นั่นจึงทำให้เจสันที่ได้ยินหงุดหงิดเอามาก ๆ เขาถึงรีบชันตัวลุกขึ้นแล้วตะโกนอย่างนั้นเสียดังลั่นจนได้ยินมาถึงจุดที่ทัตยืนอยู่ ความโกรธของเขาที่แสดงออกผ่านสีหน้าชัดเจนจนไม่ว่าใครก็สัมผัสได้ว่าเขาโกรธกริ้วจัดขนาดไหน
“มึง… ตายแน่!!!” เจสันตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดก่อนจะกระโดดถีบพื้นพุ่งเข้ามาหาทัต ระยะเกือบ 100 เมตรถูกร่นเหลือศูนย์ในระยะเวลาเพียงแค่ 1 วินาที
อาจเพราะเจสันยังมีผลของสกิลเสริมพลังกายอยู่จึงทำให้เขาเคลื่อนไหวได้รวดเร็วกว่าปกติ
แต่ว่าสำหรับเรื่องนั้น… ทัตเองก็เหมือนกัน
“ช้า”
“หา!!!?”
กับเจสันที่ถีบพื้นพุ่งเข้ามาแล้วง้างหมัดหวังชกใส่ ปฏิกิริยาของทัตที่เหนือกว่ากลับกระโดดตีลังกาในระยะประชิดหลบได้สบาย ๆ
“อั๊ก!!!”
ก่อนจะพลิกตัวเตะเจสันกลางอากาศจนจมพื้นไปอีกที
ความเร็วของทัตสูงขึ้นจากการที่สเตตัสความสามารถทางกายพุ่งถึง 1,000 แต้ม บวกกับความเร็วจากเวทสายฟ้าเข้าไปอีก ตอนนี้เรียกได้ว่าความสามารถของทัตอยู่คนละมิติกับเจสัน ไม่สิ… อยู่คนละระดับกับทุกคนในที่นี้ไปแล้ว
“ตอนนี้นายตามฉันไม่ทันแล้ว” ทัตเอ่ยในขณะที่มองลงมายังเจสันที่ยังพยายามชันตัวลุกขึ้นยืน
ภายในเวลา 1 นาที 30 วินาทีที่ผลของสกิลยังอยู่… ฉันคือคนที่แข็งแกร่งที่สุด…
และจะใช้เวลาที่เหลืออยู่นี่แหล่ะโค่นนายให้ได้ เจสัน!
ทัตคิดอย่างนั้นในขณะที่มองจ้องเจสันด้วยแววตาคมกริบเพื่อพยายามข่มขู่ให้หมดใจสู้
…แต่สำหรับเจสัน นั่นคือการเหยียดหยาม
“แก!!!!”
เจสันตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดอีกครั้งก่อนจะกระโดดลุกขึ้นแล้วพลิกตัวเตะทัต แน่นอนว่าเขาพลิกตัวหลบทัตได้สบาย ๆ
ทัตอาศัยจังหวะเดียวกันนั้นสร้างเวทยิงด้วยธาตุไฟในมือแล้วอัดเข้าใส่กลางร่างของเจสัน ตอนนี้ทัตยั้งมือไว้นิด ๆ เพราะกลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายถึงตาย
ตู้ม!!!
“อ้ากกกกก!!!!”
ทว่าในพริบตาที่หมัดของทัต (ที่ออมมือแล้ว) กระแทกเข้ากับเจสัน นั่นกลับทำให้ผิวหนังของเขาถูกเผาไหม้ มันได้ผลแตกต่างจากก่อนหน้านี้ลิบลับ แถมนั่นยังไม่นับแรงกระแทกที่อัดเข้าใส่จนเจสันกระอักเลือดอีกต่างหาก
บริเวณที่ถูกอัดใส่เป็นแถว ๆ ลิ้นปี่… เจสันถึงจุกจนล้มลงคุกเข่ากับพื้น ตัวเขายังรู้สึกแสบร้อนอยู่เลย ดวงตาของเขาสั่นระรัวจนทัตเห็นได้ชัดเจน
พอคิดว่าท่าทีของเจสันในตอนนี้ช่างแตกต่างจากที่ได้เห็นในตอนแรกแล้ว ทัตก็รู้สึกสมเพชขึ้นมา
“ไง? พอเป็นฝ่ายถูกไล่ต้อนแล้วไม่เห็นรู้สึกสนุกเลยสินะ… นี่แหล่ะความรู้สึกของคนที่ถูกนายรังแกเหมือนของเล่นฆ่าเวลา”
ทัตถึงได้เอ่ยอย่างนั้น ตั้งใจดูแคลนเจสันเต็มที่
เพราะเจสันใช้สัญชาตญาณดิบเป็นตัวนำ เขาถึงตกอยู่ในสภาพที่เหมือนกับสัตว์เดรัจฉานแม้แต่ตอนที่กำลังจะพ่ายแพ้ นั่นแหล่ะคือสิ่งที่ทำให้ทัตรู้สึกเวทนาเขาที่กำลังล้มลุกคุกคลานอยู่บนพื้น
“หุบปาก! ไอ้เด็กเวรตะไล!!!”
…แต่ดูเหมือนคำพูดของทัตจะไปสะกิดแผลอะไรบางอย่างของเจสันเข้า เขาถึงได้ลุกขึ้นมาด้วยความโกรธอีกครั้ง
“แกคิดว่าฉันคนนี้ เป็นใครกันวะฮะ!!!!”
ก่อนจะง้างหมัดไปด้านหลังสุดแรงแล้วอัดเข้าใส่ทัตที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ โดยเล็งไปที่ใบหน้าของทัต
ตู้ม!!!
หมัดของเจสันกระแทกเข้ากับใบหน้าของทัตจัง ๆ เพราะเจสันสัมผัสเนื้อหนังได้แม้จะมีสายฟ้าครอบอยู่อีกชั้นก็ตาม เสียงกระทบจากการโจมตีนั้นดังสนั่นกว่าครั้งไหน ๆ เพราะนี่เป็นการโจมตีสุดแรงเกิดของเจสัน
เป็นการโจมตีที่รุนแรงที่สุดที่เจสันเคยใช้แค่ในตอนที่ปราบบอสมอนสเตอร์เท่านั้น และไม่เคยใช้มันกับมนุษย์ด้วยกันมาก่อนเพราะไม่มีใครรับหมัดธรรมดาของเขาได้ด้วยซ้ำ
เจสันถึงได้คิดว่านี่จะเป็นหมัดปิดฉาก และเพราะคิดแบบนั้น เขาถึงต้องผิดหวังกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
อะไรกัน… ไอ้เจ้าเด็กเวรนี่!
ไม่เป็นอะไรเลย… ได้ยังไงกัน!?
ในพริบตาถัดมา เจสันถึงได้เลิกคิ้วขึ้นและเบิกตาโพลง…
เมื่อได้เห็นว่าหมัดของตนที่อัดใส่หน้าของทัตเต็ม ๆ ไม่ทำให้ทัตชะงักไปด้วยซ้ำ แถมยังไม่ได้รับความเสียหายใด ๆ เขารู้สึกเหมือนเพิ่งเอามือเปล่าต่อยกำแพงเหล็กหนายังไงอย่างงั้น
ซึ่งที่มันไม่ได้ผลก็คงไม่แปลกอะไร… เพราะตัวทัตในตอนนี้นั้นมีสเตตัสความสามารถทางกายสูงถึงหนึ่งพันแต้ม แถมยังไม่นับพลังป้องกันจากเวทเกราะที่เพิ่มขึ้นจากปกติ 2 เท่าเพราะสกิลเสริมพลังเวท ซึ่งตัวเลขที่นำมาคำนวณคือความสามารถทางกายพื้นฐาน ทำให้ตัวเวทเกราะสายฟ้าที่คลุมร่างทัตอยู่มีพลังป้องกันเท่ากับคนที่มีความสามารถทางกาย 500 แต้ม
ตัวทัตในตอนนี้เลยเหมือนมีเกราะหุ้มสองชั้นก่อนจะสร้างความเสียหายได้ ซึ่งบางทีหมัดของเจสันอาจทำลายเวทเกราะในชั้นแรกไม่ได้ด้วยซ้ำ จึงแทบไม่ต้องพูดถึงการสร้างความเสียหายให้ร่างกายของทัตที่มีพลังป้องกันสูงกว่าตัวเกราะถึงสองเท่าเลย
มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่หมัดของเจสันจะไม่ได้ผลกับทัตในตอนนี้
ในตอนที่ถอนหมัดออกมาแล้วเห็นสีหน้าแววตาคมกริบจริงจังของทัต จึงกลายเป็นเจสันเองที่ต้องชักเท้าหนีด้วยความหวาดกลัวเป็นครั้งแรกในชีวิต
ทัตที่เห็นอย่างนั้นจึงเผยยิ้มออกมา ทั้งด้วยความโล่งอก ดีใจและหยิ่งผยอง เพราะมันหมายความว่าลึก ๆ แล้วเจสันเริ่มกลัวเขาและยอมแพ้การต่อสู้ครั้งนี้ไปแล้ว
งั้นก็… ปิดฉากกันซะที
ทัตคิดได้ดังนั้นจึงง้างหมัดและคิดจะอัดเจสันให้สลบคาที่เพื่อให้การต่อสู้นี้มันจบลงสักที
ทว่า…
“พอเท่านั้นแหล่ะครับ!!!”
ในจังหวะที่หมัดของทัตง้างจนสุด และกำลังจะออกแรงอัดใส่เจสันที่อยู่ตรงหน้าอยู่แล้ว จู่ ๆ ชายหนุ่มสวมแว่นก็ตะโกนแบบนั้นขึ้นมาจากชั้นสาม
ตอนนี้ตัวประกันในมือของเขามีอยู่คนเดียว… คือพิมที่ถูกมันล็อคคอเอาไว้แล้วใช้มืออีกข้างจี้คอในระยะประชิดจนเกือบจะแทงเข้าไปในคอของเธออยู่แล้ว
เห็นอย่างนั้น ทัตเลยต้องยั้งหมัดที่กำลังจะอัดใส่เจสันไว้ก่อน
“…ไหนว่าจะไม่ให้ใครมายุ่งไม่ใช่เหรอ”
“…”
ทัตเอ่ยอย่างนั้นกับเจสัน พยายามทำให้ความภาคภูมิใจของเจสันสั่นคลอน เพื่อให้เจสันรู้ว่าตัวเองน่าสมเพชแค่ไหนที่พ่ายแพ้ไม่ได้อย่างเต็มภาคภูมิเพราะถูกคนนอกเข้ามาขัด
แต่เจสันไม่ได้พูดอะไรตอบกลับทัตเลย… ตัวเขานิ่งเงียบราวกับเป็นคนละคนกับก่อนหน้านี้ไม่มีผิด
“ปลดสกิลทั้งหมดออกซะ… ถ้าไม่ทำคงรู้นะครับว่าจะเป็นยังไง”
เป็นเวลาเดียวกับที่ชายหนุ่มสวมแว่นที่อยู่บนชั้นสามของห้างตะโกนบอก ไม่สิ… สั่งให้ทัตทำอย่างนั้น
ทว่า…
ไม่ต้องสนใจฉัน
สายตาของพิมมองลงมาหาทัตในจังหวะเดียวกัน… เธอกำลังขอร้องทัตให้เลิกสนใจเธอซะแล้วทำสิ่งที่ควรทำ ทัตเองก็สัมผัสได้เพราะในแววตาของพิมไม่มีความกลัวตายซ่อนอยู่เลย
แต่ว่า…
ใครจะไม่สนได้เล่า… ยัยบ้า
ซู่ม…
มันก็แน่อยู่แล้วว่าทัตจะเลือกอะไร… เขาถึงปลดเวทเกราะสายฟ้าที่สวมไว้ทั้งตัว รวมถึงสกิลเสริมพลังทั้ง 4 อันออกทำให้ออร่าสีทองทั้งสี่ชั้นอันตรธานหายไปจนหมดสิ้น
“อึก!!!”
“ทัต!!!”
แล้วในจังหวะที่ทัตปลดพลังทั้งหมดออกจนหมดไม่มีเหลือ เจสันก็เดินเข้ามาแล้วใช้หมัดลุ่น ๆ อัดใส่ท้องของทัตไปหนึ่งทีจนทำให้เขาล้มลง เสียงตะโกนด้วยความเป็นห่วงและรู้สึกผิดของพิมดังมาจากข้างบนตึก แต่สติของทัตเลือนรางเกินกว่าจะได้ยินเสียงนั้นชัด ๆ
ทั้งเพราะหมัดของเจสันเมื่อกี้ และเพราะจากสภาพร่างกายที่ฝืนมาตลอดตั้งแต่ก่อนหน้านี้
“อึก!”
ทัตถูกเจสันคว้าหัวแล้วเหวี่ยงออกไปให้หงายท้องกับพื้น ก่อนมันจะใช้เท้ากระทืบอกของทัตอย่างแรงอีกครั้ง
ทัตพยายามฝืนตัวเองไม่ให้หมดสติจากการโจมตีนั้นแต่คงจะยาก และถ้ายังเป็นอย่างนี้อยู่ทัตจะสลบไปเมื่อไหร่ก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้ว
“ชนะแบบนี้… แกภูมิใจรึไง! เจสัน!”
แม้จะอยู่ในสภาพนั้น ทัตก็ยังกัดฟันใช้แรงเฮือกสุดท้ายตะโกนใส่เจสันด้วยความโกรธเคืองเคียดแค้น ทางเจสันพอได้ยินอย่างนั้นก็ถึงกับคิ้วกระตุก ดูท่าว่าสิ่งที่ทัตพูดจะแทงใจดำของเขาอยู่พอสมควร
นั่นเพราะชายคนนี้ยึดมั่นในสิ่งที่เรียกว่าความแข็งแกร่ง และใช้มันเป็นบรรทัดฐานในการตัดสินถูกผิด… ลึก ๆ แล้วเขาจึงรู้อยู่ว่าตัวเองกำลังทำในสิ่งที่ขัดกับหลักการของตน
“หนวกหูว่ะ…”
ทว่าเจสันในตอนนี้ ได้ล้ำเส้นออกนอกขอบเขตที่ตัวเองขีดเอาไว้แล้ว เขาถึงได้ไม่รู้สึกผิดต่อสิ่งนั้น
ช่างน่าไม่อายอะไรอย่างนี้… ทัตกัดฟันได้แต่ก่นด่าเจสันอยู่ในใจ
ทว่าในขณะเดียวกัน มันก็เป็นอีกครั้งที่โลกใบนี้แสดงให้เห็นทัตเห็น ว่ามนุษย์เราสามารถสละได้ทุกสิ่งแม้แต่ส่วนหนึ่งของตัวเองเพียงเพื่อเอาตัวรอด
ต่อให้ตาย… ฉันก็จะไม่เป็นอย่างนั้นเด็ดขาด
ถึงอย่างนั้น… ความภาคภูมิใจของทัตก็ไม่อาจปล่อยให้ตัวเองเป็นอย่างนั้นได้ เขาปฏิญาณกับตัวเองว่าต่อให้อยู่ในสถานการณ์ไหนเขาก็จะไม่เสียความภาคภูมิใจหรือตัวตนของตัวเองเพื่อแลกกับการเอาตัวรอด เพราะการสูญเสียตัวตนไปแบบนั้นมันไม่ต่างจากการตายไปแล้ว
สายตาของทัตจึงไม่มีความสิ้นหวังสะท้อนออกมาเลยสักนิดแม้แต่ตอนที่ถูกเจสันเหยียบย่ำ
แต่สำหรับเจสันที่สบสายตานั้นเข้า กลับยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์เข้าไปใหญ่
ถึงอย่างนั้น เท้าของเขากลับไม่อาจกระทืบซ้ำทัตให้จมลงดินได้ เพราะเกรงกลัวบางสิ่งที่ทัตมีแต่เขาเพิ่งจะเสียมันไป
อย่างไรก็ดี… สถานการณ์ของพวกทัตในตอนนี้นับได้ว่าเลวร้ายถึงขีดสุด เพราะความหวังที่จะเอาตัวรอดถูกพรากไปโดยความพ่ายแพ้ของทัต
ซวยแล้ว… แบบนี้ซวยของจริงเลย…
นี่ยังมาไม่ถึงกันอีกรึไงเนี่ย…
ในสถานการณ์ที่กำลังคับขันอย่างนี้… มิ้นกลับให้ความสนใจกับสิ่งอื่นอยู่
ตัวเธอที่ถูกหญิงสาวอีกคนใช้มีดขู่อยู่ด้านหลังได้แต่เฝ้ารอให้ ‘บางสิ่ง’ เกิดขึ้นมาตลอด เพราะเดิมทีเธอก็ไม่เคยคิดว่าการโค่นเจสันลงได้จะทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไปอยู่แล้ว
กล่าวคือมิ้นคาดหวังสิ่งอื่นนอกเหนือจากทัตมาตลอด เพื่อให้สถานการณ์อันตรายนี้คลี่คลายลงได้อย่างแท้จริงและแน่นอน
…และดูเหมือนวันนี้จะเป็นวันเฮงของเธอ
เพราะในจังหวะที่มิ้นคิดอย่างนั้น โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงของเธอก็สั่นขึ้นมาอย่างเป็นจังหวะ คล้ายกับมีสายเรียกเข้าแต่อยู่ในโหมดปิดเสียงเปิดสั่นในบัดดล
ให้ตายสิ… พวกเรานี่มันดวงดีชะมัด
มิ้นจึงฉีกยิ้มออกมาในทันทีที่รู้เรื่องนั้น
“ห้ามรับนะยะ”
“ไม่กล้ารับหรอกน่า”
หญิงสาวคนที่ใช้มีดจี้มิ้นอยู่เอ่ยย้ำ ซึ่งแน่นอนว่ามิ้นไม่ทำอะไรเสี่ยง ๆ อย่างนั้น โดยเฉพาะในตอนที่ชายหนุ่มสวมแว่นที่กำลังจี้คอพิมเหลียวกลับมามองเธอ
“หา!!!!?”
แต่พอชายหนุ่มสวมแว่นคนนั้นหันกลับไปมองเจสันกับทัตที่อยู่ข้างล่าง มิ้นก็อันตรธานหายไปจากสายตาของหญิงสาวที่คุมตัวอยู่ในทันที และไม่ได้เกิดจากสาเหตุอื่นใดนอกจากการใช้สกิลพรางกาย
โอกาสมีเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น จะให้สูญเปล่าไม่ได้ ไม่อย่างนั้นทุกคนตายหมดแน่…
มิ้นรู้ดังนั้นจึงต้องคิดเร็วทำเร็ว เธอรีบพุ่งเข้าไปเอากระเป๋าตัวเองก่อนสิ่งอื่นใด พูดให้ถูกคือรีบไปหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาต่างหาก
สิ่งนั้นมีลักษณะคล้ายปืนลูกโม่ เธอหยิบสิ่งนั้นแล้วรีบวิ่งไปจนถึงขอบกระจกที่แตกใกล้ ๆ ที่พิมยืนอยู่แล้วยิงมันขึ้นฟ้า นั่นทำให้ทุกคนรู้ ว่ามันคือปืนยิงพลุสีขาว
“เกิดอะไรขึ้น!?”
“ขอโทษด้วยค่ะ ยัยนั่นมันใช้สกิลพรางกาย”
ชายหนุ่มสวมแว่นตะโกนอย่างสับสนเช่นเดียวกับคนอื่น เมื่ออยู่ ๆ ก็มีพลุสีขาวถูกจุดแล้วยิงขึ้นข้าง ๆ เขา
“อย่าขยับนะครับ”
พอได้ยินหญิงสาวที่เคยคุมตัวมิ้นก่อนหน้านี้อธิบายเขาก็เข้าใจสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว จึงหันหน้าไปทางที่พลุถูกจุดซึ่งก็คือข้าง ๆ เขาเพื่อข่มขู่มิ้นที่กำลังพรางตัวอยู่
แต่แน่นอนว่าเธอไม่ฟัง ไม่สิ… เธอไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้วด้วยซ้ำ
“เรื่องสิยะ”
“!!!?”
ในจังหวะถัดมามิ้นก็ปรากฏตัวด้านหลังชายหนุ่มสวมแว่น จัดการใช้ถุงมือหนังที่เอามาสวมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้จับคมมีดจากด้านหลังเพื่อไม่ให้พลาดไปโดนพิม ก่อนจะเหวี่ยงชายหนุ่มสวมแว่นออกไปข้างนอกตึกให้ตกลงไปข้างล่างอย่างชำนาญราวกับเคยฝึกฝนมาก่อน นั่นเลยทำให้พิมเป็นอิสระ
“ดีล่ะ! จังหวะนี้แหล่ะ ไปช่วยทัตกันเถอะ” และแน่นอนว่าสิ่งแรกที่เธอคิดคือการพยายามจะกระโดดลงไปข้างล่างเพื่อไปช่วยทัต
แต่ก็เป็นมิ้นอีกนั่นแหล่ะที่ดึงแขนเธอเอาไว้อีกครั้ง
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก… เดี๋ยวกำลังเสริมจะมาแล้ว”
ก่อนที่มิ้นจะเอ่ยแบบนั้นตามมาด้วยรอยยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่วางใจมากทีเดียว
แต่พิมในตอนนั้นยังไม่อาจเข้าใจว่ามันหมายความว่ายังไง
ในขณะที่ทางด้านของลานกว้างนั้น…
ชายหนุ่มสวมแว่นที่ถูกมิ้นเหวี่ยงลงมานั้นพลิกตัวลงพื้นอย่างชำนาญ ส่วนสูงระดับแค่นี้ไม่เป็นอันตรายสำหรับคนที่มีเลเวลสูงอย่างเขาอยู่แล้ว
อย่างไรก็ดี… เขากลับรีบเข้าไปหาเจสันก่อน
“ขอโทษด้วยนะครับคุณเจสัน เจ้าพวกนั้นมัน————”
“ฉันบอกแกแล้วนี่ว่าไม่ต้องเข้ามายุ่ง”
แต่พอเข้าไปใกล้เขากลับได้ยินเสียงเย็นชาของเจสันกลับมาแทน ดูท่าตอนนี้เจสันจะกำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเองจนไม่ได้สนใจเลยว่าใครจะตกลงมาหรือมีพลุถูกจุดขึ้น
เสียงนั่นน่ากลัวกว่าทุกครั้งจนทำให้ชายหนุ่มสวมแว่นขวัญผวากลัวจนตัวสั่น ท่าทางของเจสันที่เป็นอย่างนั้นอยู่ในการรับรู้อันเลือนรางของทัตที่นอนอยู่บนพื้นและถูกเท้าของเจสันเหยียบอยู่เหมือนกัน
แต่ถึงเจสันจะมารู้สึกผิดเรื่องแทรกแซงการต่อสู้แบบตัวต่อตัว… มันก็ไม่ได้เปลี่ยนสถานการณ์ของทัตในตอนนี้อยู่ดี ทัตถึงได้ขมวดคิ้วแน่นพยายามครองสติที่เหลือน้อยเต็มทีเอาไว้ให้นานที่สุด เพราะถ้าเขาสลบไป ทุกอย่างจะต้องจบลงอย่างแน่นอน และนั่นอาจหมายถึงความตายของทุกคน
ตู้ม!!!!
กระทั่งมีอะไรบางอย่างตกลงมาจากไหนไม่รู้ที่กลางถนนด้านหน้าของลานกว้าง
ด้วยเสียงที่ดังสนั่นจึงทำให้สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่บริเวณที่คละคลุ้งด้วยฝุ่นโดยไม่อาจเลี่ยงได้ ไม่แม้แต่เจสันเองก็ตาม
ตู้ม!
ทว่าในพริบตาถัดมา บางอย่างนั่นก็พุ่งเข้ามาหาเจสันด้วยความเร็วราวกับจรวดพุ่งทะยานผ่านอากาศเสมือนไร้แรงต้าน เข้ามาจนประชิดกับเจสันในเวลาไม่ถึงวินาทีจนทำเอาเขาเบิกตาโพลงเป็นครั้งที่สองแล้วของวัน
แล้วยิ่งได้เห็นว่าอะไรเกิดขึ้นก็ยิ่งทำให้เจสัน ชายหนุ่มสวมแว่น เหล่าลูกน้องของเขา ไม่แม้แต่กับพวกพิม หรือทัตที่ถูกเจสันเหยียบอยู่กับพื้นตกตะลึงจนต้องเบิกตากว้าง
ที่กระโดดลงมาจากไหนไม่รู้แล้วพุ่งเข้ามาหาเจสัน ก่อนจะใช้หอกเหล็กยาวที่มีลวดลายนูนต่ำหันคมหอกเข้าแนบกับคอของเจสัน เป็นเด็กผู้หญิงร่างเล็กส่วนสูงเท่ากับเด็ก ม.ต้น ในชุดนักเรียนกระโปรงสั้นพริ้วไหวที่มีกางเกงซับในอยู่ในนั้นดูเคลื่อนไหวสะดวก
อาวุธที่ทำออกมาอย่างประณีตเหมือนหลุดมาจากตำนานยังไม่โดดเด่นเท่ากับผมบลอนด์สีธรรมชาติ บวกกับหน้าตาน่ารักบอบบางแล้ว ช่างผิดแปลกกับกิริยาที่กำลังใช้คมหอกจี้คอของชายร่างยักษ์อย่างไม่เกรงกลัวยิ่งนัก
“ช่วยเอาเท้าสกปรกออกไปจากพี่ชายของฉันด้วยค่ะ… แลกกับที่ฉันจะไม่ฟันหัวคุณหลุดจากบ่า”
เด็กสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกสมกับที่สีหน้าของเธอแสดง ทว่าน้ำเสียงนั้นไม่ได้เยือกเย็นอย่างสีหน้าเลยสักนิด เธอกำลังโกรธอย่างเห็นได้ชัดจากฟันที่เสียดสีกันและคิ้วที่ขมวดเข้าด้วยกันจนแน่น
แต่สำหรับพิม และแน่นอนว่าสำหรับทัต… เขากลับรู้สึกสงสัยมากกว่า
…ฝ้าย?
ทัตสงสัย… ว่าทำไมน้องสาวของตัวเองถึงได้มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ในสภาพนี้ได้
❖❖❖❖❖