แกร่งสุดด้วยอาชีพผสาน ในโลกที่มีมอนสเตอร์ออกมากินคนยามค่ำคืน - ตอนที่ 2 ใครจะรู้ว่ากลางคืนมีหนที่สอง
- Home
- แกร่งสุดด้วยอาชีพผสาน ในโลกที่มีมอนสเตอร์ออกมากินคนยามค่ำคืน
- ตอนที่ 2 ใครจะรู้ว่ากลางคืนมีหนที่สอง
เมื่อกี้นี่มันอะไรกัน? ไม่สิ… เมื่อกี้มีสิ่งที่เหมือนกับเสียงหรือข้อความถูกเขียนเข้ามาในหัวโดยตรงเลย?
แล้วเรื่องเลเวลอัพอีก นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ความสับสนเริ่มเข้าครอบงำทัต ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหลังจากที่ถูกเจ้าหมาป่าเล่นงานเอาจนบาดเจ็บและได้แผลฉกรรจ์ไปทั้งตัว ถ้ายังใจเย็นอยู่ได้ก็คงเกินคนเต็มที
อย่างไรก็ดี… เรื่องแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นยังไม่มากเท่าเรื่องอันตรายที่ทัตกลัวว่าจะเกิดกับคนสำคัญของเขา ด้วยเหตุนั้น ทันทีที่ได้สติและนึกขึ้นได้ว่าพิมที่กำลังซ่อนตัวอยู่ในร้านสะดวกซื้อน่าเป็นห่วงมากกว่าเรื่องประหลาดที่เพิ่งเกิดขึ้นกับเขาเมื่อกี้
เขาจึงเริ่มออกเดินอีกครั้ง ตอนนี้ร่างกายของเขาค่อนข้างระบมไปทั่ว มือซ้ายของเขาถูกเจ้าหมาป่าตัวเมื่อกี้กินไปเกินครึ่งเหลือแค่นิ้วโป้งเท่านั้น ส่วนร่างกายของเขาด้านหน้าทั้งหมดตั้งแต่ส่วนอกลงไปจนถึงต้นขามีแผลไหม้จนรู้สึกหวาดเสียว เพราะแบบนั้นเลยไม่สามารถวิ่งได้แม้จะอยากทำแบบนั้นแค่ไหนก็ตามที
ที่เขาทำได้ในตอนนี้ คือการใช้มือขวาช่วยพยุงพิงผนังของร้านสะดวกซื้อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะพ้นมุมเท่านั้น
ระหว่างทางเขาสังเกตเห็นอะไรหลายอย่างเริ่มเปลี่ยนไป… อย่างแรกคือจำนวนของมอนสเตอร์บนท้องถนนซึ่งตอนนี้ไม่มีอยู่แล้ว มีเหลือเพียงแค่ซากศพของมนุษย์ที่ถูกพวกมันกิน ทำลายหรือเข่นฆ่าเท่านั้นที่นอนกองอยู่บนพื้นถนนบ้าง ฟุตบาทบ้างอย่างน่าสังเวช
นั่นเลยทำให้ทัตได้ข้อสันนิษฐานมาข้อหนึ่ง คือการมีอยู่ของสัตว์ประหลาดพวกนี้มันปรากฏตัวขึ้นมาเพื่อฆ่ามนุษย์ทุกคน พอสำเร็จแล้วมันก็ย้ายที่และทำแบบนั้นต่อไปเรื่อย ๆ ไม่ได้คิดจะแย่งถิ่นฐานจากมนุษย์หรือล่าเพื่อหาอาหารแต่อย่างใด
และการที่ได้รู้แบบนั้น ยิ่งทำให้ทัตรู้สึกว่าสถานการณ์นี้มันอันตรายแค่ไหน เพราะวิธีการเอาตัวรอดถูกจำกัดเหลือแค่วิธีเดียว นั่นคือต้องฆ่าพวกมันก่อน
ในระหว่างที่คิดแบบนั้น เขาก็ใช้เวลาอีกหลายนาทีกว่าจะมาถึงด้านหน้าของประตูร้านสะดวกซื้อที่เดิมที่เขาหนีออกมา
แล้วพอมองลอดเข้าไป เขาก็พบว่าแถว ๆ หน้าเคาน์เตอร์มีหมาป่าตัวนึงกำลังก้มหน้าทำอะไรบางอย่างอยู่อย่างขะมักเขม้น ข่าวดีคือตัวของมันไม่มีเพลิงอาบอยู่ ดังนั้น มันน่าจะอ่อนแอและอันตรายน้อยกว่าตัวที่ทัตเพิ่งฆ่าไป
เพื่อความไม่ประมาท… ทัตพยายามมองหาสิ่งที่สามารถนำมาใช้เป็นอาวุธได้ แล้วก็ไปสบกับแท่งเหล็กที่อยู่บนพื้น มันน่าจะมาจากโครงสร้างของตึกหรือไม่ก็ถนนที่พังเละเป็นชิ้น ขนาดของมันเลยสั้นไปหน่อย แต่ก็ยังดีกว่าใช้มือเปล่าอยู่ดี
หลังก้มลงไปเก็บอาวุธ ทัตก็ค่อย ๆ ย่องเข้าไปในร้านสะดวกซื้อและคิดจะโจมตีมันจากทางด้านหลัง
แต่ดูเหมือนอะไร ๆ จะไม่ง่ายขนาดนั้น… ทัตเพียงแค่เหยียบเข้ามาในร้านสะดวกซื้อได้เพียงแค่ก้าวเดียวเจ้าหมาป่าขนสีดำตัวนั้นมันก็รู้ตัวเสียแล้ว ทั้งที่ทัตมั่นใจว่าเสียงเท้าของเขาไม่ได้ดังอะไรเลยแท้ ๆ
นั่นทำให้ทัตรู้ ว่าต่อให้ไอ้หมาป่านี่เป็นตัวมีไฟหรือตัวธรรมดา มันก็ยังอันตรายอยู่ดี
แฮ่…
เจ้าหมาป่าค่อย ๆ หันมาทางทัต พอรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นมนุษย์น้ำลายของมันก็เริ่มไหลออกมาอย่างหิวกระหายผสมกับเลือดที่ติดปากของมันอยู่แล้ว
สถานการณ์อันน่าหวาดหวั่นหวนกลับมาให้ทัตเผชิญอีกครั้ง แต่ข้อแตกต่างจากครั้งที่แล้วคือแทนที่เจ้าหมาป่ามันจะพุ่งเข้ามาขย้ำทัตในทันทีมันกลับสังเกตท่าทีของทัตก่อน ทั้งที่ทัตก็ไม่ได้แสดงความเหนือกว่าอะไรเลย แม้แต่ตอนนี้ขาเขายังสั่นอยู่เลยด้วยซ้ำ
…ในจุดนี้ ทัตคงไม่รู้หรอกว่าเจ้าหมาป่ามันเห็นความแตกต่างระหว่างตัวทัตกับมนุษย์ปกติได้
แต่ถึงจะไม่รู้ว่าทำไม ทัตก็เห็นประโยชน์จากการระแวดระวังของมัน
เขาจึงกดดันมันเพิ่มด้วยการเดินเข้าไปในร้านสะดวกซื้อ… กับหมาป่าที่สามารถเคลื่อนที่ได้ทุกทิศทางอย่างคล่องแคล่ว การบีบให้มันเคลื่อนที่ได้แค่พุ่งเข้ามาคือการลดความเป็นไปได้ในการเคลื่อนที่ของมันลง และการคาดเดาทิศทางการบุกของมันได้ง่ายขึ้นคือข้อได้เปรียบที่จะสามารถทำให้มองเห็นจังหวะที่จะโจมตีมันกลับไปได้มากขึ้น
กรรรร!!!
ไม่รู้ว่ามันเห็นจังหวะที่จะโจมตี หรือความอดทนของมันมาถึงขีดจำกัดแล้วหรืออย่างไร มันถึงคำรามแล้วกระโจนเข้าใส่ทัตในทันทีด้วยความเร็วที่มากจนน่ากลัวเหมือนกับครั้งก่อนไม่มีผิด
นั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็น แต่ว่า… ทัตกลับรู้สึกว่ามันช้ากว่าปกติเล็กน้อยถ้าเทียบกับการจู่โจมของเจ้าหมาป่าเพลิงสีน้ำเงินตัวที่เขาเพิ่งจัดการไป
มันช้ามากพอให้ทัตสามารถรับมือมันได้ง่ายขึ้น… ทัตอาศัยจังหวะที่มันกระโจนพุ่งเข้ามาโยกตัวหลบไปทางฝั่งชั้นวางสินค้าแรกของร้านซึ่งเป็นช่องให้แทรกหลบเข้าไปได้ แล้วอาศัยจังหวะที่มันพุ่งผ่านไปเอาแท่งเหล็กแทงตาของมัน
การโจมตีเพียงครั้งเดียวเข้าจุดตายทำให้มันลงพื้นผิดท่าไปนอนกองกับพื้น ทัตใช้จังหวะนี้เข้าไปคร่อมหลังมันแล้วใช้วิธีเดิมจัดการกับมันเพราะเรียนรู้แล้วว่ามันได้ผล หนนี้เพราะอาวุธมีลักษณะเรียวยาว ทัตเลยใช้ให้เป็นประโยชน์ด้วยการแทงลึกเข้าไปในดวงตาของมันไปเลยแทนที่จะกระหน่ำแทงแบบครั้งที่แล้ว
ด้วยเหตุนั้น พอยัดแท่งลึกแทงเข้าไปในดวงตาของมันจนสุด เจ้าหมาป่าตัวนี้มันก็ดิ้นทุรนทุราย แล้วก็แน่นิ่งไปในทันทีหลังจากนั้นไม่นาน
หลังมันแน่นิ่งไปสักพักหรือก็คือตายสนิท… ร่างของมันก็กลายเป็นธุลีสีทองเปล่งแสงเหมือนกับหนก่อนไม่มีผิด นี่น่าจะเป็นลักษณะเฉพาะของพวกมันหลังจากที่ตาย แต่ข้อแตกต่างก็คือเจ้าตัวนี้ไม่มีอัญมณีสีเขียวปรากฏออกมา
นอกเหนือจากนั้นก็คือ…
ท่านได้รับการเลเวลอัพเป็น ‘เลเวล 2’ แล้ว
ได้รับ ‘แต้มเลเวล’ 1 แต้ม
มี ‘แต้มเลเวล’ ที่ยังไม่ได้อัพ 2 แต้ม
เสียงพวกนี้อีกแล้ว…
อีกสิ่งหนึ่งที่เหมือนกับหนก่อนคือข้อความที่ปรากฏเข้ามาในหัว ทัตไม่เข้าใจว่ามันจะสื่อถึงอะไร แต่รู้แค่ว่ามันให้ความรู้สึกเหมือนกับกำลังเล่นเกมออนไลน์อยู่ยังไงอย่างงั้น
ไม่สิ… ที่จริงทัตเองก็รู้ความหมายของมันตั้งแต่ครั้งแรกที่เกิด ‘การตื่น’ แล้ว เพียงแต่เขาไม่สนใจมันเท่านั้น เพราะอย่างที่บอกว่าตอนนี้มีสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า และนั่นคือเหตุผลที่ทัตไม่สนใจข้อความที่ปรากฏขึ้นมาในหัวพวกนี้แล้วพยายามรีบกลับไปหาพิม
นั่นถึงเป็นเหตุผลที่เขาเลิกคิดเรื่อง ‘แต้มเลเวล’ พวกนี้ไว้ก่อนแล้วกลับไปยังหน้าเคาน์เตอร์
“พิม… ฉันกลับมา… แล้ว?”
ด้วยความสัจจริง… ถึงแม้จะเป็นในสถานการณ์สิ้นหวังอย่างนี้ ทัตก็ยังมีความหวังอยู่ตลอดว่าทุกคนอย่างน้อยก็ที่รอดมาจนถึงตอนนี้จะมีชีวิตรอดต่อไปได้ตลอด
แต่ทัตก็ได้รู้แล้วว่าบางทีเขาอาจหวังมากเกินไป… หรือไม่งั้นก็ไร้เดียงสาเกินไป
เขาตระหนักได้ถึงเรื่องนั้นเมื่อเห็นสิ่งที่เจ้าหมาป่ามันง่วนอยู่ก่อนที่จะหันมาเล่นงานทัต… หรือพูดให้ถูกคือสิ่งที่มันแทะอยู่ต่างหาก
มันคือร่างกายท่อนล่างของมนุษย์ตั้งแต่สะโพกจนถึงขา… สภาพของมันไม่สมบูรณ์ถูกกินไปหลายส่วน ขนาดขายังถูกกินไปข้างนึง แต่ที่ทำให้ทัตรู้สึกเหมือนถูกซัดหน้าจนเข่าอ่อนคือรองเท้าของเจ้าของร่าง
…ที่เป็นรองเท้าของนักเรียนหญิง
มือของทัตเริ่มสั่นด้วยความกลัวจากความสิ้นหวัง… ถึงแบบนั้นสติที่เหลืออยู่ของเขาก็ยังบังคับให้เท้าของเขาเดินไปเช็คหลังเคาน์เตอร์ตามรอยเลือดที่ร่างกายท่อนล่างถูกลากออกมา
…แล้วความหวังก็ไม่มีจริง หลังเคาน์เตอร์ที่เป็นร่างกายท่อนบนเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจากพิม ส่วนร่างของพลนั้นไม่มีอยู่ บางทีเขาคงหนีไปแล้วกระมัง
ยังไงก็ตาม… เรื่องนั้นมันไม่สำคัญอีกแล้วในตอนนี้ ทัตถึงได้รู้สึกเหมือนไม่มีอะไรเหลือแล้ว เข่าของเขาทรุดลงไปกับพื้นราวกับสิ่งที่แบกมาตลอดได้อันตรธานหายไปสิ้น… ความหวังของเขาหายไป… ตายไปแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่มีแค่ความว่างเปล่าในจิตใจ
ความตายนั้นเป็นของธรรมดา เป็นสิ่งที่ทุกชีวิตต้องเผชิญ… เรื่องนั้นทัตเองก็รู้อยู่แก่ใจ แต่อีกอย่างหนึ่งที่เขารู้คือมันมาพร้อมกับความทรมาน เขาเคยสัมผัสมันมาก่อนจากตอนที่เสียแม่ของตัวเองไป แล้วตอนนี้เขาก็ต้องเผชิญกับมันอีกครั้งด้วยความรู้สึกที่มากกว่าเดิม
ทัตพยายามขยับเข้าไปหาร่างอันแน่นิ่งของพิมอย่างถวิลหา ค่อย ๆ ปิดตาของเธอลง อย่างน้อยเขาก็อยากให้เธออยู่ในสภาพที่จากไปอย่างสงบมากกว่าต้องทนเห็นใบหน้าเจ็บปวดทรมานของเธอ
สติของเขาถูกครอบงำด้วยความเศร้าโศก… ร่างที่อ่อนแรงหย่อนลงข้าง ๆ ร่างของพิม มือของเขาเอื้อมเข้าไปสัมผัสแล้วดึงร่างที่เหลือของพิมเข้ามาโอบกอดอย่างอาวรณ์
ถ้ารู้ว่าจะเป็นอย่างนี้… ตอนนั้นฉันคง…
ทั้งเรื่องที่เคยเกิดขึ้น… รวมถึงเรื่องที่ปล่อยพิมทิ้งไว้… ทั้งหมดทั้งมวลที่ทำเพราะคิดว่ามันจะเป็นผลดีกับเธอ แต่ทั้งหมดนั่นมันกลับสร้างแต่ความทรมานให้กับพิม
ความปรารถนาดีกลายเป็นความประสงค์ร้าย… และสุดท้ายก็กลายเป็นความรู้สึกผิด ความรู้สึกพวกนั้นอัดแน่นอยู่ในอกจนแม้แต่น้ำตาก็ยังไม่ยอมไหลออกมา
เขาจมดิ่งไปกับความรู้สึกผิด เจ็บปวดทรมานจิตใจในขณะที่กอดร่างไร้วิญญาณของพิมราวกับต้องการรอคำพูดจากปากของเธอต่อให้มันจะเป็นคำสาปแช่งก็ตาม ทั้งที่มันคงไม่มีวันเป็นไปได้อีกแล้ว
สิบนาที…
ครึ่งชั่วโมง…
สองชั่วโมง…
หกชั่วโมง…
ทัตยังคงกอดร่างของเธออย่างนั้น สติของเขาล่องลอยไปไกล ไม่รู้อีกแล้วว่าควรจะต้องทำยังไงต่อจากนี้ ไร้เหตุผลขับเคลื่อนเพื่อมีชีวิตต่ออย่างสิ้นเชิง
จนกระทั่งค่ำคืนอันยาวนานและสุดแสนจะทรมานได้จบลง จวบจนดวงอาทิตย์เริ่มขึ้นจากขอบฟ้า… ตัวเขาก็ยังคงหวังลม ๆ แล้ง ๆ
…ให้มีสักคำพูดออกมาจากปากของเธอ
❖❖❖❖❖
“————ต… ทัต!”
“!!?”
ได้ยินเสียงเรียกจากระยะประชิดทำเอาทัตถึงกับสะดุ้งตกใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขารู้สึกเหมือนถูกปลุกจากการงีบหลับ นั่นคงใกล้เคียงที่สุดแล้วสำหรับความรู้สึกของทัตในตอนนี้
ใบหน้าของทัตดูอ่อนแรงแถมยังซีดเผือก ท่าทางน่าเป็นห่วงแบบนั้นแหล่ะคือเหตุผลที่พิมเอ่ยทักด้วยสีหน้ากังวลและเป็นห่วงเป็นใย
แต่สำหรับทัตแล้ว เขาไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่าความตกตะลึง
นี่มัน… เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ทัตเริ่มตามเรื่องไม่ทัน เพราะอย่างน้อยในความทรงจำล่าสุดเขาก็มั่นใจว่าตัวเองกำลังอยู่ในร้านสะดวกซื้ออย่างแน่นอน
ทว่าในตอนนี้… เขากลับกำลังยืนอยู่บนถนนนอกร้านคาเฟ่บนช่วงเวลาที่ท้องฟ้าสีส้มกำลังถูกความมืดมิดยามราตรีกลืนกินเป็นสีดำสนิทยามพลบค่ำ… บรรยากาศนี้คือเหตุการณ์ตอนที่ทุกคนเพิ่งออกจากร้านคาเฟ่และกำลังแยกย้ายกันกลับบ้าน เป็นเรื่องหลังจากที่มิ้นกลับไปแล้วและทัตเองก็กำลังจะกลับเหมือนกัน
และใช่… นี่คือเหตุการณ์ก่อนหน้าที่ยังไม่มีใครตาย
“พิม?” ทัตถึงได้มองไปทางพิมด้วยสายตาแฝงความรู้สึกหลายอย่างไว้ด้วยกัน ซึ่งที่มากที่สุดก็คงเป็นความสับสนและไม่เชื่อว่ามันจะเป็นความจริง
ยังไงก็ตาม… สายตานั่นก็มีอะไรหลายอย่างมากเกินกว่าที่พิมจะทำความเข้าใจได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ความรู้สึกของเขาคงไม่มีใครสังเกตนอกจากพิมกับตัวของเขาเอง… เพราะอย่างน้อยตอนนี้ทั้งพล แพร กล้าและหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงนี้ด้วยกันก็กำลังสงสัยว่าทำไมอยู่ ๆ ทัตถึงหยุดเท้าตัวเองที่กำลังวิ่งกลับหอแล้วหันกลับมาทางพวกตนอีกครั้งเหมือนเพิ่งจะนึกอะไรขึ้นได้
แล้วทุกคนก็ยิ่งงงเข้าไปใหญ่เมื่อทัตเดินจ้ำอ้าวเข้าหาพิม
“เอ๊ะ!?” ทัตยื่นมือขวาเข้าไปสัมผัสแก้มของพิมราวกับต้องการยืนยันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าไม่ใช่ฝันหรือละเมอไป และเพื่อพิสูจน์ว่าพิมที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นตัวจริง
ส่วนทางด้านพิมที่จู่ ๆ ก็โดนทำแบบนั้น ใบหน้าของเธอก็เริ่มร้อนขึ้นจนแก้มแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำจากความเขินอาย
แต่มันก็ไม่ได้โรแมนติกอะไรขนาดนั้นอย่างที่ตัวพิมหวัง… เพราะหลังจากนั้นทัตก็ใช้มือขวาที่สัมผัสแก้มของเธออยู่บีบแก้มของเธอเข้าให้
“โอ้ย! ทำอะไรของนายเนี่ย!?” แต่ดูเหมือนจะบีบแรงไปหน่อย เลยทำให้พิมรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา ทำเอาเธอหงุดหงิดจนทำแก้มป่องใส่เลยทีเดียว
“ขะ ขอโทษ!” ส่วนทัตที่รู้ตัวแล้วว่าไม่ได้ฝันไปเลยรีบปล่อยมือจากแก้มของพิมทันที
เขาเอ่ยแบบนั้นแล้วก็เผลอชักเท้าหนี… แต่แทนที่เขาจะรู้สึกผิด ทัตกลับรู้สึกดีใจจนสามารถตายได้เลย เพราะอย่างน้อยนี่ก็คือเครื่องพิสูจน์ที่ว่าพิมยังมีชีวิตอยู่จริง ๆ
ทั้งเสียงที่คิดว่าจะไม่ได้ยินแล้ว…
ทั้งร่างของเธอที่คิดว่าคงไม่มีวันขยับอีกแล้ว…
ความอบอุ่นของร่างกายเธอที่คิดว่ามันเย็นเฉียบไปแล้ว… ทั้งหมดนั่นมันกลับคืนมาหมดทำเอาทัตรู้สึกโล่งอกเหมือนเพิ่งตื่นขึ้นจากฝันร้าย เขาถึงได้เผลอถอนหายใจออกมาด้วยความปลอดโปร่ง
แต่จะให้ถึงขั้นฉีกยิ้มดีใจออกมาตอนนี้มันคงดูแย่มาก เพราะเขาเพิ่งจะทำให้สาวน้อยนามพิมคนนี้หงุดหงิด ถึงแบบนั้นเขาก็เผลอยิ้มออกมานิดหน่อยอยู่ดี
บวกกับเรื่องที่ไม่มีวี่แววว่ามอนสเตอร์จะบุกมา ทัตจึงมั่นใจว่าความสงบสุขและชีวิตประจำวันปกติได้กลับคืนมาแล้ว อย่างน้อยก็สำหรับตอนนี้
ความสงบนั่นทำให้สติสตังของเขากลับมาเต็มที่ ดังนั้น สิ่งที่ทัตต้องคิดต่อเป็นลำดับถัดไปก็คือการปะติดปะต่อเรื่องราว ทัตจึงคิดว่าจำเป็นต้องหาที่ส่วนตัวเพื่อใช้ความคิด เขาเลยตั้งใจจะกลับหอในทันที
“รีบกลับบ้านเลยนะ อย่าไปไหนต่อล่ะ มันอันตราย” ทัตยังไม่ลืมที่จะเตือนพิมแบบนั้น ก่อนจะรีบวิ่งจากไป
“เดี๋ยวสิ! นายเป็นอะไรของนายเนี่ยทัต!”
“ไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้นแหล่ะ!”
แม้จะได้ยินเสียงพิมตะโกนไล่หลังมา แต่ทัตก็ยังวิ่งต่อและตอบกลับโดยไม่ได้หันกลับไปมองด้วยซ้ำ ตอนนี้เขาเริ่มหมกมุ่นกับเรื่องที่เกิดขึ้นและอยากจะใช้ความคิดอยู่คนเดียวเร็ว ๆ เพราะไม่อย่างนั้นเขาอาจสติแตกอีกครั้งหากหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
แต่สำหรับคนที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นตั้งแต่แรก มันก็เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่จะคิดว่าทัตในตอนนี้ช่างแปลกประหลาด
“อะไรของหมอนั่นเนี่ย?”
“นั่นดิ”
“แอบแต๊ะอั๋งแหง ๆ เลย”
นั่นเลยทำให้ทั้งพล กล้าและหนุ่มแอบนินทาเขาลับหลังแบบนั้น
พิมเองก็รู้สึกไม่พอใจแต่ก็ต่อว่าพวกเขาได้ไม่เต็มปากเต็มคำเพราะทัตนั้นแปลกจริง พิมจึงได้แต่มองตามแผ่นหลังที่ค่อย ๆ ห่างออกไปของทัตด้วยความรู้สึกสับสนปนเป็นห่วงอยู่ตลอดจนกระทั่งเขาหายไปจากสายตา
❖❖❖❖❖
ถึงแล้ว… ได้พักซะที!
หลังทัตเข้ามาในห้องพักของตัวเองได้ เขาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เพื่อผ่อนคลายร่างกายที่เคร่งเครียดมาตลอด
เพราะถึงเขาจะค่อนข้างมั่นใจว่ามอนสเตอร์จะไม่บุกมาแล้ว แต่ความกลัวที่ได้เจอพวกมัน เห็นพวกมันทำลายได้ทุกอย่าง เข่นฆ่าคนได้ง่าย ๆ และที่สำคัญคือประสบการณ์ที่โดนพวกมันทำร้ายจนเกือบตายยังคงฝังลึกในจิตวิญญาณ ทัตเลยระวังตัวตลอดระหว่างทางที่เดินกลับหอ
จะกลายเป็นโรควิตกจริตอยู่แล้วให้ตายเถอะ!
ทัตเลยพยายามปรับลมหายใจของตัวเองใหม่อีกครั้งด้วยการหายใจเข้าออกจนสุดปอดหลายต่อหลายครั้ง ก่อนจะโยนกระเป๋าสะพายไว้ข้างเตียงแล้วก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงทั้งที่ยังอยู่ในชุดนักเรียน แล้วค่อยเริ่มคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
เขาเริ่มจากการยืนยันกับตัวเองอีกครั้ง… ว่าเรื่องทั้งหมด ไม่ว่าจะทั้งการปรากฏตัวของมังกร ไซคลอปส์ กล้าและหนุ่มที่ถูกซากรถทับตาย แพรที่ถูกหมาป่ากินทั้งเป็น การปรากฏตัวของหมาป่าที่มีขนอาบเพลิงสีน้ำเงินเหนือธรรมชาติ รวมถึงการตายของพิม… ทั้งหมดทั้งมวลมันคือเรื่องที่เกิดขึ้นจริง
จะทั้งความเจ็บปวดจากการถูกคมเขี้ยวของหมาป่าฉีกกระชาก กลิ่นคาวเลือดที่ฟุ้งมาจากร่างไร้วิญญาณของพิม… ทั้งหมดทั้งมวลมันสดใหม่และสมจริงจนยากจะเชื่อว่าเป็นแค่ความฝัน รวมถึง ‘ความรู้’ ที่ทัตได้รับมาหลังจากทำลายอัญมณีสีเขียวจนเกิด ‘การตื่น’ ก็อีก
ทั้งหมดนั่นทำให้ทัตเชื่อเกินครึ่งว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง
แต่ถ้างั้น… ทำไมทุกอย่างมันถึงได้ย้อนกลับมากันล่ะ?
เพราะการยืนยันว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความจริงหรือไม่มันไม่สามารถทำได้ในตอนนี้ ทัตจึงตั้งข้อสังเกตไปที่ประเด็นอื่นที่สำคัญกว่าแทน
งั้นต้องเริ่มตั้งแต่ตอนแรกที่เกิดเรื่อง…
จำได้ว่าเหตุการณ์มันเริ่มขึ้นตอนช่วงประมาณหกโมงเย็นที่มีพวกมอนสเตอร์ออกมากินคน แล้วพอเวลาผ่านไปจนถึงตอนเช้า เวลาก็ย้อนกลับมาที่ช่วงเวลาประมาณหกโมงเย็นอีกครั้ง
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือทุกอย่างที่ถูกทำลาย ทุกคนที่ถูกฆ่าต่างก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมากันหมดหลังถูกย้อนเวลากลับมา… ยังกับว่าในวันนึงจะมีเวลากลางวันหนึ่งครั้งแต่มีเวลากลางคืนสองครั้งยังไงอย่างงั้นเลย
กับอีกเรื่องคือ ไม่ว่าจะทั้งพิม แพร พล กล้าหรือหนุ่ม… ท่าทางของพวกเขาที่เราสังเกตได้หลังจากที่ย้อนเวลากลับมานั้นเป็นพวกเขาตามปกติ เหมือนไม่ได้เจอเรื่องเดียวกันกับฉันเลย
ยังกับว่าความทรงจำในช่วงเย็นไปจนถึงตอนกลางคืนที่พวกมอนสเตอร์มันออกมากวาดล้างผู้คนได้ถูกลบออกไปจากหัวพวกเขายังไงอย่างงั้น?
แต่คำถามก็คือ… ทำไมฉันถึงยังจำเรื่องพวกนั้นได้อยู่?
ทัตถามตัวเองแบบนั้น แล้วก็นึกขึ้นมาได้ถึงข้อแตกต่างระหว่างตัวเองกับคนอื่น
เขานึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน… อันหมายถึงคืนที่หนึ่งของวันนี้ไม่ใช่กลางคืนที่ทัตกำลังใช้ชีวิตอยู่
มีเพียงอย่างเดียวที่ทัต ‘ได้รับมา’ จากการทำบางอย่างลงไป… นั่นคือการฆ่าเจ้าหมาป่าที่ร่างอาบด้วยเปลวเพลิงสีน้ำเงินตัวนั้น แล้วจัดการทำลายอัญมณีที่ปรากฏออกมาจนตัวเขาได้รับการวิวัฒนาการ หรือเกิด ‘การตื่น’ ขึ้นมา
หากจะมีเหตุผลใดสามารถอธิบายเรื่องนี้ได้ดีที่สุด ก็คงไม่พ้นเรื่องที่ทัตได้รับ ‘การตื่น’ นี่แหล่ะ เขาถึงแตกต่างจากคนอื่นที่จำอะไรไม่ได้เลย รวมถึงเพราะมีเรื่องของ ‘การตื่น’ นี่แหล่ะ ที่เป็นข้อพิสูจน์ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง ไม่ได้ฝันไป
หากทัตนึกย้อนกลับไปยังตอนที่เพิ่งเกิดการตื่นขึ้น… เขาจำได้ว่าในชั่วพริบตานั้นรู้สึกเหมือนมีข้อมูลบางอย่างที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนไหลเข้ามาในหัว
และหนึ่งในข้อมูลนั้นคือสิ่งที่จะช่วยทัตยืนยันว่าอะไรเป็นความจริงอะไรเป็นความฝัน
ทัตที่กำลังจะพิสูจน์เรื่องนั้นลุกขึ้นนั่งที่ขอบเตียงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หายใจเข้าออกอีกครั้งเพื่อเตรียมใจรับความจริง
เพราะหากจะให้พูดตรง ๆ ทัตก็หวังอยู่ในใจลึก ๆ ว่าความทรงจำเรื่องมอนสเตอร์ทั้งหมดนั่นจะเป็นแค่การคิดไปเอง จะเป็นภาพหลอนหรือการฝันกลางวันอะไรก็ได้แต่ขอแค่อย่างเดียวคือไม่อยากให้มันเป็นความจริง
ดังนั้น ทัตที่ต้องการพิสูจน์ถึง ‘พลัง’ ที่ได้รับมาว่าเป็นของจริงหรือไม่ จึงแอบหวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ว่า…
‘Info Open’
ทัตเอ่ยประโยคนั้นในความคิดของตัวเอง ในขณะที่หวังว่ามันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ช่างโชคร้าย… ในพริบตาที่ทัตเอ่ยแบบนั้นจบ หน้าต่างใสก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของเขาราวกับถูกฉายมาจากที่ไหนสักแห่ง แต่เรื่องน่าเหลือเชื่อคือมันไม่มีอะไรเลยเป็นจุดกำเนิด ยังกับว่าอยู่ดี ๆ มันก็ปรากฏขึ้นมาได้ดังใจนึก
ลักษณะของมันเหมือนแผ่นกระดาษ แต่พอทัตพยายามจะสัมผัสมันด้วยมือ มือของเขาก็กลับทะลุผ่านเจ้าแผ่นกระดาษนี้ไปเสียอย่างงั้น
ทัตทดสอบอะไรหลาย ๆ อย่างกับมัน… จนสุดท้ายก็ได้รู้ว่ามันเป็นของจริง
มันไม่สำคัญว่าเจ้าแผ่นกระดาษที่เหมือนกับหลุดมาจากในเกมนี่มันทำมาจากอะไรหรือมาจากไหน แต่คุณสมบัติที่เหนือธรรมชาติของมัน รวมถึงสิ่งที่เขียนอยู่บนนี้นี่แหล่ะคือสิ่งที่ยืนยันว่าเหตุการณ์ที่มอนสเตอร์ปรากฏตัวออกมาทำลายตึกรามและกินคนนั้นคือเรื่องจริงหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม
ให้ตายสิวะ
ทัตเอ่ยด้วยน้ำเสียงผิดหวัง กังวลและสับสนไปพร้อม ๆ กันหลังได้พิสูจน์เรื่องนี้ ก่อนที่จะทิ้งร่างของตัวเองลงไปนอนกับเตียงอีกครั้งอย่างหมดแรง
สรุปคือ… เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง
ตอนนี้ต้องตั้งข้อสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเมื่อตอนที่ช่วงกลางคืนมาถึง จะมีมอนสเตอร์ปรากฏตัวขึ้นมาโจมตีมนุษย์
แล้วพอผ่านไปได้จนถึงรุ่งเช้า เวลาจะถูกย้อนกลับมาในตอนที่พวกมันเริ่มบุกโจมตีอีกครั้ง แต่ไม่มีการโจมตีเกิดขึ้นจริง
คนที่สามารถฆ่าหนึ่งในพวกมันได้แล้วทำลายอัญมณีสีเขียวนั่นจะได้รับความสามารถพิเศษที่เรียกว่า ‘การตื่น’ แล้วก็จะสามารถจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ ส่วนคนที่ไม่ได้ทำแบบนั้นจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นไปทั้งหมด
กล่าวคือในหนึ่งวันจริง ๆ แล้วมีกลางคืนสองครั้ง… กลางคืนหนแรกคือครั้งที่มีการโจมตีจากมอนสเตอร์ ส่วนกลางคืนที่สองก็คือกลางคืนตามชีวิตปกติที่เราใช้ชีวิตกันอยู่
คงจะเป็นแบบนี้สินะ
ทัตคิดแล้วก็ได้ข้อสรุปแบบนั้น เขาเริ่มยกแขนขวาขึ้นมาก่ายหน้าผากเพราะยังคิดไม่ตก รวมถึงมีอีกเรื่องที่เขาคิดกังวล
นั่นถึงเป็นเหตุผลที่เขาเรียกหน้าต่างข้อมูลส่วนตัวของตัวเองออกมาอีกครั้ง แถมเจ้าหน้าต่างนี้ยังสามารถเปลี่ยนตำแหน่งให้อยู่ในจุดโฟกัสที่ทัตสามารถมองเห็นได้ชัดเจนตลอดจึงถือว่าสะดวกเอาเรื่อง
ทัตพยายามโฟกัสไปที่ข้อมูลที่ถูกเขียนอยู่บนหน้าต่างนี้… รายละเอียดของมันถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนซ้ายขวา
ทางซ้ายถูกเขียนไว้ว่าเป็นข้อมูลของทัตเทพ ไกรธนเดชหรือของตัวเขาเอง ซึ่งในตอนนี้มีข้อมูลแค่สองอย่างคือ เลเวลของตัวเขาที่ตอนนี้เป็น 2 กับแต้มเลเวลที่มีอยู่ 2 แต้ม
ส่วนทางด้านขวานั่นแหล่ะคือสิ่งที่ทำให้ทัตคิดไม่ตก…
จะว่าไป… พอดูดี ๆ แล้วมันก็เหมือนพวกหน้าต่างสเตตัสในเกมออนไลน์เลยไม่ใช่รึไงเนี่ย?
ทัตที่เพิ่งจะมานึกได้เอาป่านนี้รู้สึกหงุดหงิดตัวเองไม่น้อย อาจเป็นเพราะเขาเพิ่งเผชิญกับความจริงอันโหดร้ายของโลกนี้มา เรื่องอย่างเกมจึงไม่อยู่ในหัวเลย เพราะโดยพื้นฐานแล้วทัตก็ไม่ได้เล่นเกมบ่อยขนาดนั้น แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สนใจเลย เพราะแบบนั้นแหล่ะทัตเลยพอจะทำความเข้าใจสิ่งที่ถูกเขียนแสดงในหน้าต่างข้อมูลนี้ได้อยู่
ถ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนเป็นระบบเกม… เหมือนว่าการฆ่ามอนสเตอร์จะทำให้ได้รับค่าประสบการณ์เพื่อเอาไว้อัพเลเวล แต่ปัญหาก็คือในหน้าต่างนี่ไม่ได้บอกเลยว่าค่าประสบการณ์ปัจจุบันคือเท่าไหร่
กล่าวคือ เราจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าต้องฆ่ามอนสเตอร์อีกกี่ตัวเลเวลถึงจะอัพ แต่เรื่องนั้นคงไม่มีปัญหาเท่าไหร่หรอก
แล้วถ้าเราสามารถเก็บค่าประสบการณ์ได้ถึงจุดหนึ่งแล้วเกิดเลเวลอัพขึ้นมา สิ่งที่เราจะได้รับคือ ‘แต้มเลเวล’
และไอ้ ‘แต้มเลเวล’ นี่แหล่ะที่จะเป็นตัวใช้เพิ่มความแข็งแกร่งของเรา และเหมือนจะเป็นระบบหลักของสิ่งนี้ด้วย
แต้มเลเวลนั้นปกติในเกมคงเอาไว้อัพค่าสเตตัสพื้นฐาน… แต่ในกรณีนี้มันเอาไว้เพิ่มเลเวลของ ‘อาชีพ’
ทัตเลื่อนไปสังเกตหน้าต่างข้อมูลซีกขวาที่มีรายละเอียดของอาชีพที่ว่า เพื่อสำรวจตัวเลือกทั้งหมดว่ามีอะไรบ้าง
‘Knight’ ‘Lancer’ ‘Fighter’ ‘Archer’ ‘Assassin’ ‘Mage’ แล้วก็ ‘Supporter’ รวม 7 อาชีพ
แต่ละอาชีพจะมีเลเวลเป็นของตัวเอง ซึ่งตอนนี้ทั้งหมดเลเวล 0 เพราะฉันยังไม่ได้อัพเลยสักอย่าง
วิธีการเพิ่มเลเวลของอาชีพพวกนี้มีวิธีเดียว ก็คือใช้ ‘แต้มเลเวล’ที่ได้มาตอนเลเวลอัพนี่แหล่ะในการเพิ่มเลเวลของอาชีพที่ต้องการ
ต้องขอบคุณที่อย่างน้อยในนี้ก็มีเขียนอธิบายไว้ว่า ถ้าอัพเลเวลอาชีพนั้น ๆ แล้วจะได้อะไรตอบแทน
ยกตัวอย่างเช่นถ้าฉันอัพเลเวล ‘Knight’ จะได้รับสกิล ‘ทักษะจู่โจม’ หรือก็คือความสามารถในการใช้ดาบในการต่อสู้
แล้วก็จะได้รับ ‘ความสามารถทางกาย’ ที่จะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกายโดยตรง กับ ‘ความเชี่ยวชาญคลาส Knight’ที่จะเป็นการเพิ่มความเชี่ยวชาญในการใช้ดาบ
จุดร่วมของการอัพเลเวลแต่ละอาชีพก็คือ ไม่ว่าจะอัพเลเวลให้กับอาชีพไหนก็จะเพิ่ม ‘ความสามารถทางกาย’ ให้ 1 แต้ม ซึ่งเป็นหนึ่งในสองสเตตัสหลัก
อีกอย่างหนึ่งก็คือ ‘ความเชี่ยวชาญคลาส’ ที่จะเพิ่มขึ้นในทุกครั้งถ้าอัพเลเวลของอาชีพเดิมซ้ำ ๆ
กล่าวโดยสรุป… การอัพเลเวลในแต่ละครั้งจะเพิ่มพละกำลังทางกาย
และทุก ๆ ครั้งที่อัพเลเวลของอาชีพนั้น ๆ จะทำให้สามารถใช้อาวุธหรือต่อสู้ในคลาสนั้น ๆ ได้เก่งขึ้น
ดังนั้นไม่ว่าจะเลือกอัพเลเวลให้กับอาชีพไหน โดยพื้นฐานแล้วสเตตัสพวกนี้จะไม่แตกต่างกันมากโดยเฉพาะความสามารถทางกาย
แต่เรื่องที่ทำให้แต่ละอาชีพแตกต่างกันก็คือ ‘สกิล’
ทัตเลื่อนสายตาของตัวเองไปสังเกตสิ่งที่จะได้รับเมื่ออัพแต่ละอาชีพเป็นเลเวล 1 อีกครั้ง ซึ่งทั้งหมดนั่นถูกเขียนอธิบายไว้ที่หน้าต่างซีกซ้าย อันได้แก่
‘Knight LV-1’ : ได้รับสกิล ‘ทักษะจู่โจม (Knight) LV-1’
‘Lancer LV-1’ : ได้รับสกิล ‘ทักษะจู่โจม (Lancer) LV-1’
‘Fighter LV-1’ : ได้รับสกิล ‘ทักษะจู่โจม (Fighter) LV-1’
‘Archer LV-1’ : ได้รับสกิล ‘ทักษะจู่โจม (Archer) LV-1’
‘Assassin LV-1’ : ได้รับสกิล ‘ทักษะจู่โจม (Assassin) LV-1’
‘Mage LV-1’ : ได้รับสกิล ‘เวทยิง LV-1’ (ปลดล็อคเวทธาตุดิน น้ำ ลมและไฟ)
‘Supporter LV-1’ : ได้รับสกิล ‘วิเคราะห์ LV-1’
อืม… เท่าที่ดู เปรียบเทียบกับทุก ๆ คลาสแล้ว สิ่งที่จะได้รับเมื่อเป็นเลเวล 1 ก็คล้ายกันหมดคือเป็นสกิลที่ใช้โจมตีศัตรู
ที่จริงถ้าอ่านแค่ชื่อก็คงไม่รู้หรอกว่าคืออะไร… แต่สำหรับตัวฉันในตอนนี้แค่ถามคำถามกับตัวเองว่า ‘ทักษะจู่โจม (Lancer)’ คืออะไร คำตอบมันก็ขึ้นมาในหัวเหมือนกับรู้อยู่แล้วยังไงอย่างงั้น
สกิลนี้จะรวมทักษะที่จำเป็นอย่างการแทงด้วยหอก ฟาดด้วยหอกหรืออะไรทำนองนั้นอีกมากมาย
กล่าวคือเป็นสกิลที่จะทำให้เราสามารถใช้ท่าโจมตีพื้นฐานทุกอย่างด้วยหอกได้โดยที่ไม่ต้องฝึกฝน
บางทีข้อมูลพวกนี้คงได้มาตอนที่เกิด ‘การตื่น’ ขึ้นล่ะมั้ง…
แต่ไม่ว่าจะยังไงมันก็สะดวกมากเลยล่ะ เพราะทำให้เข้าใจอะไร ๆ ง่ายขึ้น
กลับมาที่เรื่องของอาชีพกับสกิลต่อ… จากที่ดูมาทั้งหมดแล้ว คิดว่าการจะเลือกอัพเลเวลของอาชีพไหนก็คงต้องดูจากสกิลที่ได้รับนี่แหล่ะ
และข้อดีคือเราสามารถอัพเลเวลของหลายอาชีพพร้อมกันได้ อย่างเช่นตอนนี้ที่เรามี 2 แต้มก็สามารถแบ่งไปอัพเลเวล ‘Knight LV-1’ กับ‘Lancer LV-1’ ได้
เท่าที่ฉันคิดได้จากข้อมูลที่มีอยู่… ข้อดีของการอัพเลเวลหลายอาชีพพร้อมกันคือจะมีสกิลให้ใช้หลายสกิล
แต่ข้อเสียก็คือจะมี ‘ความเชี่ยวชาญคลาส’ ต่ำกว่าคนอื่นที่เอาแต้มทั้งหมดไปลงกับอาชีพเดียว
และในบางกรณี การเอาแต้มไปแยกอัพเลเวลให้สองอาชีพมันอาจไม่ดีเท่าถลุงลงในอาชีพเดียว
กรณีตัวอย่างก็คือ มันไม่มีเหตุผลเลยที่ต้องอัพ ‘Knight’ กับ ‘Lancer’ พร้อมกัน เพราะในการต่อสู้มันคงไม่มีเหตุผลที่ต้องใช้ดาบกับหอกพร้อมกัน
หรือต่อให้มีคนที่อยากจะทำแบบนั้น แต่มันคงไม่มีประสิทธิภาพเท่ากับการเลือกอัพเลเวลของอาชีพใดอาชีพหนึ่งเป็นเลเวล 2 หรอก เพราะมันจะทำให้ความเชี่ยวชาญของการใช้อาวุธคลาสนั้น ๆ สูงกว่า
และแม้ว่าจะเป็นสกิลที่ชื่อเหมือนกันอย่าง ‘ทักษะจู่โจม (Knight)’ แต่มันก็ไม่ได้มีผลเสริมกันและกัน กล่าวคือ มันไม่ได้ทำให้ทักษะการต่อสู้โดยรวมสูงขึ้น เผลอ ๆ เป็นการทำลายโอกาสตัวเองเสียด้วยซ้ำ
ด้วยเหตุผลนั้น… 5 อาชีพแรกอย่าง ‘Knight’ ‘Lancer’ ‘Fighter’ ‘Archer’ และ ‘Assassin’ เป็นอาชีพที่ไม่ควรจะอัพเลเวลไปพร้อมกัน และควรจะเลือกแค่อาชีพใดอาชีพหนึ่งเท่านั้น
แต่เราเองก็ไม่รู้จะเลือกอะไรดี เพราะฉันก็ไม่ได้มีทักษะทางด้านกีฬาอะไรเลย จะดาบ มวยหรือยิงธนูฉันคงไม่เหมาะหรอก
แถมในชีวิตจริง… จะหาอาวุธอย่างดาบในจังหวะที่ต้องการมันก็ยากอยู่
ถึงเจ้าระบบนี่จะกำหนดทุกอย่างที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันว่าเป็นดาบก็เถอะ (ด้วยเหตุผลนั้น มีดทำครัวเองก็สามารถใช้เป็นอาวุธของคลาส ‘Knight’ ได้)
แต่พอนึกย้อนกลับไปตอนที่เกิดเรื่อง… ถ้าไม่เตรียมตัวไว้ก่อนโอกาสที่จะเจออาวุธที่มีลักษณะตรงกับอาชีพของตัวเองนั้นยากมาก
เพราะงั้นไอ้เรื่องที่ว่าจะอัพเลเวลของอาชีพไหนให้เป็นคลาสหลักจาก 5 คลาสนี้คงต้องขอเอาไว้คิดทีหลัง
ต่อไปก็คืออีกสองคลาสที่ดูแล้วมีลักษณะแตกต่างจากอีก 5 คลาสอย่างชัดเจน
อย่างแรกคืออาชีพ ‘Mage’ ที่ถ้าให้พูดง่าย ๆ ก็คือนักเวท ซึ่งสกิลที่ได้จะเป็นเวทยิง เป็นการยิงเวทมนตร์เข้าใส่ศัตรูเป็นการโจมตี
เลเวล 1 ของอาชีพนี้สามารถใช้ได้สี่ธาตุคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ
หรือก็คือ ‘เวทยิง LV-1’ ซึ่งเป็นสกิลที่ได้มาจะใช้ได้ 4 แบบคือ ยิงเวทดิน ยิงเวทน้ำ ยิงเวทลมและยิงเวทไฟ
ยกเรื่องที่ว่าเวทมนตร์มีจริงไหมเอาไว้ก่อน… เรื่องนั้นคงจะทดสอบไม่ได้จนกว่าจะได้ลองอัพเลเวลดู
ในกรณีที่ใช้ได้จริง ถ้าคิดตามสามัญสำนึกในเกม เวทมนตร์น่าจะเป็นสิ่งที่รุนแรงที่สุดถ้าเทียบกับการโจมตีกายภาพจำพวกดาบ หอกหรือธนู
แต่ต้องไม่ลืมว่านี่ไม่ใช่ในเกม… ดังนั้นจะเชื่อแบบนั้นก่อนที่จะได้ทดสอบอะไรก็คงจะไม่ฉลาดเท่าไหร่
หากคำนึงจากเรื่องที่ทุกอาชีพใช้เพียงแค่แต้มเดียวในการอัพเลเวล ดังนั้น ความรุนแรงของการโจมตีมันไม่น่าจะต่างกันอย่างมีนัยยะสำคัญ
ถ้าการโจมตีของอาชีพนักดาบสร้างความเสียหายได้ 10 หน่วย… การโจมตีของนักเวทเองก็น่าจะทำความเสียหายได้ 10 หน่วยเหมือนกัน
เพราะถ้านักเวทโจมตีได้แรงกว่าแล้วใช้แต้มในการอัพเลเวลเท่ากับอาชีพอื่น ใครจะเลือกอาชีพอื่นล่ะจริงไหม?
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ฉันก็คิดว่าในเวลาที่เกิดเหตุการณ์เหนือธรรมชาติจนไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างแบบนี้ อาชีพ ‘Mage’ น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
อย่างแรกเลยก็คือ เพราะนักเวทมีสกิล ‘เวทยิง LV-1’ ที่เป็นสกิลการโจมตีระยะไกลอยู่
จากที่เคยต่อสู้กับไอ้หมาป่ามาสองครั้ง หรือต่อให้เป็นมอนสเตอร์ประเภทอื่น บอกเลยว่ายากมากที่จะเข้าไปสู้ในระยะประชิดโดยไม่มีข้อมูลของพวกมันก่อน ฉันไม่อยากถูกพวกมันกัดอีกหรอกนะ
นั่นถึงเป็นเหตุผลที่การโจมตีระยะไกลน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
เรื่องนี้อาจเป็นเพราะฉันกลัวจะสู้กับมันในระยะประชิดด้วยส่วนหนึ่ง… แต่เรื่องสกิลระยะประชิดค่อยหาอันที่เหมาะกับตัวเองจากหนึ่งในห้าคลาสแรกหลังจากนี้ก็ได้
และอีกเหตุผลที่นักเวทน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีคือมันมีการโจมตีหลากหลายถึงสี่ธาตุที่สามารถผสมกับเวทยิงได้นี่แหล่ะ
เพราะถ้าเอาไปใช้ได้เหมาะกับสถานการณ์ มันจะไม่ใช่แค่ช่วยสร้างข้อได้เปรียบจากความรุนแรงของการโจมตีเท่านั้น
แต่อาจจะช่วยอำนวยความสะดวกได้หลายอย่าง อาทิเช่น ช่วยติดไฟด้วยเวทยิงไฟ หรือดับไฟด้วยเวทยิงน้ำก็ยังได้
กับอีกตัวเลือกหนึ่งที่คิดว่าเหมาะสมกับสถานการณ์ที่เราไม่รู้สี่รู้แปดอะไรเลยตอนนี้ก็คืออาชีพ ‘Supporter’
ถ้าเป็นในเกม นี่น่าจะเป็นตัวเลือกสุดท้ายที่คนคิดจะอัพเลยมั้ง เพราะแค่ดูจากชื่อก็รู้แล้วว่าเป็นอาชีพที่ไม่มีความสามารถในการต่อสู้เลย
แต่ฉันรู้สึกสนใจอาชีพนี้เพราะเลเวล 1 ของอาชีพนี้น่ะจะได้รับสกิล ‘วิเคราะห์ LV-1’ นี่แหล่ะ
มันคือสกิลที่สามารถตรวจสอบความแข็งแกร่งของมอนสเตอร์ได้ นอกจากนี้ยังรู้ประเภทและเลเวลของมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งกว่าในระดับนึงได้ด้วย
เรื่องประโยชน์ของมันคงไม่ต้องพูดถึง… เพราะมันสามารถช่วยในการตัดสินใจได้ว่ามอนสเตอร์ตัวไหนเราน่าจะฆ่าได้ ตัวไหนที่เราสู้ไม่ได้ ตัวไหนที่ไม่ควรไปยุ่งด้วย
หากจะเอาตัวรอดจากโลกที่มีแต่มอนสเตอร์อันตรายเดินยั้วเยี้ยตามท้องถนน นี่จะเป็นสกิลที่ขาดไม่ได้เลย
หลังใช้เวลาไปพักใหญ่กับการวิเคราะห์หาสกิลและอาชีพที่คิดว่าจำเป็นในการเอาตัวรอด ทัตก็ตัดสินใจได้ว่า ‘Mage’ กับ ‘Supporter’ นี่แหล่ะคือตัวเลือกที่ถูกต้อง
เขาจึงใช้แต้มเลเวลที่มีอยู่ 2 แต้มอัพให้สองอาชีพนั้นทันที… วิธีการนั้นง่ายแสนง่าย เขาไม่จำเป็นต้องใช้นิ้วกดบนแผ่นหน้าต่างที่ลอยอยู่ตรงหน้าด้วยซ้ำ
ท่านต้องการใช้แต้มสกิล 2 แต้มในการอัพเลเวลดังนี้
‘Mage LV-0’ -> ‘Mage LV-1’
‘Supporter LV-0’ -> ‘Supporter LV-1’
ยืนยันหรือไม่?
แค่คิดว่าจะอัพเลเวลทั้งสองอาชีพอย่างจริงจังมันก็สำเร็จผลแล้ว แถมยังมีการถามยืนยันเผื่อผิดพลาดอีก ถ้านี่เป็นโปรแกรมก็ถือว่าเตรียมการมาดีจริง ๆ
อย่างไรก็ดี ทัตคิดดีแล้วว่านี่คือทางเลือกที่ถูกต้อง เขาจึงยืนยันทันทีด้วยความคิดหลังตรวจทานอีกรอบว่าอาชีพที่ตัวเองเลือกอัพคือสองอาชีพดังกล่าวแน่แล้ว
วูม!!!
“!!!?”
พริบตาที่ยืนยันแบบนั้น หน้าต่างข้อมูลตรงหน้าของทัตก็ส่องแสงสว่างจนเจิดจ้าไปทั่วทั้งห้อง ทัตทำได้แค่ปิดเปลือกตาตัวเองลง มันเป็นแบบนั้นแค่ครู่เดียวแสงก็ค่อย ๆ จางลงกลับมาสู่ความปกติ
อาชีพ ‘Mage’ เลื่อนเป็นเลเวล 1 แล้ว
‘ความสามารถทางกาย’ +1
‘ความเชี่ยวชาญคลาส Mage’ +1
ได้รับสกิล : ‘เวทยิง LV-1’
ปลดล็อคเวทธาตุดิน น้ำ ลมและไฟแล้ว
อาชีพ ‘Supporter’ เลื่อนเป็นเลเวล 1 แล้ว
‘ความสามารถทางกาย’ +1
‘ความเชี่ยวชาญคลาส Supporter’ +1
ได้รับสกิล : ‘วิเคราะห์ LV-1’
พร้อม ๆ กับข้อความยืนยันการอัพเลเวลที่ส่งตรงเข้ามาในหัวของทัตอีกครั้ง เหมือนเป็นการยืนยันทางเลือกของทัต
และเพื่อตรวจสอบความถูกต้องซ้ำอีกหน ทัตมองไปที่ซีกซ้ายของหน้าต่างข้อมูลตัวเอง แล้วก็พบว่าข้อมูลที่ถูกเขียนอยู่ได้เปลี่ยนไปแล้ว
ทัตเทพ ไกรธนเดช (LV-2)
Mage LV-1 , Supporter LV-1
สเตตัสพื้นฐาน :
ความสามารถทางกาย : 2
ความเชี่ยวชาญคลาส Mage: 1
ความเชี่ยวชาญคลาส Supporter : 1
สกิล :
Mage (ดิน น้ำ ลม ไฟ) : เวทยิง LV-1
Supporter : วิเคราะห์ LV-1
นั่นคือสิ่งที่ถูกเขียนอยู่บนหน้าต่างข้อมูลของทัตในตอนนี้ หรือก็คือนี่คือความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้
ไหนลองซิ!
ถึงจะเกิดเรื่องแปลก ๆ มาครึ่งวันสำหรับทัต แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าพลังเหนือธรรมชาติที่ได้รับมามันก็ทำให้รู้สึกตื่นเต้นเหมือนกัน ทัตถึงได้อยากทดสอบ
เขาดีดตัวขึ้นจากเตียงแล้วพุ่งไปที่ห้องน้ำเป็นอันดับแรก ก่อนจะยื่นมือเข้าไปในห้องน้ำแล้วเล็งไปที่พื้นกระเบื้อง
ดูเหมือนวิธีใช้เวทน้ำจะไม่ยุ่งยากเลยนะ แค่คิดจะใช้ก็ใช้ได้เลยแถมไม่ต้องร่ายด้วย ถึงจะมีการหน่วงเวลาชาร์จอยู่นิดหน่อยหลังคิดที่จะใช้ก็เถอะ
แต่นี่มันแค่การทดสอบนี่นะ เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาอยู่แล้ว
ทัตยักไหล่ไม่สนใจเรื่องเล็กขี้ประติ๋วแบบนั้น เพราะรู้สึกตื่นเต้นเต็มทีที่จะได้ใช้เวทมนตร์
“ย้าก!”
เขาจึงไม่ลังเลที่จะได้ใช้มัน เขาถึงกับตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้นเสียด้วยซ้ำ
…แต่ดูเหมือนอะไร ๆ จะไม่ง่ายอย่างที่คิด
“อ้าว?”
ไม่มีน้ำอะไรออกมาอย่างที่ควรจะเป็น… ถึงตอนนั้นทัตก็ตระหนักได้ว่าเวทมนตร์อาจจะใช้ไม่ได้ในตอนนี้ แต่อาจจะเป็นสิ่งที่ใช้ได้เฉพาะตอนที่พวกมอนสเตอร์มันปรากฏตัวออกมาเท่านั้นกระมัง
พอรู้แบบนั้นเขาก็รู้สึกอายขึ้นมาเพราะทำตัวเหมือนกับเป็นเด็กเห่อของเล่น นี่ถ้ามีคนมาเห็นเข้าคงรู้สึกว่าเขาเห่ยแหง ๆ แบบนั้นยิ่งทำให้ทัตรู้สึกเขินเข้าไปใหญ่
…งั้นรอพรุ่งนี้ก็แล้วกัน
เขาก็เลยไม่มีทางเลือกนอกจากลืมเรื่องน่าอายเมื่อกี้ไปซะ