แกร่งสุดด้วยอาชีพผสาน ในโลกที่มีมอนสเตอร์ออกมากินคนยามค่ำคืน - ตอนที่ 27 ใครจะรู้ว่าพวกมันจะร่วมมือกัน
- Home
- แกร่งสุดด้วยอาชีพผสาน ในโลกที่มีมอนสเตอร์ออกมากินคนยามค่ำคืน
- ตอนที่ 27 ใครจะรู้ว่าพวกมันจะร่วมมือกัน
————เมื่อสามวันก่อน , ตึกร้างแห่งหนึ่ง
ตัวเมืองยามค่ำคืนอันเงียบงันไร้เสียงสัตว์และผู้คนอาจหมายรวมถึงมอนสเตอร์ทั้งหลาย ไม่มีแม้แต่แสงไฟจากเปลวเทียนและไฟฟ้าคือสัญญาณว่าไร้ผู้คน
มีเพียงตึกแห่งเดียวเท่านั้นที่แตกต่าง ตึกร้างที่อยู่ในสภาพโทรมพร้อมพังทลายได้ทุกเมื่อ ตัวอาคารมีความสูงกว่าสิบชั้นเพราะเคยเป็นโรงแรมมาก่อน แสงสว่างที่แตกต่างจากทุกแห่งในเมืองนั้นมาจากกองไฟหลายจุดตรงลานกว้างด้านหน้าโรงแรม
บริเวณนั้นเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาและหลากเพศ จุดร่วมคือทุกคนมีอาวุธประจำกายราวกับเป็นแหล่งซ่องสุม กับอีกสิ่งคือปลอกแขนสีแดงสะท้อนแสง
และหัวหน้าของเหล่าคนพาลคงไม่เป็นคนอื่นไปได้นอกจากชายผิวสีร่างยักษ์ที่นั่งอยู่ใกล้กองไฟที่ใหญ่ที่สุด …ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเจสัน
ครั้นถึงเวลากินอาหาร เขาก็นั่งเงียบไม่พูดอะไรกับใครทั้งสิ้น ราวกับกำลังง่วนอยู่กับความคิดของตัวเอง
และความเป็นจริงมันก็ไม่ได้ต่างจากนั้นมากนัก
‘ไหนว่าจะไม่ให้ใครมายุ่งไม่ใช่เหรอ’
เสียงนั้นดังก้องอยู่ในหัวของเจสันคล้ายกับกำลังโดนกระซิบข้างหู
คือคำพูดของเด็กหนุ่มที่เขาเคยประมือด้วยเมื่อไม่กี่วันก่อน มันสร้างความรำคาญใจให้เจสันเป็นอย่างมากจนไม่เป็นอันทำอะไร
‘ชนะแบบนี้… แกภูมิใจรึไง! เจสัน!’
เสียงนั้นสร้างความหงุดหงิดจนเขาเผลอกระทืบเท้าเสียงดังจนพื้นแตก ทำให้ลูกน้องของเขาหลายคนหยุดมือที่กำลังกินอาหารหันมาสนใจกันหมด …ด้วยหวาดกลัวไม่น้อย
ยิ่งกว่านั้น คำพูดของเด็กหนุ่ม… ทัตได้ตอกย้ำบางสิ่งในใจของเจสันอย่างรุนแรง คำที่ใกล้เคียงที่สุดก็คงเป็น ‘ศักดิ์ศรี’ กระมัง
ถ้าสิ่งที่พูดมันไม่ใช่ความจริงก็คงไม่รู้สึกเช่นนี้ ในทางกลับกัน ที่เจสันรู้สึกหงุดหงิดอยู่นี้เป็นเพราะเขาไม่อยากยอมรับว่าสิ่งที่ทัตพูดมันเป็นความจริงต่างหาก
แม่งเอ้ย! ไอ้เวรเอ้ย!
พูดเหมือนรู้เรื่องของกูดี! ปากมากชิบหาย!
ยิ่งคิด ยิ่งจมดิ่ง ยิ่งตอกย้ำ… และยิ่งหนีจากคำพูดของทัตไปไม่ได้ เพราะอย่างไรคนที่ทำให้คำพูดของทัตเป็นความจริงก็คือการกระทำของเจสันเอง
…การกระทำที่ช่วงชิงชัยชนะโดยไม่สนวิธีการ แม้ต้องแลกกับเกียรติภูมิของตนนั่นแล
“คุณเจสันครับ”
ยังไม่ทันถึงข้อสรุปของความคิดก็ถูกขัดจนต้องหยุดลงก่อน ในอีกแง่นึงเจสันก็แอบรู้สึกขอบคุณลูกน้องคนสนิทอยู่เหมือนกัน
…อาจเพราะเขายังไม่อยากยอมรับความจริง ว่าได้พ่ายแพ้ทัตทั้งการต่อสู้และการเตรียมใจ
“มีอะไรคริส” เจสันเอ่ยสั้น ๆ เหมือนรำคาญ
“มีคนมาขอพบครับ เป็นตัวแทนของกลุ่มใหญ่เอาเรื่องเลยครับ”
ชายหนุ่มสวมแว่นคนสนิท… คริสโค้งตัวแจ้งข่าว และนั่นสร้างความแปลกใจให้เจสันไม่น้อยในส่วนของเนื้อหา
“มันมาหาเรื่องรึไง?”
“ดูเหมือนจะไม่ใช่ครับ”
“งั้นให้มันเข้ามา”
ถ้าไม่ได้มาร้ายก็น่าจะมีเหตุผลที่ดีพอ หรือต่อให้เป็นการหลอกลวงแต่เจสันก็มั่นใจว่ากำลังของฝ่ายตนมีเหนือกว่า
แม้ในความเป็นจริงนั่นจะไม่ใช่เหตุผลให้น่าวางใจ ซึ่งคนมีหัวคิดอย่างคริสเองก็รู้อยู่ แต่เหตุที่ไม่ห้ามก็เป็นเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะลอบโจมตีเพราะมันจะสร้างความเสียหายกับทั้งสองฝ่าย
ผู้เยี่ยมเยือนถึงมีสิทธิย่างกรายเข้ามาได้
“สวัสดี นายคงเป็นหัวหน้าใหญ่ที่นี่สินะ”
ผู้มาเยือน… ชายหนุ่มโกรกผมสีน้ำเงินดูโดดเด่นเดินเข้ามาท่ามกลางดงคนที่ไม่รู้จักโดยไร้ผู้คุ้มกัน ถ้าไม่โง่มากก็ต้องมั่นใจในตัวเองมาก
หรือไม่อย่างนั้นก็กำลังซื้อใจให้เห็นว่าตนไว้ใจอีกฝ่าย เพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่ได้มาร้าย… นั่นคือสิ่งที่คริสกำลังตริตรึก
“นายเป็นใคร” เจสันเอ่ยถามเมื่ออีกฝ่ายเข้ามาอยู่ในระยะสายตา
“ฉันชื่อดิว บอกไว้ก่อนว่ามาดี”
ดิวดึงด้านในของกระเป๋าเสื้อให้ดู สื่อว่าไม่ได้พกอาวุธมาด้วยอย่างที่ปากว่า
“มีธุระอะไร?” เจสันถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ดูเหมือนอารมณ์ก่อนหน้านี้จะยังเลือนหายไปไม่หมด
“ไม่เอาน่า อย่างน้อยก็แนะนำตัวกันหน่อยสิ”
ดิวพยายามตี้ซี้อย่างสนิทสนม แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือใบหน้าถมึงทึงจนต้องหยุดปากตัวเองลงก่อน
“ไม่มีอารมณ์ขันเลยนะ นี่! มีตรงไหนให้นั่งได้บ้าง?” ดิวหันไปถามคริสที่ยืนอยู่ข้างเจสัน
“…”
ถึงจะตะขิดตะขวงใจตรงที่อีกฝ่ายมีความเกรงใจต่ำ แต่อีกฝ่ายก็มาพร้อมกองทัพจำนวนที่ไม่น้อยหน้าไปกว่าปลอกแขนแดงของตน คริสจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากประนีประนอม ดิวก็เลยได้เก้าอี้มานั่งฝั่งตรงข้ามกองไฟของเจสัน
นั่นเป็นตอนที่ดิวเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มตึงเครียดขึ้นไม่แม้แต่พวกของเจสันคนอื่นที่มองมา เขาจึงคิดว่าไม่ควรจะพูดเยิ่นเย้อไปกว่านี้
“โอเค งั้นฉันจะไม่อ้อมค้อมแล้วกัน… สนใจร่วมมือกันถล่มเซฟเวอร์สาขาตะวันออกเฉียงเหนือหน่อยไหม?”
“!!!?”
สิ่งที่รอคอยออกมาจากปากของชายนิรนามทำให้ทุกคนเบิกตาโพลงกันหมดไม่เว้นแต่คริสกับเจสัน
นั่นเพราะเซฟเวอร์เป็นศัตรูกับกลุ่มนอกคอกที่บังคับคนเข้ากลุ่มหรือทำร้ายคนทั่วไป หากเซฟเวอร์เป็นน้ำพวกเขาก็คือไฟ เป็นของที่เข้ากันไม่ได้และควรหลีกเลี่ยงที่จะเข้าใกล้กัน นั่นคือสามัญสำนึกและเป็นเหตุผลแรกที่ทำให้สิ่งที่พูดไม่น่าเชื่อถือ
เหตุผลที่สองคือกำลังรบ ถ้าเป็นเซฟเวอร์สาขาย่อยที่เป็นระดับตำบลหรืออำเภอก็อาจจะพอเทียบเคียงได้ แต่ถ้าเป็นระดับจังหวัดจำนวนจะห่างชั้นขึ้น ยิ่งเป็นระดับภูมิภาคก็ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะหัวหน้าหน่วยหลักมีเลเวลสูงกว่า 100 ซึ่งพวกปลอกแขนแดงได้ยลโฉมกันมาแล้วด้วยตาตัวเอง
เด็กสาวที่ตัวเล็กเปราะบางราวกับตุ๊กตา แต่กลับเป็นฝ่ายทำให้เจสันรู้สึกกดดันด้วยความแข็งแกร่งที่เหนือล้ำกว่าหลายเท่าตัว นอกจากนี้ยังมีวิญญาณอัศวินในชุดเกราะลึกลับที่แค่มองก็รู้สึกขนหัวลุกอีก
ว่าไปแล้ว… ความกลัวที่ฝังลึกในจิตใจนั่นยังเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้พวกปลอกแขนแดงทั้งหมดตะลึงและหวาดผวากับข้อเสนอของดิวด้วย
“โห…”
ข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียว คือเจสันที่ฉีกยิ้มกว้างออกมาในทันทีที่ได้ยินดิวบอกแบบนั้น
เพราะถึงจะไม่มีใครมาชวน เจสันก็ตั้งใจจะทำแบบนั้นอยู่แล้ว
…เพราะถ้าไม่ขยี้ทัตกับน้องสาวให้ได้ด้วยมือตัวเอง ความโกรธที่กำลังเผาไหม้จนแสบร้อนในอกนี้คงไม่หายไป
“น่าสนใจดีนี่หว่า ไหนลองบอกรายละเอียดมาสิ” เจสันถึงได้แสดงอาการสนอกสนใจแบบสุด ๆ
ดิวเองก็ฉีกยิ้มออกมาด้วยความพอใจหลังได้รับปฏิกิริยาที่เป็นไปในทางบวก
“เดี๋ยวก่อนสิครับคุณเจสัน หมอนี่มันเชื่อใจได้รึเปล่ายังไม่รู้เลย! แล้วอีกอย่าง คนพวกนี้จะเอาชนะพวกเลเวลมากกว่า 100 ได้ยังไง!?”
ในขณะที่คริสนั้นมองมุมต่าง เขาไม่คิดว่ากำลังรบของทั้งสองกลุ่มรวมกันจะเอาชนะความต่างของคนที่มีเลเวลสูงกว่า 100 ได้ ยังไม่นับเรื่องความน่าเชื่อถือของคนพวกนี้อีก
“ไม่ต้องห่วง เรื่องนั้นต้องใช้เวลาฉันเข้าใจ” ดิวเองก็ไม่ได้ใจร้ายถึงขนาดปิดทางเลือก หรือไม่อย่างนั้นก็พูดไปเพราะหวังผลลัพธ์ในแง่บวกจากคริส
“แล้วก็ ไม่ต้องห่วงเรื่องยัยเปี๊ยกนั่นหรอก… ยังไงคนที่เห็นเซฟเวอร์เป็นกลุ่มที่ขวางหูขวางตาก็มีเยอะอยู่แล้ว”
นอกจากนี้ ปัญหาอีกอย่างดิวก็ได้เตรียมการแก้ไขไว้แล้ว แม้จะไม่รู้รายละเอียดแต่ก็เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่ปัญหาสำหรับดิวอีกต่อไปแล้ว
สายตาอันจริงจังและไร้ความกังวลของเขาบอกแบบนั้น
“ใช่… มีเยอะเลย”
❖❖❖❖❖
พวกนั้นมัน… เจสันกับดิว
ปลอกแขนแดงกับพยัคฆ์ฟ้าร่วมมือกันงั้นเหรอ!?
ทัตตระหนักความจริงของสถานการณ์ได้ในทันที เพราะคงมองเป็นอื่นไปไม่ได้จากขบวนทัพของกลุ่มนอกคอกทั้งสองที่กรูกันเข้ามาทางประตูหน้าโรงพยาบาลราวมดแตกรัง
“ชิบหายแล้วไหมล่ะ” สินที่อยู่ข้าง ๆ ทัตเองเห็นแบบนี้ก็เหงื่อตก ไม่สิ… เจอสภาพการณ์แบบนี้ไปเป็นใครก็กังวล
ทั้งเปลวเพลิงและควันฟุ้งที่พวยพุ่งมาจากทุกทิศทางรอบโรงพยาบาล กับจำนวนของศัตรูที่กะด้วยสายตาแล้วมากกว่าร้อยคน แทบไม่ต้องคิดเลยว่ามันเลวร้ายขนาดไหน
…และนี่ยังเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
“เอ้า ๆ! ยิงโรงบาลแม่มให้พรุนไปเลย!”
ดิวตะโกนออกคำสั่งพร้อมกับชี้มีดพกไปทางตัวอาคารหลักที่ทัตอยู่ สัญญาณนั่นทำให้ทัตและสินเห็นท่าไม่ดี
แต่ก็สายไปแล้ว… ในพริบตาถัดมาเหล่าสมาชิกของทั้งปลอกแขนแดงและพยัคฆ์ฟ้าที่มีอาชีพ ‘Mage’ ต่างร่ายและยิงเวทต่างธาตุ ต่างขนาดด้วยปริมาณมหาศาลเหมือนห่าฝนดาวตกพุ่งเข้าใส่ตัวอาคารหลักของโรงพยาบาล
บ้าเอ้ย เราคนเดียวป้องกันเวทยิงของพวกนี้ไม่หมดแน่!
ทัตเองก็พยายามใช้เวทเกราะสร้างกำแพงลมแล้ว แต่แน่นอนว่าการป้องกันด้วยตัวคนเดียวมันมีขีดจำกัดจนเรียกว่าเกือบไร้ประโยชน์เมื่อเทียบกับจำนวนที่ศัตรูยิงเข้ามา
ทว่า… ห่าฝนกระสุนเวทจำนวนมากที่ควรจะทำลายตัวอาคารกลับกระแทกเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็นก่อนที่จะถึงตัวอาคาร นั่นสร้างความประหลาดใจให้ทั้งพวกศัตรูและทัตเอง
พอแหงนหน้ามองขึ้นไป ก็พบว่าสมาชิกของเซฟเวอร์เองก็มี ‘Mage’ ระดับสูงหลายคนอยู่ตรงหน้าต่างและชั้นดาดฟ้าเตรียมรับการโจมตีของศัตรูอยู่ก่อนแล้ว และคนที่ร่ายเวทเกราะสร้างกำแพงลมแบบเดียวกับที่ทัตคิดจะทำก็คือพวกเขานี่เอง
“อย่าให้การโจมตีของศัตรูหลุดรอดไปได้นะคะทุกคน!”
โดยเฉพาะลินดาที่เป็นหัวหน้าของคนเหล่านี้ เธอเป็นผู้นำทุกคนสร้างกำแพงธาตุลมด้วยจำนวนที่มากกว่า จึงป้องกันการโจมตีอันมหาศาลราวห่าฝนของศัตรูได้สำเร็จ
…ไม่เพียงเท่านั้น ที่ทางเข้าตัวอาคารเองก็มีกำลังคนวิ่งกรูกันออกมาเต็มไปหมด โดยเฉพาะสมาชิกหน่วยหลักที่ต่อสู้ได้ และระดับบัญชาการทั้งหลายอย่างมิ้น กิฟ เบล คิว
รวมถึงหัวหน้าใหญ่สุดของที่นี่เองก็เช่นกัน
“กระจายกำลังออกไปค่ะ! อย่าให้ศัตรูเข้าไปในโรงพยาบาลได้เป็นอันขาด!!!”
ฝ้ายคือผู้ที่นำกำลังออกมา เธอสะบัดมือสั่งทุกคนให้ทำตามอย่างขะมักเขม้น เป็นเวลาเดียวกับที่พิมวิ่งออกมาพอดิบพอดี
“ทัต! ปลอดภัยรึเปล่า!?”
พิมตาลีตาเหลือกหาทัตผ่านคนจำนวนมาก พอเข้ามาอยู่ใกล้ ๆ ถึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก อย่างน้อยการที่ทัตไม่ได้มีบาดแผลใด ๆ เลยมันก็ทำให้โล่งใจไปได้เปราะนึงอยู่ แต่ว่า…
“ฉันยังสบายดี แค่ตอนนี้นะ” ทัตตอบกลับอย่างตึงเครียด เพราะสถานการณ์บีบบังคับให้รู้สึกแบบนั้น
“พี่ทัตปลอดภัยก็ดีแล้วค่ะ คุณสินด้วย”
ฝ้ายเข้ามาหาทัตหลังจากนั้น เธอเองก็รู้สึกโล่งอกไม่เบาแต่นี่ไม่ใช่เวลามามัวดีใจ ฝ้ายถึงไม่คลายคิ้วที่กำลังขมวดลงก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองสาเหตุของความวุ่นวายอย่างดิวกับเจสันที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลเท่าไรนัก
เธอเรียกหอกคู่ใจออกมาเดินอย่างสง่าผ่าเผยเข้าหาศัตรูโดยมีทัตเดินเคียง ตามด้วยพิม สิน มิ้น คิว กิฟและเบล
ตอนนี้กำลังรบของทั้งสองฝ่ายยืนประจันหน้ากันหมดแล้ว โดยเฉพาะเหล่าขุนพล
“คิดจะทำอะไรกันแน่คะ”
“เห็นก็น่าจะรู้นี่หว่า”
ดิวไม่ตอบคำถามของฝ้าย การโจมตีก่อนหน้านี้น่าจะเป็นคำตอบในตัวอยู่แล้ว
คำถามของฝ้ายจึงไม่ใช่คำถามที่ว่า ‘ทำอะไร’ แต่เป็น ‘ทำเพื่ออะไร’ ต่างหาก
แต่ไม่ว่าเขาต้องการอะไรก็คงไม่คิดจะตอบคำถามนั้นง่าย ๆ แน่ สายตาเยาะเย้ยของดิวบอกแบบนั้น
“ย่อมได้ค่ะ” ฝ้ายถึงไม่คิดประนีประนอมเป็นทางออก
แล้วเลือกที่ตอบแทนความรุนแรงด้วยความรุนแรงตามสมควรแม้จะเป็นการผิดกฎก็ตาม
“ใครที่ยังไม่ได้เตรียมใจลงศึกให้ไปดูแลผู้อพยพ จะไม่มีการลงโทษทั้งนั้น! แต่ถ้าใครเตรียมใจแล้วล่ะก็…” ฝ้ายพูดกับทุกคนแม้สายตาจะจับจ้องไปยังศัตรู น้ำเสียงของเธอไม่ใช่ของเด็กสาวแต่เป็นของคนที่เตรียมใจลงศึกสังหารศัตรู และหวังว่าเหล่าสหายของเธอจะเตรียมใจแบบเดียวกัน
“กำจัดผู้บุกรุก! ปกป้องตัวเองและพวกพ้อง! อย่าให้ศัตรูเข้าไปในโรงพยาบาลได้! ตามฉันมาค่ะ!!!”
เธอตั้งท่าย่อตัวพร้อมกับชี้คมหอกไปทางทัพศัตรู ประกาศกร้าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง เข้มข้นและรุนแรง ก่อนจะถีบพื้นกระโดดเข้ากลางสมรภูมิโดยมีเสียงตะโกนก้องของสมาชิกเซฟเวอร์ตามหลังดังสนั่น
ทางด้านของศัตรูเองก็ดังก้องไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ก่อนที่กำลังรบของทั้งสองฝ่ายจะพุ่งเข้าหาอีกฝั่งราวแม่เหล็กดึงดูดพร้อมเสียงกระทบของเหล็กและผิวหนังถูกเฉือนเชือด
นั่นคือสัญญาณ… ว่าสงครามเริ่มขึ้นแล้ว
สมรภูมิกึกก้องซ้องขึ้นโดยไม่ทันได้เตรียมใจ เช่นเดียวกับศัตรูที่ลอยมาหวังกระทืบให้จมดินจนทัตกับพิมต้องถีบพื้นถอยออกมา
“ไม่เจอกันนานนี่หว่า”
“!!!?”
เสียงนั้นคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด แต่ไม่น่าอภิรมย์อย่างยิ่ง
“เจสัน…” ทัตตระหนักตัวตนอีกฝ่ายได้ก่อนที่เจ้าตัวจะพูดขึ้นมาด้วยซ้ำ
“หมอนั่นมัน”
พิมเองก็รู้ในทันทีเหมือนกัน เพราะชายที่ร่างสูงใหญ่กว่าสองเมตรไม่ได้มีให้เห็นบ่อย ๆ
แต่ที่สำคัญกว่านั้น… คือพิมไม่เคยลืมหน้าคนที่ทำร้ายทัตต่างหาก เธอถึงกัดฟันแน่นในตอนที่จ้องหน้าเจสันกลับไปอย่างไร้ความยำเกรง
“ผู้หญิงของแกห้าวเหลือเกินนะ” เจสันเดินเข้ามาใกล้ด้วยรอยยิ้มพร้อมกับหักนิ้วดังกรอบแกรบ ทำให้ทัตเดินเข้ามาบังพิมไว้
“นายก็เก่งแต่ปากเหมือนเดิมนะ ลืมแล้วเหรอว่าครั้งล่าสุดเป็นยังไงถ้าเพื่อนนายไม่มาช่วยไว้น่ะ?”
“หา!?”
เจสันออกอาการยั๊วในทันทีที่ได้ยิน ความโกรธเข้าครอบงำเขาสมดังที่ทัตต้องการ เจสันถึงทำท่าจะถีบพื้นเข้ามาคว้าคอทัต แต่ในจังหวะนั้นทัตกลับสัมผัสได้ว่ามีอีกตัวตนนึงกำลังพุ่งเข้าใส่พิม
ทัตถึงขยับตัวไปรับคมมีดที่มองไม่เห็นไว้ ในขณะที่พิมนั้นอาบเปลวเพลิงไว้กับคมดาบคาตานะก่อนจะฟาดใส่เจสันจนเจ้าตัวที่พุ่งเข้ามาต้องถีบพื้นถอยหลบออกไปแทน
แล้วก็เป็นอย่างที่ทัตคาด มือของเขากำคมมีดสั้นที่ไม่ควรจะมีอยู่ไว้ได้ ทำให้ปรากฏร่างของดิวที่หายไปเพราะสกิลพรางกายขึ้นมา
“เซนส์ดีจนน่ารำคาญเลยว่ะทัต” ดิวฉีกยิ้ม
“คนน่ารังเกียจอย่างนายต้องเล็งผู้หญิงก่อนอยู่แล้ว”
ทัตเอ่ยด้วยความหงุดหงิดสุดขีดก่อนที่จะพลิกตัวเตะใส่ดิว นั่นฉิวเฉียดจนเกือบจะจัดการเขาได้ในทันทีด้วยเลเวลสกิลของคลาสที่สูงกว่า แต่ดิวก็หงายหลังหลบได้แล้วใช้มือดันพื้นตีลังกาถอยออกไปตั้งหลัก
แต่ถึงจะหลบการโจมตีของทัตได้ มีดสั้นที่เป็นอาวุธประจำกายก็ถูกยึดไปแล้ว ทัตหักมันทิ้งให้เห็นกันชัด ๆ ก่อนจะโยนลงพื้นอย่างไม่ใยดี
ทุกคนกำลังแยกกันไปช่วยรับมือแต่ละจุด คงไม่มีเวลามาช่วยเรากับพิม หรืออาจจะไว้ใจเราให้รับมือคนพวกนี้ก็ได้
เพราะถ้าวัดกันแค่พลังเพียว ๆ เราที่มี ‘The One’ ทำให้ทั้งสเตตัสและสกิลสูงกว่าทั้งสองคนนี้ไปแล้ว
ฝ้ายก็กำลังไปสู้ที่แนวหลังของศัตรู… คงคิดจะกำจัดพวกมันไล่ขึ้นมาให้หมด
ถ้าทำแบบนั้น บางทีคงจะหยุดสถานการณ์วุ่นวายนี้ได้
เราเองก็จะปล่อยให้ฝ้ายมือเปื้อนเลือดคนเดียวไม่ได้แล้ว
คงต้องเตรียมใจเหมือนกันสินะ
…เตรียมใจที่จะ ‘ฆ่า’
มือของทัตสั่นขึ้นมาในตอนที่ตั้งใจแบบนั้น แต่สถานการณ์นี้บีบบังคับให้ทัตไม่มีทางเลือก
เพราะถ้าหากเขาลังเล ความตายที่ควรเป็นของศัตรูจักกลายเป็นของเขาเอง
“ต้องการอะไรถึงทำแบบนี้”
ถึงแบบนั้นทัตก็ยังมีเรื่องที่ไม่เข้าใจ จึงถามดิวออกไปตามตรงในขณะที่ขยับจนแผ่นหลังชิดกับพิม เผชิญหน้ากับศัตรูแบบหนึ่งต่อหนึ่งร่วมกับเธอ
แต่ทางดิวที่ได้ยินคำถามของทัตกลับเอียงคอสงสัย เขามองเหยียดราวกับทัตเองต่างหากที่แปลก
“ทำไปทำไมเหรอ? งั้นแกลองมองรอบ ๆ ดูสิวะ ทัต!” ดิวเอ่ยพลางผายมือออกสองข้าง
“พวกแกสร้างกฎที่ผูกมัดตัวเอง หวังสร้างโลกในอุดมคติในโลกที่ล่มสลาย แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะปกป้องตัวเองแม้จะต้องแหกกฎที่ตัวเองสร้างขึ้น ฟังดูย้อนแย้งนะว่าไหม?” ดิวถุยน้ำลายลงพื้นแล้วขยี้ด้วยฝ่าเท้า ก่อนจะหันมาเยาะเย้ยทัตด้วยรอยยิ้ม
“ดูไว้ซะ! นี่แหล่ะความเป็นจริง! ทุกคนต่างก็ถูกขับเคลื่อนด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล!!! นี่แหล่ะสิ่งที่ควรจะเป็น! ฉันต้องการโลกที่ซื่อตรงแบบนี้!!!”
ดิวประกาศข้อสรุปบางสิ่ง เสียงแหลมกรีดซ้อนทับเสียงระเบิดแต่ไม่กลืนไปกับความวุ่นวายของสมรภูมิราวกับเขาเป็นตัวแทนของความจริงที่เกิดขึ้น
คำพูดของดิวดูมีเค้ามูลน่าเชื่อถือ แสดงให้เห็นความปรารถนาในการพิสูจน์ข้อเท็จจริงของมนุษย์ราวกับนักปราชญ์ แม้จะขัดกับพื้นฐานความคิดของทัต แต่หากมีหลักฐานอยู่ตรงหน้าแบบนี้ก็ยากที่จะโต้เถียงกลับไปและเกือบจะยอมรับไปตามนั้น
…หากไม่ติดว่ารอยยิ้มของดิวช่างดูชั่วร้าย ดิบเถื่อนและไร้ซึ่งเศษเสี้ยวของผู้ที่ใช้ปัญญาชี้นำความคิด
นั่นถึงทำให้ทัตรู้ความต้องการที่แท้จริงของดิว ยิ่งด้วยการเลือกใช้คำที่ทัตเคยพูดกับเขาในครั้งสุดท้ายที่เจอกันมันก็ยิ่งชัดเจน
“นี่แก… แค่อยากเอาชนะคำพูดของฉันถึงกับทำเรื่องแบบนี้” เพราะรู้แบบนั้นทัตยิ่งกัดฟันแน่นด้วยความโกรธต่อความไร้เหตุผลของชายคนนี้
“มึงนี่มันรู้ใจกูจริง ๆ!” แม้ถูกแทงใจดำแต่ดิวก็ยังแสดงสีหน้าระรื่น
ไร้ความรู้สึกผิด… ไร้ซึ่งความลังเล… ตัดสินใจด้วยสัญชาติญาณดิบราวกับสัตว์ป่ากระหายเนื้อใคร่คู่ นั่นคือสถานะของดิวในตอนนี้ที่ทัตมองเห็นและตัดสิน
หรือไม่อย่างนั้นก็เป็นตัวตนจริง ๆ ของดิว… ตัวตนอันน่ารังเกียจในสายตาของทัต
“ฉันจะอัดไอ้เวรนี่ให้หมอบเอง” สายตาของทัตถึงคมกริบขึ้นราวกับเหยี่ยว เชือดเฉือนราวคมมีด เป็นครั้งแรกที่พิมได้เห็นทัตแสดงสีหน้าแบบนั้น
“…เข้าใจแล้ว ฉันจะระวังหลังให้นะ”
พิมถึงตัดสินใจสนับสนุนเขา เธอเริ่มกลัวว่าทัตจะเสียการควบคุมตัวเองไปกับความโกรธแบบเดียวกับที่ทำกับเจสัน
ไม่สิ… ตอนนี้ดิวเองก็กำลังทำแบบนั้นกับทัตไม่ผิดแน่ เพราะจากที่คุยมันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าดิวเป็นมนุษย์ประเภทที่เกลียดความพ่ายแพ้ พิมรู้แบบนั้นถึงไม่วางใจและคาดว่าดิวอาจคิดเอาคืนทัตเรื่องที่เคยเถียงแพ้ก็ได้
“มัวซุบซิบอะไรกันอยู่วะ!” ในระหว่างที่คิดแบบนั้นเจสันก็หมดความอดทนแล้วพุ่งเข้ามา
ดิวคงเล็งเห็นจังหวะนั้นเป็นช่องว่างจึงผสมโรงชักมีดสั้นอีกเล่มพุ่งเข้าหาทัตด้วย
เขากับพิมจึงร่วมกันสร้างหอกเพลิงขึ้นคนละ 5 อันลอยอยู่เบื้องหลัง พร้อมกับสร้างเวทเกราะสายฟ้าคลุมร่าง
ทางทัตใช้เวทยิงสองอันคลุมหมัดด้วยเปลวเพลิง ส่วนทางพิมใช้เปลวเพลิงคลุมคมดาบ
คมมีดของดิวที่พุ่งเข้ามาจึงเปลี่ยนทิศกะทันหัน กระหน่ำฟันหอกเพลิงของทัตจนหมดไม่มีเหลือ
แต่ทัตก็อาศัยช่วงที่ดิวถูกเบนความสนใจอัดสวนเข้าไปกับหนึ่งในหอกเพลิงที่เขายิงออกไปก่อนนหน้านี้อย่างแนบเนียน หมัดของทัตจึงกระแทกเข้ากับมีดสั้นจนดิวไถลออกไป
ทางเจสันที่พุ่งเข้ามาเองก็โดนอย่างเดียวกัน ต่างแค่พิมเหวี่ยงตัวฟาดคมดาบใส่
พลังโจมตีอาจไม่รุนแรงเท่าทัต แต่นั่นก็ทำให้เจสันต้องถอยไปตั้งหลักเหมือนกัน
ด้วยสายตาหงุดหงิดไม่เบา แถมยังกัดฟันแน่นอีกต่างหาก
“ส่งผู้หญิงมาสู้กับฉัน คิดจะหยามกันรึไงวะทัต!”
“อย่ามาเหยียดเพศแถวนี้นะยะ!!!”
ไม่รู้ว่าเจสันคิดอย่างไรถึงพูดแบบนั้น แต่ผลลัพธ์ของมันทำให้พิมเลือดขึ้นหน้า
ได้ยินแบบนั้นมีหรืออย่างพิมจะทนไหว เธอถึงกระทืบเท้าอย่างแรงทำเอาทัตเองก็แอบกลัวไปด้วย
แต่ยังไงก็เถอะ… สถานการณ์ในตอนนี้เจสันแข็งแกร่งกว่าพิม ถ้าเราใช้เวทมนตร์ช่วยเสริมน่าจะสร้างข้อได้เปรียบให้เธอได้
อีกคนที่ต้องระวังคือดิวที่ไม่รู้จะเคลื่อนไหวแบบไหน ถ้าเป็นหมอนี่เราต้องจับตาดูไว้ไม่ให้คลาดสายตา
และถ้ายิ่งปล่อยไว้นาน สถานการณ์ก็จะยิ่งวุ่นวายมากขึ้น
…คงต้องรีบจัดการให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้แล้ว
นั่นคือสิ่งที่ทัตคาดหวัง ทว่าความเป็นจริงมันไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น
ทัตเข้าใจเรื่องนั้นหลังเห็นว่าดิวกับเจสันถอยออกไปตั้งหลักอีกครั้งด้วยระยะทางที่ทัตกับพิมเข้าไม่ถึง นั่นคือสิ่งแรกที่ทัตรู้สึกไม่ดี เพราะมันเหมือนกับว่าสองคนนั้นเตรียมการจะทำอะไรสักอย่าง
จังหวะถัดมานั่นแลคือคำเฉลยข้อสงสัยของทัต…
ซู่ม!!!!
ออร่าสีทองพวยพุ่งขึ้นทั่วทั้งร่างของเจสันเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าเขาเปิดใช้งานสกิลที่แข็งแกร่งที่สุดของคลาสสายต่อสู้หลักอย่าง ‘เสริมพลังกาย’
แต่ถ้าวัดกันแค่สเตตัส สกิลนั้นไม่ได้ทำให้เจสันได้เปรียบทัตเลย เพราะทัตสามารถใช้สกิล ‘เสริมพลังกาย’ และ ‘เสริมพลังเวท’ ซ้อนทับกันอย่างละสองชั้น สเตตัสจึงมากกว่าที่เจสันทำได้ถึง 4 เท่าตัว
เรื่องนั้นเคยพิสูจน์มาแล้วจากการปะทะกันล่าสุด การโดนอัดเสียยับเยินในครั้งนั้นยังทำให้เจสันจำฝังใจเคียดแค้นมาจนถึงตอนนี้
…นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ดิวใช้สกิล ‘เสริมพลังกาย’ และ ‘เสริมพลังเวท’ ในฐานะของ ‘Supporter’ ให้กับเจสันและตัวเองด้วย แม้การเสริมพลังเวทจะเกือบเป็นของไร้ประโยชน์สำหรับเจสันที่อัพอาชีพ ‘Fighter’ ล้วน แต่มันก็ยังเพิ่มสเตตัสความสามารถทางกายให้อยู่ บางทีนั่นคงเป็นสิ่งที่ดิวเล็งไว้
ทัตเห็นแบบนั้นก็เริ่มเหงื่อตกแต่ไม่มีเวลามาสับสน
เขาเปิดใช้สกิลตัวเองบ้างแบบเต็มพิกัดทำให้เกิดออร่าสีทองสวมทับร่างกายสี่ชั้นซ้อน พิมเองก็อ่านสถานการณ์ออกแล้วทำแบบเดียวกัน นอกจากนี้ยังได้รับการเสริมจากทัตทำให้เธอเองก็มีออร่าสีทองสี่ชั้นเหมือนกัน
“อย่างที่คิด… แกอัพสามอาชีพพร้อมกันสินะ” การกระทำของทัตเป็นที่สังเกตของดิว แต่นั่นไม่ได้ทำให้ข้อมูลของทัตรั่วไหลแต่อย่างใด
“ก็ไม่รู้สินะ”
ทัตถึงทำทีเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ตอบอะไรกลับนอกจากตั้งท่าเตรียมสู้ นั่นทำเอาดิวคิ้วกระตุกขมวดคิ้วแน่นแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
ทัตยังเป็นฝ่ายถีบพื้นเข้าหาดิวก่อนโดยอาศัยจังหวะที่ดิวเสียเวลาไปกับการหงุดหงิดคำพูดของทัต
ทัตเรียนรู้แล้วว่าความเสี่ยงนั้นมีมากเกินไปหากให้ดิวเป็นคนกำหนดคู่ต่อสู้ นัยนึงคือกลัวว่าพิมจะตกเป็นเหยื่อของมันมากกว่า
ร่นเข้าระยะได้ ทัตก็จัดการง้างหมัดจากมุมสูงใส่ดิวกับเจสัน แต่พวกเขาก็หลบได้ไม่ยาก
ไม่สิ… ทัตไม่ได้ตั้งใจจะโจมตีพวกเขาต่างหากพวกเขาถึงหลบได้ นั่นคือสิ่งที่ดิวตระหนัก เขาถึงได้เบิกตาโพลงในจังหวะถัดมาที่ทัตพุ่งเข้ามาหาเขาต่อในทันทีโดยไม่เสียจังหวะ ส่วนพิมก็เข้าเผชิญหน้ากับเจสันโดยไร้ความหวาดกลัวแม้อีกฝ่ายจะสูงใหญ่กว่าก็ไม่ครั่นคร้าม
ในขณะเดียวกัน ดิวเองก็ไม่เสียรอยยิ้มเยาะเย้ยไปเลยแม้ตัวเองจะเสียเปรียบจนทำให้ทัตรู้สึกขนลุก
ไม่ใช่เพราะหวาดกลัวแต่เป็นสังหรณ์… ในแง่ร้าย
ทัตรีบออกหมัดด้วยความรู้สึกนั้น ตั้งใจจะตั้นหน้ามันสักทีให้เรื่องจบเร็วขึ้น แต่ดิวกลับเอี้ยวตัวหลบได้ทันฉิวเฉียดอีกครั้ง ดูเหมือนความเชี่ยวชาญคลาสที่เพิ่มขึ้นจากสกิลเสริมพลังจะไม่ทำให้ได้เปรียบขนาดนั้น
แต่ว่า… ถ้าหมอนี่โดนโจมตีครั้งนึงล่ะก็เสร็จแน่
ทัตมั่นใจจุดนั้นเพราะสเตตัสความสามารถทางกายเป็นข้อได้เปรียบที่เห็นผลชัดเจนที่สุดที่ทัตมี
เขาถึงเร่งมือขึ้นด้วยการอาบสายฟ้าที่เท้าสองข้างรวมถึงหมัดทั้งสอง ละทิ้งพลังทำลายแล้วเน้นที่ความเร็ว เพราะสเตตัสในตอนนี้เหลือเฟือมากพอที่จะจัดการดิวได้ในหมัดเดียว
ทัตถีบพื้นไปอยู่ด้านหลังของดิวได้อย่างง่ายดายด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น แล้วอาศัยช่วงที่ดิวยังตอบสนองไม่ทันจัดการเอี้ยวตัวเตะสีข้างของดิวกระแทกลงกับพื้นจนกระอักเลือด ความรุนแรงนั่นถึงกับทำให้พื้นแตกละเอียดเลยทีเดียว
แม้จะจบเร็วกว่าที่คิดแต่ทัตก็ไม่ประมาท โดยเฉพาะคนเจ้าเล่ห์อย่างดิว
เขาถึงสร้างกำแพงลมเป็นแผ่นกดทับดิวเอาไว้ก่อน เพราะคิดว่าจะเอาไว้ต่อรองให้พวกศัตรูสงบศึก
กับอีกสิ่งที่ทำให้ทัตถูกดึงความสนใจ คือเสียงกระแทกจากการโจมตีที่มาจากข้างหลัง เกิดขึ้นจากการต่อสู้ระหว่างพิมกับเจสัน
“หลีกไปซะ!!! กูจะไปอัดไอ้ทัต!!!”
“ข้ามศพฉันไปก่อนเถอะย่ะ!”
ทั้งสองตะโกนโต้กันด้วยความพิโรธพร้อมกับปะทะกันด้วยคมดาบและหมัด ความต่อเนื่องของเสียงกระทบราวกับประทัด
ความรวดเร็วของการโจมตีพิมนั้นมีสูงกว่าเพราะสเตตัสทางกายถูกบัฟ แต่เทคนิคนั้นเทียบกับเจสันที่อัพแค่อาชีพเดียวและเลเวลสูงกว่าไม่ได้
ความสามารถทั้งดีและเลวในแต่ละอย่างหักลบกันจนไม่มีใครสร้างความเหนือกว่าให้อีกฝ่ายได้ แม้พิมจะกระหน่ำฟันแทงแต่เจสันก็ปัดป้องได้ แม้แต่เปลวเพลิงที่อาบใบดาบยังฟันผิวหนังของเจสันไม่เข้า
ส่วนทางด้านเจสันที่พยายามรัวหมัดใส่ราวปืนกลเองก็ถูกพิมหลบได้หมด ทั้งสองจึงต้องถอยร่นออกมาจากอีกฝ่ายก่อน
นั่นเป็นตอนที่ทัตเดินเข้ามาร่วมวง ไม่สิ… เปลี่ยนไม้ผลัดกับพิมต่างหาก
“ฉันรับช่วงต่อเองพิม” ทัตเดินเข้ามาแทรก คั่นกลางระหว่างพิมกับเจสันเพื่อให้เจสันหันมาสนใจเขา
และแน่นอนว่าเจสันยิ้มร่าออกมาทันที อย่างไรเป้าหมายของเขาก็คือทัตมาแต่แรกอยู่แล้ว
“ต้องแบบนี้สิวะ! คราวนี้ไม่ให้ใครมาขวางแน่!” เจสันถึงชนหมัดเข้าด้วยกันอย่างตื่นเต้น ความกระหายในการต่อสู้ของเขาไม่ได้ลดน้อยลงเลยแม้จะเคยถูกทัตโค่นมาก่อน
ณ ตอนนั้น เจสันคงไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ว่าความรู้สึกของตัวเองไม่ได้มีความแค้นประสมอยู่ดังเช่นก่อนเริ่มศึกเลย
ที่มีอยู่นั้นคือความต้องการต่อสู้กับผู้ที่แข็งแกร่งอย่างบริสุทธิ์ใจเท่านั้น ราวกับนักรบผู้แสวงจุดสูงสุดยังไงอย่างงั้น ผิดกับครั้งล่าสุดที่ยอมให้คนนอกเข้ามาทำลายการต่อสู้แบบตัวต่อตัว
“ก็ขอให้เป็นอย่างนั้น” ทัตเองก็สังเกตรอยยิ้มไร้ประสงค์แอบแฝงของเจสันเหมือนกัน
แต่เรื่องนั้นไม่ได้สำคัญเท่ากับการรีบจบการต่อสู้ให้เร็วที่สุด
ที่สำคัญคือผลของสกิลเสริมพลังนั้นใกล้จะหมดลงแล้ว ทัตจึงอยากใช้โอกาสนี้ให้คุ้มค่า เขาถึงถีบพื้นร่นระยะเข้าหาเจสันอีกครั้ง
ความรวดเร็วของสเตตัสทางกายที่สูงถึง 1,700 แต้ม แถมยังเสริมความเร็วด้วยเวทสายฟ้าทำเอาเจสันตะลึง แต่เขาก็ยังเร็วพอจะตอบสนองหมัดซ้ายที่พุ่งเข้ามาของทัตได้อยู่
…แต่น่าเสียดายที่นั่นเป็นแค่หมัดหลอก การโจมตีจริง ๆ ของทัตเป็นการแทงศอกเข้าใส่ลิ้นปี่จากมุมต่ำด้วยผลต่างของส่วนสูงจนกระอัก
จังหวะที่เจสันชะงักไปนั้นทำให้ทัตเหวี่ยงตัวหมุน ใช้หลังมืออีกข้างกระแทกไปที่คางของเจสันอย่างรุนแรง การหลังแหวนทำให้สมองได้รับการกระทบกระเทือนจนตาเหลือกหงายท้องลงไปกับพื้นแทบจะทันที
“แม่ง… เอ้ย————”
คำพูดที่ลอดออกมาทั้งที่กำลังกัดฟันแน่นคือสิ่งสุดท้ายก่อนจะหมดสติไป แต่ก็ไม่น่าแปลกใจสำหรับคนที่ยังคงล้มเหลวแม้รอคอยวันล้างแค้นมานาน
หัวหน้าของทั้งสองถูกโค่น… อย่างง่ายดาย… ง่ายดายจนน่าประหลาด
“ถึงฉันจะพูดเองก็เถอะ… แต่มันจบง่ายไปไหมเนี่ย” พิมที่เดินเข้ามาหาทัตหลังจบเรื่องเองก็รู้สึกแบบนั้น
ไม่ใช่แค่ดิวกับเจสันที่พ่ายแพ้ แต่กำลังส่วนใหญ่ของศัตรูทั้งปลอกแขนแดงและพยัคฆ์ฟ้าเองก็ค่อย ๆ เพลี่ยงพล้ำไปทีละคนสองคนเช่นกัน
ทัตถึงได้สงสัย ยิ่งในตอนที่สบสายตากับดิวที่นอนหงายกับพื้นด้วยรอยยิ้มร่าไม่สร่างแม้แพ้พ่าย ความสงสัยก็รังแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แม้ชัยชนะจะอยู่ในมือแล้วก็ตาม
นี่มันแปลกเกินไปแล้ว… ถ้าเป็นเจสันก็ว่าไปอย่าง ไอ้เวรดิวนี่ถึงมันจะบ้า แต่ไม่ได้เป็นคนไร้หัวคิด
ทั้งที่รู้ว่าเราแข็งแกร่งกว่าทำไมถึงยังมาเผชิญหน้า
ไม่สิ… นอกจากเราที่แข็งแกร่งกว่าปกติโดยไม่รู้สาเหตุแล้ว ยังมีฝ้ายที่เลเวลสูงกว่า 100 อีก
คิดตามปกติ จำนวนไม่น่าเป็นข้อได้เปรียบเมื่อต้องเผชิญหน้าฉันกับฝ้ายเลย
หรือว่ามันมีแผนอะไรซ่อนอยู่อีก?
คิดไปคิดมาทัตก็เข้าใจสาเหตุของความกังวลในใจ
…แต่ในตอนที่ตระหนักเรื่องนั้น มันก็เป็นการยากอยู่ดีที่จะชี้ชัดแผนของศัตรู
จนสุดท้ายเงามืดก็คืบคลานเข้ามาและกลืนกินทุกคนโดยไม่อาจรู้ทัน
ตู้ม!!!!
“ “!!!?” ”
เสียงระเบิดปริศนาที่ดังขึ้นจากปลายสุดของขบวนทัพศัตรูคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ทัตกับพิมตกตะลึง และทำให้พวกเขารู้ว่าสิ่งที่กังวลนั้นถูกต้อง
ยิ่งทัตได้เห็นรอยยิ้มที่กำลังฉีกกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ของดิวก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
“ดิว! แกวางแผนอะไรเอาไว้————”
ทัตตะโกนด้วยความรู้สึกตระหนกและสับสน แต่ก่อนที่จะทันได้พูดจนจบประโยค ในจังหวะนั้นกลับมีบางสิ่งลอยมาตกใกล้ ๆ เท้า
ครั้นพอหันไปมอง ก็พบว่ามันเป็นมือของใครบางคนที่ขาดจนถึงส่วนต้นแขน
ไม่สิ… ที่ทัตคิดว่ามันคือมือของใครบางคนก็เป็นแค่การปลอบใจและหลอกตัวเองเท่านั้น ความหนาวเย็นถึงวิ่งแล่นตั้งแต่หัวจรดเท้าในตอนที่ยอมรับความจริง
นั่นเป็นเวลาเดียวกับที่มีใครบางคนกระโดดมาลงตรงบริเวณประตูทางเข้าพอดี และเป็นจังหวะเดียวกับที่คำตอบออกมาด้วยเช่นกัน
เมื่อตรงนั้นมีฝ้ายที่กำลังกัดฟันแน่นทั้งที่เหงื่อผุดบนใบหน้า และใช่… มือซ้ายของเธอขาดหายไปตั้งแต่ช่วงท่อนแขน ความหวาดกลัวถึงเริ่มก่อตัวขึ้นจนทัตรู้สึกแน่นหน้าอกเป็นครั้งแรก
ไม่สิ… เป็นครั้งที่สองต่างหาก และทัตยังจำครั้งแรกที่รู้สึกแบบนี้ได้ดี
…มันคือตอนที่ทัตพบว่าตัวเองได้เสียพิมไปในคืนแรกที่เกิดการตื่นนั่น
เท้าของทัตถึงเกร็งแน่นและเตรียมจะถีบพื้นพุ่งเข้าไปหาทั้งที่ไม่รู้สถานการณ์
“ฝ้าย!”
“อย่าเข้ามาค่ะ!”
ถูกฝ้ายเตือนด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและหนักหน่วงทำให้ทัตหยุดเท้าตัวเองลงพร้อม ๆ กับพิมที่คิดแบบเดียวกัน
ในพริบตาถัดมาก็มีเสียงระเบิดเกิดขึ้นบริเวณที่ฝ้ายยืนอยู่ทำให้ทัตกับพิมหลุดตกใจ แต่พอเห็นว่าฝ้ายหลุดออกมาจากกลุ่มควันนั้นได้อย่างปลอดภัยก็ทำให้โล่งอกไปได้บ้าง
กระทั่งมีชายปริศนาสองคนปรากฏตัวขึ้นมาอีกหลังฝุ่นควันจางลง
ชายคนนึงสวมเสื้อกั๊กเดินป่าดูมีประสบการณ์เอาตัวรอดสูง ส่วนชายอีกคนที่สวมชุดสบาย ๆ ดูแล้วไม่แตกต่างจากคนอื่นที่อยู่ในสนามรบ
ถ้าจะมีจุดที่แตกต่าง… คงเป็นดาบสีดำยาวสะท้อนแสงจันทร์ กับปืนคาบศิลาราวหล่อด้วยเหล็กกล้าในมือของพวกเขา ทั้งสองเป็นอาวุธที่รู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่ของที่หาได้ทั่วไป และลวดลายที่ประดับบนอาวุธนั้นต่างก็วิจิตรพิถีพิถันเกินกว่าจะผลิตได้จำนวนมาก
ซ้ำลวดลายนั้นยังคล้ายคลึงกับหอกที่ฝ้ายมีอีกต่างหาก
ทัตอยากยืนยันให้แน่ใจจึงใช้สกิลวิเคราะห์กับทั้งสองคน
ไอ้เวรพวกนั้น… เลเวล 106 กับ 109!
มันเป็นใครกัน? ปลอกแขนแดงกับพยัคฆ์ฟ้าไม่มีคนที่มีเลเวลสูงขนาดนั้นไม่ใช่รึไง!?
คำตอบไม่ได้เป็นอะไรมากกว่าการตอกย้ำความเป็นจริงอันสิ้นหวัง ทัตถึงหน้าถอดสีจนแม้แต่พิมเองยังสังเกตได้ เธอถึงได้ตระหนักความจริงอย่างเดียวกันแม้ทัตจะไม่ต้องเอ่ยปากบอก
“ฮิฮิ… รู้ตัวจนได้สิน้า”
เสียงสูงกวนประสาทมาจากดิวที่นอนอยู่ตรงพื้นข้าง ๆ ทัต นั่นมากพอจะทำให้ความโกรธของทัตปะทุขึ้นมาเลย
ทัตถึงได้ก้มลงไปดึงคอเสื้อของดิวขึ้นมา ในที่สุดตอนนี้เขาก็เข้าใจแล้วว่ารอยยิ้มเยาะเย้ยเหมือนทุกอย่างอยู่ในกำมือของมันมาตลอดหมายความว่ายังไง
แต่ว่า… ทัตไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้นแน่ โดยเฉพาะในตอนที่ชีวิตของฝ้ายกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้ายแบบนี้
“สั่งให้ไอ้พวกนั้นหยุดซะ ไม่งั้นฉันจะฆ่าแกแน่” ทัตมองเข้าไปในตาของดิวด้วยความรุนแรงที่สุด ทัตไม่คิดว่าจะมีครั้งไหนที่เขาจะโกรธได้เท่าครั้งนี้อีกแล้ว
“โห… อย่างแกจะทำได้เหรอวะทัต? ไหนบอกจะไม่ใช้อารมณ์ตัดสินใจไงวะ?”
และบางที คงเพราะมันแฝงด้วยความพิโรธมากกว่าทุกที ดิวถึงได้รู้สึกเยาะเย้ยทัตยิ่งขึ้นไปอีก ดูจากรอยยิ้มที่มีแต่จะฉีกกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ของมันก็รู้
สำหรับทัตยิ่งเห็นก็ยิ่งหงุดหงิด เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าอยากจะฆ่าใครสักคนจริง ๆ
“แย่แล้วทัต! น้องฝ้ายกำลังแย่แล้วนะ!” เสียงพิมตื่นตระหนกยิ่งกว่าทุกทีทำให้ทัตต้องละสายตาไปมอง
แล้วมันก็ดูแย่จริง ๆ… แม้ว่าฝ้ายจะมีเลเวลสูงกว่าคนพวกนั้นอยู่ที่เลเวล 120 แต่เพราะเป็นศึกแบบสองต่อหนึ่งทำให้ฝ้ายถูกกดดันมากกว่าจะมีแต้มต่อ เรื่องที่เธอเสียแขนไปข้างนึงแล้วเป็นเครื่องบ่งชี้สถานการณ์ที่น่ากังวลอย่างชัดเจนอยู่แล้ว
เอาไงดี… อยากจะเข้าไปช่วยฝ้ายชะมัด
แต่ถ้าเข้าไปก็คงเป็นได้แค่ตัวถ่วงเปล่า ๆ!
พวกสินที่ดูอยู่รอบ ๆ เองก็คงรู้แบบนั้นถึงไม่ได้เข้าไปสอด
เวรเอ้ย! …เวรเอ้ย!!!
“เฮ้ย! ถ้าพวกแกไม่หยุดฉันจะฆ่าหัวหน้าของพวกแกซะ! ได้ยินไหม!!!”
ทัตพยายามตะโกนเสียงดังที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ เขาฉุดดิวขึ้นมาล็อคคอไว้เหมือนจับตัวประกัน ถึงกับยืมดาบคาตานะจากพิมมาเทียบคอดิวเพื่อใช้ข่มขู่ด้วย
แต่ว่าเจ้าสองคนนั้นก็ยังคงกระหน่ำโจมตีใส่ฝ้ายที่ทำได้แค่ปัดป้องการโจมตีออกไปด้วยหอกในมือข้างเดียวอย่างทุลักทุเล พวกมันไม่ได้สนใจความเป็นตายของดิวเลยสักนิด ราวกับวัวกระทิงคลั่งไร้นายยังไงอย่างนั้น
“ฮะฮะฮ่า! เปล่าประโยชน์ เจ้าพวกนั้นไม่ใช่ลูกน้องฉันด้วยซ้ำ!”
“อะไรนะ!?”
“พวกมันไม่ฟังคำสั่งฉันหรอก อยากจะลองฆ่าฉันดูก็ได้นะ เอาเซ่!”
คำข่มขู่ของทัตไม่เป็นผลแม้แต่น้อย ซ้ำยังทำให้มันหัวเราะชอบอกชอบใจออกมาอีกต่างหาก
ไม่ว่าดิวมันกำลังวางแผนอะไรเอาไว้แต่ในสถานการณ์นี้คงอดคิดไม่ได้ว่าในหัวของมันต้องมีอะไรผิดปกติอย่างแน่นอน และสำหรับคนแบบนั้นย่อมไม่สามารถต่อรองได้ด้วยประการทั้งปวง
งั้นช่างแม่งแล้ว!
ต่อให้ตายก็ต้องเข้าไปช่วยฝ้า————
“น้องฝ้าย!!!”
“!!!?”
นั่นคือตอนที่พิมตะโกนด้วยเสียงที่สั่นระรัวจนทัตต้องเหลียวไปมองตามด้วยความกระวนกระวาย
ในเมื่อภาพที่อยู่ต่อหน้าของทุกคน รวมถึงทัตกับพิม… คือฝ้ายที่ถูกคมดาบแทงทะลุอกจนเลือดสาดกระเซ็นและพวยพุ่งออกจากปากแผลราวกับน้ำพุ
ดวงตาของทัตถึงเบิกโพลงขึ้นพร้อมกับอาการสั่นทั่วทั้งร่าง แต่กลับรู้สึกเหมือนถูกขุดโพรงขึ้นในอกราวกับดวงใจถูกช่วงชิง
มือที่ยื่นออกไปกลับไม่สามารถไขว่คว้าสิ่งใดได้… นอกจากความว่างเปล่าอันเกิดจากการสูญเสียสิ่งที่รักไปอีกครา
“ฝ้ายยยยยยย!!!!!!”
❖❖❖❖❖