แกร่งสุดด้วยอาชีพผสาน ในโลกที่มีมอนสเตอร์ออกมากินคนยามค่ำคืน - ตอนที่ 34
Chivalry… เจ้านี่สินะ มอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งกว่าระดับบอสที่เคยได้ยินมา
กับแรงกดดันมหาศาลและกลิ่นอายแห่งความตายที่แผ่ออกมาจากร่างของมอนสเตอร์ในรูปลักษณ์เกราะอัศวินยักษ์สีดำทมิฬตรงหน้า ทัตไม่มีข้อสงสัยในจุดนั้นเลย
ถ้าจะมีอะไรที่แคลงใจ ก็คงเป็นเรื่องที่ว่าทำไมมันถึงมาอยู่ที่นี่
แต่เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด… โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเจ้าอัศวินเกราะดำมันจ้องเขม็งมาที่ทัตกับพิมที่อยู่ทางเข้าห้าง
“รีบเข้าไปในตึก! เร็วเข้า!”
“อื้ม!”
ทัตเห็นท่าไม่ดีถึงรีบบอกพิมให้ไปด้วยกัน ตอนนี้พวกเขาอยู่แทบจะติดประตูอยู่แล้วจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่จะเข้าไปในนั้น
แต่ว่า…
ฟุ่บ!
ในพริบตาถัดมา อัศวินเกราะดำก็ถีบพื้นพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วที่มากจนน่ากลัว
โมเมนตัมที่เกิดจากมวลร่างกายและความเร็วของมันมากพอจะดีดพื้นให้กระเด็นแหลกเป็นชิ้น แม้แต่ร่างกายของมนุษย์ที่กำลังหนีอยู่รอบ ๆ เองก็ถูกฉีกกระชากเป็นชิ้นเล็กน้อยเมื่อถูกร่างของมันวิ่งผ่าน
เวรเอ้ย! พลังจะอะไรขนาดนั้นวะเนี่ย!?
ดูจากกำลังของมันแล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหนีจากมันง่าย ๆ แถมตอนนี้พิมก็ยังมือเปล่าอีก
ทัตที่คิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อชะลอการเคลื่อนไหวของมันถึงร่ายเวทยิงหอกไฟ 12 เล่ม ซึ่งเป็นจำนวนที่มากที่สุดที่เขาสร้างได้ใส่มันทีละอันทีละอัน
มือที่ยื่นออกราวปากกระบอกปืนใหญ่ กระสุนที่ยิงออกไปแต่ละนัดเองก็รวดเร็วและมากมายราวปืนกล
ต้องขอบคุณที่เลเวลของสกิลเวทยิงถูกอัพขึ้นมาสูงมากจนถึงระดับที่ไม่มีคูลดาวน์สกิลแล้ว ทุกครั้งที่ยิงออกไปมันก็ถูกสร้างอันใหม่ขึ้นมาทดแทนเรื่อย ๆ ทันที และทดแทนเรื่องที่ไม่มีคูลดาวน์สกิลหลังอัพเลเวล อานุภาพทำลายล้างและขนาดของมันเองก็เพิ่มขึ้นแทนด้วย
แต่ถึงขนาดนั้นก็ยัง…
“!!!?”
หอกเพลิงที่ถูกยิงใส่กลับดีดออกและสลายไปในทันทีที่มันกระทบกับเกราะเหล็กราวกับเป็นได้แค่หินรายทาง
แน่นอนทัตไม่ยอมลดละความพยายามง่าย ๆ แต่ที่มากยิ่งกว่าความหวาดกลัวที่สร้างความหนาวไปถึงไขสันหลังในจังหวะที่มันวิ่งเข้ามาหา เขาจึงตัดสินใจเปลี่ยนไปเล็งยิงใส่จุดอ่อนอย่างที่หัวของมันแทน แต่ผลลัพธ์ก็ไม่ต่างจากเดิมเลย
“บ้าเอ้ย!”
ทัตตะโกนด้วยความหงุดหงิดและร้อนรน ยิ่งเห็นเงามืดเบื้องหลังของมันราวกับมีวิญญาณร้ายตามรังควานยิ่งทำให้ลุกลี้ลุกลน
ทางเลือกสุดท้ายเลยเป็นการยิงทั้งหมดใส่มันคราวเดียว
ตู้ม!!!
“หา!!!?”
แต่มันก็เปล่าประโยชน์ ผลลัพธ์มันไม่แตกต่างจากก่อนหน้านี้เลยสักนิด ความเร็วของมันที่พุ่งเข้ามาหาทัตกับพิมไม่ได้ลดลงเลย
ซ้ำร้าย… มันมีแต่จะเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ และการถูกดึงความสนใจเพราะความล้มเหลวมันก็ไม่ใช่เรื่องดีเลย
“ทัต!”
พิมเห็นจังหวะไม่ดีเลยรีบคว้าทัตไว้แล้วก็รีบพาทั้งตัวเองและทัตกระโดดหลบจากจุดนั้น
ตู้ม!!!
“อึก!”
“ว้าย!”
เป็นพริบตาเดียวกับที่อัศวินเกราะดำกระแทกทางเข้าจนแหลกเป็นชิ้น ทั้งยังส่งแรงกระแทกไปรอบ ๆ จนทัตกับพิมกระเด็นไปด้วยกัน
แต่ก็ยังมีโชคดีอยู่ในโชคร้าย… เพราะทัตกับพิมกระเด็นมาอยู่หลังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์
ชู่ว!
พิมที่อยู่ใกล้ ๆ ส่งเสียงให้เงียบพร้อมกับกุมมือของทัตไว้แน่น บางทีเธอคงคิดว่าทัตกำลังตื่นตระหนกแต่แท้จริงแล้วตัวพิมเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน สังเกตได้จากมือที่กำลังสั่นของเธอนั่นแหล่ะ
ตึง!
เสียงย่างเท้าของอัศวินเกราะดำยักษ์ยังคงหนักหน่วงแต่มีจังหวะที่ช้าลง
มันกำลังตามหาเราอยู่เหรอ? นั่นคือสิ่งแรกที่ทัตคิดออก ยิ่งเป็นเหตุผลให้เขาและพิมต้องซ่อนอยู่ตรงนี้ ความหวาดกลัวสะกดทั้งร่างกายและจิตใจของทั้งสองคนไม่ให้ขยับตัวไปไหนนอกจากปิดปากนิ่งราวหมีจำศีล
…หมีที่กำลังถูกล่า
“ยะ อย่านะ! อย่าทำอะไรฉันเลย!”
“นั่นมันตัวบ้าอะไรวะเนี่ย!”
“ไว้ชีวิตฉันเถอะ! อ้ากกกก———”
ตุบ!!!
เสียงที่แทรกเข้ามาเป็นพัก ๆ คือเสียงกรีดร้องของมนุษย์ในห้าง จำนวนถี่พอ ๆ กับเสียงทุบบดกระแทกที่ไม่อยากจะจินตนาการภาพตาม เป็นจังหวะที่ทัตรู้สึกทนดูไม่ได้ด้วยความรับผิดชอบ เพราะคนเหล่านั้นกำลังจะตายก็เพราะเขาเป็นสาเหตุ
…ถ้าไม่ได้พิมคว้าข้อมือเขาไว้ก่อน ทัตก็คงจะลุกพรวดพราดออกไปแล้วก็ได้
ฉันไม่เป็นไรหรอกน่า ปล่อยฉันซะ———
ทัตเกือบจะพูดอย่างนั้นออกมาแต่ก็ต้องกลืนคำพวกนั้นลงคอไปก่อน
เมื่อได้เห็นแววตาสั่นไหวของพิมที่กำลังดึงมือเขาไว้แน่น อาการสั่นนั้นเป็นความหวาดกลัวไม่ผิดแน่ แต่ดูเหมือนเป้าหมายของมันจะเปลี่ยนไป
จากความหวาดกลัวว่าตัวเองจะตาย ได้เปลี่ยนเป็นความรู้สึกที่มีต่อคนที่เธอใส่ใจแทน
อย่าทิ้งฉันไว้คนเดียวนะ… สายตาของเธอราวกับอ้อนวอนแบบนั้น เธอทั้งเป็นห่วงและหวาดกลัวที่ทัตจะต้องไปเจอกับอันตรายอย่างนั้นโดยไม่มีแผนแล้วทิ้งเธอไว้ข้างหลัง ยิ่งในสถานการณ์ที่อันตรายที่สุดที่เคยเจออย่างนี้ความเสี่ยงก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
ต้องขอบคุณดวงตาที่กำลังสั่นระรัวของพิม ทัตถึงได้เรียงลำดับความสำคัญใหม่แล้วยอมอยู่นิ่งเงียบกับพิมไปก่อน
กระทั่งเสียงฝีเท้าเหล็กกระทบพื้นห่างออกไปเรื่อย ๆ มากพอให้รู้สึกได้ว่าเจ้าอัศวินเกราะดำไม่ได้อยู่ในบริเวณนี้อีกแล้ว
ทัตกับพิมเลยถอนหายใจออกมาอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่ได้นัดหมาย
“เกือบไปแล้ว เป็นคนดีให้มันน้อย ๆ หน่อยเถอะ” แล้วพอมีโอกาสให้ส่งเสียงพิมก็เริ่มดุทัตเป็นอย่างแรกเลย
“รู้แล้วน่า”
ทัตไม่มีทางเลือกก็เลยยอมรับสภาพ เพราะถ้าว่ากันตามเหตุผลแล้วล่ะก็ การเคลื่อนไหวเมื่อครู่มันก็ค่อนข้างจะสุ่มเสี่ยงจริงอย่างที่พิมกลัวนั่นแหล่ะ เขาก็เลยมีแต่ต้องเชื่อว่าการปล่อยคนพวกนั้นไปตามยถากรรมเป็นตัวเลือกที่สมควรทำแม้จะรู้สึกผิดอยู่ในใจก็ตาม
ทางพิมเห็นแบบนั้นแล้วก็รู้สึกกังวลอยู่ แต่ถ้าเพื่อให้ทัตปลอดภัยเธอได้ตัดสินใจไปแล้วว่าจะคอยเป็นลิมิตเตอร์ไม่ให้ทัตพาตัวเองไปเสี่ยงเกินควร แม้มันจะทำให้ทัตไม่พอใจเพราะขัดกับหลักการของเขาก็ตาม
พอสถานการณ์มันกลายเป็นแบบนี้พิมก็เลยทั้งรู้สึกผิดอยู่ครึ่งและโล่งอกไปอีกครึ่ง
“จะว่าไป ไอ้ตัวเมื่อกี้นี้คือ ‘Chivalry’ ใช่มะ?” พิมเอ่ยถามแบบสงสัยสุด ๆ เพราะเธอไม่มีสกิลวิเคราะห์ แต่พอทัตได้ยินคำถามนั้นเขาก็ยิ้มแห้ง ๆ
“ขอให้ใช่เถอะ… ถ้ามันเป็นแค่บอส ฉันก็ไม่อยากจะนึกเลยว่าไอ้ Chivalry ตัวจริงมันจะน่ากลัวขนาดไหน”
ทัตว่าแล้วก็ก้มหน้าให้กับความสะเพร่าของตัวเอง ถึงส่วนนึงจะเป็นเพราะแรงกดดันจากเจ้า Chivalry เลยทำให้ลนลานจนทุกอย่างออกมาผิดจากที่คิดไปหมดก็ตาม
นั่นรวมถึงการให้ความสนใจกับการหนีมากกว่าการตรวจสอบข้อมูลของมันด้วย
ให้ตายสิ… ไอ้ ‘จิตล่าสังหาร’ ของมันนี่จะว่าร้ายกาจก็ไม่ใช่แต่ออกไปในทางน่ารำคาญมากกว่า
พอไม่ได้อยู่ใต้ผลของมันถึงได้ทำให้รู้ว่าตัวเองลนลานขนาดไหน
แบบนี้ ถ้าเผชิญหน้ากับมันอีกจะตั้งสติยับยั้งผลของจิตล่าสังหารด้วยตัวเองได้ไหมนี่แหล่ะปัญหาแรก
เพราะถ้าทำอย่างนั้นไม่ได้ เราคงสู้เต็มที่ไม่ได้แน่
“ทัต… ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่าไงน่ะ? จะสู้กับมันเหรอ?” เห็นทัตทำสีหน้าตึงเครียดพิมก็เดาไปทางนั้นก่อนเลย และสำหรับเธอมันคือโชคร้ายหากเป็นการคาดเดาที่ถูกต้อง
“ช่วยไม่ได้หรอก ก็เราไม่มีทางเลือกนี่นา”
“ทำไมจะไม่มีล่ะ!”
“ชู่ว”
พิมหลุดตะโกนออกมาแทบจะทันทีที่ทัตตอบสิ่งที่คิดออกมาอย่างซื่อตรง หนนี้ต้องขอบคุณทัตที่ปิดปากเธอได้ทันก่อนที่จะดังไปกว่านี้
แต่ถ้าพิมหยุดแค่นั้นมันก็คงดี
“คิดอะไรของนายอยู่เนี่ย?” และแน่นอน พิมไม่ดีใจแน่ที่มันกลายเป็นแบบนั้น แต่ทัตกลับยังคงนิ่งเงียบยิ่งทำให้พิมรู้สึกหงุดหงิด
“ไม่เห็นเหรอว่าการโจมตีของนายทำอะไรมันไม่ได้เลยน่ะ แล้วจะไปสู้กับมันได้ยังไง?”
ยิ่งเห็นทัตไม่หวั่นไหวเธอยิ่งกังวลและพยายามใช้เหตุผลให้เขาเข้าใจ เพราะมันเหมือนกับว่าคำพูดของเธอส่งไปไม่ถึงเลยไม่ว่าจะในแง่ใดก็ตาม
แต่ที่จริงแล้วมันไม่ใช่อย่างนั้นเลย
“พิม… ฉันรู้ว่าเธอเป็นห่วง แล้วก็รู้อยู่แก่ใจด้วยว่ามันไม่ง่าย” น้ำเสียงนิ่งสงบในประโยคถัดมาของทัตคือสิ่งยืนยันว่าเขาเข้าใจสิ่งที่พิมต้องการจะสื่อ
ทว่าแม้จะเข้าใจ… ก็ไม่ได้หมายความว่าจะยอมรับได้
“แต่… เราจะมัวหยุดอยู่กับที่ไม่ได้หรอกนะ” หนนี้จึงเป็นฝ่ายทัตที่ยืนยันเสียงแข็ง
“เธอก็รู้ว่าถ้าเราไม่แข็งแกร่งขึ้นมากกว่านี้ ไอ้พวกพยัคฆ์ฟ้า ปลอกแขนแดงหรือพวกอื่นมันก็จะตามเรามาติด ๆ แล้วเรื่องแบบที่โรงพยาบาลมันก็จะเกิดขึ้นอีกนะ”
ทัตพูดถึงเรื่องนั้นไหล่ของพิมก็กระตุกอย่างแรงในทันทีเพราะไม่ใช่แค่ทัตที่เจ็บปวดกับเหตุการณ์นั้น
พิมเองก็รู้สึกทรมานจิตใจไม่ต่างกันเมื่อนึกย้อนเห็นภาพที่ฝ้ายจมกองเลือด ยิ่งไม่อยากจินตนาการหากเรื่องนั้นมันเกิดขึ้นอีกครั้ง
…หรือแย่กว่าคือเรื่องนั้นมันเกิดขึ้นกับทัตแทน
และเพราะทัตเองก็รู้สึกอย่างเดียวกัน เขาถึงยืนยันความคิดตัวเองผ่านสายตาอันมั่นคงไร้การสั่นไหวใด ๆ แก่พิม การตัดสินใจนี้จะไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้อีกคือสิ่งที่บ่งบอกผ่านสีหน้าดวงตาของเขา
“เฮ้อ… ทำไมถึงต้องเป็นแบบนี้ทุกทีด้วยนะ” อาจเพราะตระหนักถึงเรื่องนั้นพิมเลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมแพ้
“แล้วมีแผนยังไงล่ะทีนี้?”
พอคิดได้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะแย้งเธอก็เปลี่ยนมาสนับสนุนอย่างรวดเร็ว
ความสามารถในการอ่านสถานการณ์ของเธอยังคงน่าชื่นชมไม่เปลี่ยนและทัตเองก็รู้สึกโล่งใจที่มีพิมอยู่ด้วย
“ขอบคุณนะ”
“…พอเถอะย่ะ ไม่ต้องพูดเลย”
และทันทีที่ถูกทัตเอ่ยด้วยรอยยิ้มแก้มของเธอก็แดงระเรื่อขึ้นมาตามเคย เรื่องที่ว่าทั้งหมดที่พิมทำไปเป็นการเพิ่มตัวเลือกให้ทัตเพื่อทำให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุดสำหรับทั้งสองคนคงชัดเจนแล้ว
ความชัดเจนนั่นทำให้ทัตโล่งใจ แต่ก็ต้องกลับมาคิดต่อว่าจะเอายังไงกับเจ้า Chivalry ตัวนี้ดี
เอายังไงต่อดีนะ…
ฝ้ายกับคนอื่น ๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปต่างจังหวัดซะอีก… จังหวะเลวร้ายชะมัดเลย
“ขอกำลังเสริมดีไหม?” ในระหว่างที่ทัตคิดหาวิธี พิมก็เสนอตัวเลือกแทรกเข้ามาตามเคย
“ไม่ดีกว่า… ตอนนี้ฉันเป็นคนที่แกร่งที่สุดในละแวกนี้แล้ว เอาคนอื่นมาสู้ก็เหมือนเอาพวกเขามาเป็นตัวล่อ มีแต่จะสูญเสียโดยไม่จำเป็นเท่านั้นแหล่ะ” ทัตบอกปัดในทันที ความคิดที่จะให้มีคนมาเสี่ยงชีวิตเพื่อตัวเองไม่มีอยู่ในหัวของเขา
“งั้นนี่คิดจะสู้กันแค่สองคนเหรอ?” พิมเอ่ยถามอีกครั้ง
“นี่เธอจะสู้ด้วยเหรอ?”
“ก็แหงสิยะ อย่ามาทำหน้าแปลกใจสิ คิดจะสู้คนเดียวรึไง?”
ทัตพูดไปเพราะเป็นห่วงและไม่อยากให้พิมเข้ามาเสี่ยงด้วย แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลตามเคย
“นายคนเดียวเอาไม่อยู่หรอก เห็นก็รู้ไม่ใช่เหรอ?”
“…ก็อาจใช่”
“ไม่ต้องมา ‘อาจ’ เลย ให้ตายสิ” ได้ยินแบบนั้นพิมก็กุมขมับ คิดว่าทัตช่างดื้อรั้นเสียจริงถึงจะรู้อยู่ว่าเป็นเพราะไม่อยากให้เธอเสี่ยงก็ตาม และคงเพราะแบบนั้นด้วยเธอถึงโกรธทัตได้ไม่เต็มที่
“งั้นก่อนอื่นพาฉันไปหาของมีคมมาใช้ก่อนดีกว่า”
“รู้แล้วน่า อย่าเพิ่งโกรธไปสิ”
แทนที่จะเถียงกันต่อ พิมเลยตัดบทเตรียมลุกขึ้นไปหาของที่จำเป็นเสีย
นี่จึงเป็นโอกาสดีให้ทัตใช้สกิลพรางตัวกับทั้งตัวเองและพิม เพราะถึงมอนสเตอร์ทั่วไปจะไม่เป็นอันตรายกับพวกทัตแล้ว แต่มันคงไม่สนุกแน่หากเสียงจากการต่อสู้กับพวกมันทำให้เจ้าอัศวินดำหันกลับมาสนใจพวกทัตก่อนที่พวกเขาจะมีอาวุธในมือ
จุดหมายแรกสำหรับพวกทัตจึงเป็นโซนขายของในห้างอย่างเครื่องครัว
ถ้าไม่นับทัตที่เป็น Fighter สำหรับพิมที่เป็นนักดาบนั้นอาวุธเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เพราะเป็นตัวกลางในการใช้สกิล
“แล้ว… ไม่มีอะไรดีกว่านี้รึไงน่ะ?” พิมถึงได้ทำหน้ามุ่ยบ่นอิดออดด้วยความที่มีแต่มีดทำครัวเป็นตัวเลือก
“ทนใช้ไปก่อนเถอะน่า คงหาดีสุดได้เท่านี้แหล่ะ” ได้ยินเสียงบ่นทัตก็ยิ้มแห้ง ถึงอยากจะหาของดีกว่านี้ให้พิมใช้ แต่มีดหั่นปลาแซลมอนนี่คงดีสุดเท่าที่หาได้แล้ว
“…ก็ช่วยไม่ได้จริง ๆ นั่นแหล่ะ”
พิมเองก็บ่นไปงั้น แล้วก็หยิบมีดชั่วคราวขึ้นมาลองถือให้ถนัดมืออย่างว่าง่ายตามเคย
“เอามานี่สิ เดี๋ยวเสริมแกร่งให้”
“โอ๊ะ? ขอบคุณนะ”
แค่มีดธรรมดาคงไม่ได้มีพลังอะไรมากมาย เผลอ ๆ มันจะหักเอาง่าย ๆ แค่กระแทกกับพื้นคอนกรีตเสียด้วยซ้ำ
แต่แน่นอนว่านั่นเป็นในกรณีที่ทัตไม่ได้ใช้สกิล ‘เสริมแกร่ง’ ให้
โดยพื้นฐานแล้ว อาวุธทุกชนิดส่วนใหญ่ซี่งมักจะมีเลเวลอุปกรณ์เป็น 0 นั้นจะมีค่าสเตตัสความสามารถทางกาย (หมายรวมถึงความคมและความแข็ง) อยู่ที่ประมาณ 5-10 แต้ม
อย่างดาบคาตานะที่พิมไม่ได้เอามาด้วยเองก็อยู่ที่ 8 แต้มซึ่งถือว่าแข็งแกร่งเอาเรื่อง
แต่ถ้าได้รับการตีบวกจากสกิลเสริมแกร่ง มันก็จะแข็งแกร่งขึ้นไปอีกหลายระดับเพราะ 1 เลเวลที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ความสามารถทางกายเพิ่มขึ้น 10 แต้ม
ทัตในตอนนี้ที่มีสกิลเสริมแกร่งเลเวล 10 จึงทำให้มีดหั่นเนื้อแซลม่อนของพิมมีความแข็งแกร่งอยู่ที่ 106 แต้ม
“เอ้านี่ มีดหั่นแซลมอนที่คมที่สุดในโลก”
“ว้าว ขอบคุณอีกรอบนะ!”
พิมรับมาแล้วก็ยิ้มแป้น คิดไปแล้วก็น่ากลัวหน่อย ๆ ที่สาวน้อยน่ารักตรงหน้ารู้สึกดีใจเมื่อได้รับของขวัญเป็นของมีคม
ว่าก็ว่าเถอะ… ถึงจะเสริมแกร่งอาวุธจนพลังทำลายอยู่ในระดับที่ดีที่สุดแล้วก็เถอะ
แต่เรื่องที่น่ากังวลก็ยังมีเรื่องของเซฟตี้ด้วย
พูดอีกอย่างก็คือถ้ามีชุดเกราะป้องกันซะหน่อยคงอุ่นใจกว่าไปสู้ตัวเปล่า ๆ แบบนี้แหล่ะนะ
ถึงจะมีเวทเกราะที่สร้างชุดเกราะเวทคลุมตัวได้ แต่ยังไงมันก็ยังไม่แกร่งเท่ากับชุดเกราะที่ได้รับการเสริมแกร่งแถมยังสบายใจไม่เท่ากันด้วย
แต่จะไปหาชุดเกราะมาใส่ตอนนี้มันก็…
ไม่สิ… อาจจะไม่ต้องทำแบบนั้นก็ได้
“!!!!?”
ในระหว่างที่คิดหาวิธีเพิ่มโอกาสรอด เสียงดังอันไม่น่าพิสมัยก็ดังขึ้นอีกครั้งที่ชั้นล่างของห้าง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นของใครอื่นนอกจากเจ้าอัศวินดำ
ตอนนี้พวกทัตอยู่ชั้น 3 จึงห่างพอให้สบายใจได้
แต่ก็แค่ตอนนี้เท่านั้น… โดยฟังจากระยะห่างของเสียงที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะอยู่คนละระดับความสูง
แค่บังเอิญเหรอ? หรือว่ามันสามารถติดตามเป้าหมายได้โดยไม่สนใจผลของสกิลพรางกาย
ทัตกังวลแบบนั้น คิดว่าไม่เสียหลายที่ระวังเรื่องนั้นไว้ก่อนเพราะยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมัน
แต่ก่อนหน้านั้นมีเรื่องที่ต้องรีบไปทำก่อน
“รีบไปหาของป้องกันใส่ก่อนเถอะ”
“อื้ม! เข้าใจแล้ว”
หลังพิมตอบกลับ ทั้งสองก็รีบมุ่งไปตรงส่วนที่ขายของสำหรับเดินป่าหรือตั้งแคมป์ คิดว่าสินค้าที่อยู่ในประเภทนี้น่าจะมีอุปกรณ์เซฟตี้ร่างกายในระดับนึง
เรื่องความแข็งแกร่งนั้นสามารถทดแทนได้ด้วยสกิลเสริมแกร่ง สิ่งที่พวกทัตต้องการจึงเป็นอุปกรณ์ที่สวมทับปิดข้อต่อต่าง ๆ ได้มากกว่าจะเน้นเรื่องวัสดุความคงทน
“จะว่าไป สกิล ‘เสริมแกร่ง’ เนี่ยมันใช้กับเสื้อผ้าได้ด้วยนะ” พอสวมครบชุดกันทั้งสองคน ทัตก็เกริ่นขึ้นมาเพื่อจะบอกให้รู้ว่าเขาจะใช้มันกับพิม
“จริงเหรอ? แบบนั้นก็เยี่ยมเลยสิ”
พิมได้ยินแล้วก็ดีใจน่าดู ซึ่งก็แน่อยู่แล้วเพราะมันหมายความว่าความปลอดภัยและโอกาสชนะจะมีสูงขึ้น
แต่นั่นก็ทำให้ทัตสงสัยอยู่เหมือนกันในตอนที่พิมหันหน้ามาแล้วกางแขนเป็นรูปตัว T
“เอ้า!”
“มาเอ้าอะไรล่ะ! ข้างหลังสิแม่คุณ มาให้จับอะไรด้านหน้าล่ะ”
“เห…”
ทัตแย้งขึ้นมาพิมก็ยิ้มกรุ้มกริ่มกลับ คิดว่าเวลาแบบนี้ยังจะมาหยอกแกล้งกันอีก
การที่เธอพยายามยื่นตัว (โดยเฉพาะหน้าอก) เข้ามาหาทำให้หวั่นไหวก็จริงอยู่ แต่นั่นก็เป็นเหตุผลเดียวกับที่ทัตต้องอ้อมไปข้างหลังแล้วรีบทำกิจให้เสร็จ ๆ ไปด้วย
“…คนขี้ขลาด”
ได้ยินเสียงกระซิบนั้นหลุดมาจากลำคอของพิมเบา ๆ พร้อมกับการทำแก้มป่องของเจ้าตัว แต่ทัตก็ต้องทำเป็นไม่สนใจไปก่อนแล้วรีบใช้สกิลเสริมแกร่งกับอุปกรณ์รวมถึงเสื้อผ้าทุกชิ้น วิธีการนั้นง่ายดายเพียงแค่แตะสิ่งที่ต้องการเสริมพลัง
เมื่อเสร็จแล้วก็ต่อด้วยการทำแบบเดียวกันกับตัวเอง การเตรียมการก็เป็นอันเสร็จสิ้น
“ไปกันเถอะ”
“มู่ว… รู้แล้วน่า”
พิมรู้สึกไม่พอใจนิดหน่อยด้วยเหตุผลที่ต้องละไว้ในฐานที่เข้าใจ
“ฟังจากเสียง คิดว่าน่าจะอยู่แถว ๆ หลังห้างแล้ว” ทัตคาดเดาเรื่องศัตรู พิมเองก็พยักหน้าเห็นด้วยโดยไม่แย้งอะไร
“แต่ถ้าลงไปเจอทางบันไดทันที ทางหนีเราจะถูกจำกัดวงนะ อ้อมไปลงที่บันไดอื่นแล้วค่อยวนมาหามันดีกว่า”
“ความคิดดี”
พิมเสนอเรื่องที่เข้าทีทำให้ทัตยอมรับเพราะกำลังคิดแบบเดียวกัน
จริงของเธอที่การลงบันไดไปเจอกับมันตรง ๆ จะเป็นการบีบให้ทัตกับพิมเคลื่อนไหวได้แค่ขึ้นกับลง แต่เรื่องนั้นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเจ้าอัศวินเกราะดำมันสัมผัสตัวตนของทัตกับพิมได้แม้จะมีสกิลพรางกาย
…และที่พิมเสนอวิธีการนี้ ก็เป็นไปได้ว่าพิมเองก็กำลังคิดแบบเดียวกันกับทัต
ทั้งสองคนจึงไม่ลดการระวังลงในขณะที่เดินผ่านไปยังบันไดด้านหน้าของห้าง
มีมอนสเตอร์อยู่ตามรายทางไม่มากและทั้งหมดก็ไม่ได้สนใจตัวตนของทัตกับพิม
กระทั่งเดินมาจนถึงมุมร้านแห่งหนึ่งก่อนจะพ้นทางเดิน โดยมีเป้าหมายอย่างมอนสเตอร์อัศวินเกราะยักษ์สีดำอยู่ห่างไปไม่ไกล
“มันอยู่นั่น” ทัตให้สัญญาณ
สำหรับเรื่องที่รู้อยู่แล้ว คำพูดของเขาคงจะมีความหมายไปในทางให้เตรียมพร้อมมากกว่า
พิมที่เข้าใจเรื่องนั้นถึงกระชับมีดยาวในมือแล้วพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่เจ้าอัศวินเกราะดำ
ในขณะที่ทัตนั้นได้มีโอกาสใช้สกิล ‘วิเคราะห์’ กับมันเป็นครั้งแรกเสียที
อัศวินทมิฬแห่งศาสตร์โซ่ตรวน (LV-105)
ประเภท : Chivalry
คลาส: Fighter
ความสามารถทางกาย: 210
ความเชี่ยวชาญคลาส : 210
สกิล: ทักษะจู่โจม (Fighter) , ทักษะตั้งรับ (Fighter) , ศิลปะการป้องกันตัว (Fighter) , เสริมพลังกาย , ซิกส์เซนส์ , ประกาศิตนายบ่าว , จิตล่าสังหาร
เวทมนตร์: –
จุดอ่อน : ???
สเตตัสสูงมาก แถมยังเป็นคลาส Fighter เหมือนกันกับเราด้วย
มีสกิลทั้งหมดของคลาสนั้น ๆ อย่างที่เคยได้ยินมาจากฝ้ายเลย
แถมนอกจากนั้นก็ยังมีสกิล ‘ประกาศิตนายบ่าว’ กับ ‘จิตล่าสังหาร’ ที่เป็นสกิลของอาวุธด้วย
ว่าไปก็สมเหตุสมผล แต่มันทำให้งานยากขึ้นเนี่ยสิ
ถึงจะมีจุดที่โล่งใจได้บ้างตรงที่มันใช้เวทมนตร์ไม่ได้ แต่จุดอ่อนของมันเป็นสิ่งที่เราอ่านไม่ออกเลย
สงสัยเลเวลของสกิลวิเคราะห์จะไม่สูงพอสินะ
แต่ก็ช่างเถอะ… เรื่องนั้นคิดหาวิธีเอาเองก็ได้
“เอาล่ะ… ทีนี้ปัญหาก็คือจะโจมตีมันยังไงในเมื่อเกราะมันแข็งจนเวทมนตร์เจาะไม่เข้าแบบนั้น” ทัตกลับมาพินิจพิเคราะห์
อย่างน้อยนั่นก็สำคัญกว่าการบุกเข้าไปแบบไร้แผน โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ทัตไม่รู้จุดอ่อนของศัตรู
รวมถึงที่พูดแบบนั้นออกมา เพราะคาดหวังว่าพิมอาจมีความคิดอะไรดี ๆ ที่เขาไม่มีอยู่ก็ได้
“เดี๋ยวนะ” และใช่… เธอมีแผนอย่างที่ทัตคาดหวังไว้ไม่มีผิด
“ชุดเกราะเหล็กน่ะเป็นชุดที่สวมสำหรับเคลื่อนไหวใช่ไหมล่ะ เพราะงั้นตรงข้อพับระหว่างจุดที่ใช้ป้องกันต่าง ๆ จะต้องมีการเว้นไว้ให้พับขยับได้ ดังนั้นตรงข้อพับจะต้องมีช่องว่างให้โจมตีเข้าไปข้างในแน่นอน”
พิมว่าแบบนั้นทำให้ทัตสังเกตบริเวณดังกล่าวตามที่พิมแนะนำ
ลำคอ ข้อพับแขน รักแร้ ขาหนีบและข้อพับขา… บริเวณทั้งหมดที่พิมว่าไม่มีเหล็กสีดำทมิฬเป็นส่วนประกอบแต่แทนที่ด้วยเกราะโซ่ (Chain Mail) แทน
ซึ่งแม้มันจะดูแข็งและเหนียวทนทาน แต่คิดว่ายังไงก็คงไม่แข็งไปกว่าตัวเกราะแน่
“สมแล้วล่ะนะ”
“เฮะเฮะ ของมันแน่อยู่แล้ว คิดว่าฉันเป็นใครกันล่ะ”
ทัตเห็นทางชนะแล้วก็พอจะยิ้มออกได้บ้าง และแน่นอนว่ามันทำให้พิมอวดเบ่งขึ้นมาเลยทีเดียว
“ระวังหน่อยสิ กำลังจะเริ่มสู้อยู่แล้วนะ” เห็นแบบนั้นทัตก็เลยต้องเตือนกันเสียหน่อย
“…เข้าใจแล้วน่า ไม่เห็นต้องดุเลย”
“ไม่ได้ดุซะหน่อย กำลังจริงจังต่างหาก”
เห็นพิมทำหน้ามุ่ยไปเล็กน้อยทำเอาทัตเป็นห่วงอยู่ แต่หลังจากนั้นเธอก็ปรับเป็นสีหน้าและบรรยากาศที่จริงจังได้ในทันที
ไม่รู้ว่าบนโลกนี้จะมีผู้หญิงเปลี่ยนอารมณ์ได้เร็วและเด็ดขาดขนาดนี้อยู่กี่คน ทัตถึงรู้สึกโชคดีมากที่มีความมั่นคงของพิมอยู่เคียงกาย
ยิ่งสำหรับสถานการณ์ในตอนนี้
“เอาล่ะนะ”
ทัตยื่นมือออกไปจากมุมของผนังที่ซ่อนอยู่ก่อนจะกระซิบให้สัญญาณโดยมีพิมพยักหน้ารับอยู่ใกล้ ๆ
ซุ่ม!!!
พร้อมกับที่ร่ายหอกเพลิงอาบสายฟ้า แล้วจัดการปล่อยให้มันพุ่งเข้าใส่หลังคอของอัศวินดำในทันทีที่ได้จังหวะ
“!!!?”
แต่แล้วก็เป็นอีกครั้งที่อัศวินดำแสดงให้เห็นถึงประสาทสัมผัสอันเฉียบคมของตัวเอง
จากที่หันหลังให้ทัตที่ยิงเวทใส่ จู่ ๆ มันก็หันกลับมาแล้วใช้มือที่มีโซ่พันแขนเหวี่ยงหลังแหวนจนหอกเพลิงสายฟ้าสลายหายไปเหมือนปัดฝุ่น มันง่ายดายขนาดนั้น
แถมนอกจากนั้น… ใต้หน้ากากเหล็กของมันก็ยังมีแสงสีแดงสองจุดสะท้อนออกมาในจังหวะเดียวกันสร้างความหวาดหวั่นให้ทั้งสองคนอีกครั้ง
แล้วในอีกพริบตาถัดมา มันก็ถีบพื้นพุ่งเข้ามายังจุดที่ทัตกับพิมอยู่เสียอย่างนั้น
“แย่แล้ว! สกิลพรางกายใช้ไม่ได้ผลจริง ๆ ด้วย!”
พิมตะโกนเรียกสติทัตทันทีที่มันถีบพื้น พอเป็นเรื่องปฏิกิริยาตอบโต้แล้วพิมค่อนข้างมีสูงกว่าทัตเป็นทุนเดิม
แต่สำหรับวิธีการรับมือ ทัตมีค่อนข้างเหนือกว่า
ทัตที่รู้ว่าไม่มีที่ปลอดภัยเหลือนอกจากการกำจัดมันจึงถีบพื้นร่นระยะเข้าหามันเป็นการพุ่งเข้าหากันและกันแทน
นั่นสร้างความตกใจให้พิมเป็นอย่างมากจนหัวใจเธอหล่นลงไปอยู่ตาตุ่ม แต่ก็รีบถีบพื้นตามทัตไปติด ๆ
ในขณะที่ทัตซึ่งเข้าประชิดตัวมันได้ ก็จัดการอาบหมัดตัวเองด้วยเวทเพลิงและสายฟ้า อาบเท้าสองข้างด้วยเวทสายฟ้า รวมถึงเกราะสายฟ้าอาบทั่วร่าง แล้วถีบพื้นพุ่งเข้าใส่กลางลำตัวของมันก่อนที่จะออกหมัดใส่มันในจังหวะเดียวกับที่มันอัดหมัดยักษ์เข้าใส่
ตู้ม!!!
เสียงกระแทกระหว่างการโจมตีด้วยหมัดของทั้งคู่ราวระเบิดกัมปนาท แรงสะท้อนส่งไปรอบ ๆ จนกระจกของร้านค้าต่าง ๆ แตกเป็นเสี่ยง
“อึก!?”
“ทัต!!!”
ไม่เว้นแม้แต่ทัตที่ถูกหมัดของมันอัดใส่ก็ยังลอยกระเด็นไปกระแทกเข้ากับผนังร้านค้าจนทะลุเข้าไปข้างใน
“หนอย…” พิมเห็นแบบนั้นก็ต้องหยุดเท้าที่วิ่งเข้าไปหามันก่อน เธอถึงกับกัดฟันกรอดด้วยอารมณ์โกรธจัด
แต่แทนที่จะวิ่งเข้าไปหาทัตในร้านค้า เธอกลับวิ่งเข้าไปเผชิญหน้ากับเจ้าอัศวินดำอีกครั้งเพราะค่อนข้างมั่นใจว่าทัตจะปลอดภัยกว่าหากเธอดึงความสนใจมันไว้กับตัวเธอเอง
“เข้ามาสิยะ!”
พิมตะโกนหลอกล่อพร้อมกับตวัดดาบสร้างคลื่นเปลวเพลิงกระแทกใส่มันจากระยะไกล เธอค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นการเสี่ยงมากหากเล่นกับมันในระยะประชิด
ทว่าน่าเสียดาย ที่นั่นไม่ใช่สิ่งเดียวที่มันทำได้
“พิม! ถอยออกมา!”
“!!!?”
มีเสียงตะโกนของทัตมาจากในตัวร้านจังหวะเดียวกับที่เจ้าอัศวินดำเริ่มเหวี่ยงแขนขวา
พริบตานั้นโซ่ที่พันแขนของมันอยู่ก็ถูกคลายออกแล้วถูกเหวี่ยงเข้ามาทางพิมโดยมีคมขวานรูปทรงคล้ายตราโพธิ์แดงเป็นตัวถ่วงน้ำหนัก
ตู้ม!!!!
พริบตานั้นโซ่เหล็กก็จัดการกวาดพื้นที่ทั้งหมดเหมือนใช้เชือกขึงคมตัดผ่านทุกสิ่งจนราบเป็นหน้ากลอง
และถ้าพิมไม่ขยับในจังหวะเดียวกับที่ทัตตะโกนเตือน เธอก็อาจจะโดนโซ่ยักษ์นั่นกระแทกเอาจนบาดเจ็บสาหัสหรือเลวร้ายกว่าไปแล้วก็ได้
พอไม่ได้เป็นแบบนั้นจึงค่อนข้างโล่งอกสำหรับทัตมากทีเดียว
กะแล้วเชียวว่าโซ่นั่นต้องเป็นอาวุธ แต่ไม่ดีใจเลยสักนิดที่คิดถูก
เพราะการเหวี่ยงโซ่โจมตีมันอ่านการเคลื่อนไหวได้ยาก แถมปลายโซ่ยังมีคมขวานโคตรอันตรายติดอยู่อีกด้วย
และข่าวร้ายอย่างที่สองคือมันมีอาวุธนี้ทั้งสองมือ
เวรจริง ๆ…
ทัตสบถในใจไม่พักด้วยความหงุดหงิด แต่นั่นก็เพราะสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยในชัยชนะ
“ไม่บาดเจ็บใช่ไหม?” ทัตเอ่ยถามหลังเดินออกมาจากร้านที่พังยับในสภาพเปรอะเปื้อน
“ฉันไม่เป็นไรหรอก นายต่างหากล่ะเป็นอะไรรึเปล่า?”
“…น่าแปลกใจเหมือนกันที่มันไม่แรงอย่างที่คิด”
เป็นฝ่ายพิมที่คอตกแสดงสีหน้ากังวลเพราะทัต แม้เขาจะไม่ได้เป็นอะไรมากอย่างที่คิดก็ตาม
บางครั้งเธอก็แอบคิดว่าทัตควรจะให้ความสนใจกับตัวเองให้ถูกสถานการณ์หน่อย ไม่ใช่เห็นแก่เธอตลอดแบบนี้
“แต่ว่าอย่าเพิ่งวางใจ… ที่การโจมตีไม่รุนแรงคงเป็นเพราะมันโจมตีแบบมือเปล่ามากกว่า”
“…นั่นสินะ”
พิมหันมาสนใจคำพูดของทัตมากกว่าความคิดตัวเองก่อนพยักหน้ารับทราบ และอย่างน้อยพิมก็ได้เห็นความต่างระหว่างการใช้หมัดธรรมดากับใช้โซ่โจมตีในระยะประชิดมาแล้ว
แต่จุดที่น่ากังวลอีกอย่าง คือการที่ยังไม่รู้สึกเลยว่ามันเอาจริง… เห็นได้จากที่อัศวินดำมันกำลังจดจ้องมาที่ทัตและตัวเธอเอง ความพยายามเล็งหาช่องว่างของพวกทัตมันชัดเจนจนออกอาการผ่านท่าทาง
เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้รีบร้อนที่จะปิดฉากเลย ถ้าหากมันไม่ได้กำลังดูถูกทั้งสองคนอยู่ก็แสดงว่ามันรอบคอบเอาเรื่อง
“ถ้ามันเป็นฝ่ายอ่านการเคลื่อนไหวของเราได้ก่อนล่ะแย่แน่”
“เห็นด้วยเลย ดูท่าทางมันจะฉลาดกว่าที่เห็นนี่นะ”
ทั้งสองเห็นพ้องต้องกันในเรื่องนั้นจึงรีบตั้งท่าเตรียมจะเริ่มจู่โจมระลอกสองทันที
แม้โซ่พวกนั้นจะค่อนข้างเป็นปัญหาที่ยังแก้ไม่ตก แต่คงน่ากังวลมากกว่าถ้าปล่อยให้มันอาละวาดต่อไปโดยที่ไม่สร้างความเสียหายให้มันบ้างเลย
“งั้นคราวนี้ต้องโจมตีพร้อมกัน ระวังตัวด้วยนะ”
“นายเองก็เหมือนกัน”
ทัตให้สัญญาณพิมที่พยักหน้ารับอยู่ข้าง ๆ
พริบตานั้นเวทสายฟ้าก็อาบร่างของทั้งสองคนรวมถึงที่เท้า เสริมความเร็วการเคลื่อนที่และพลังป้องกันจากเกราะเวทขึ้นจนถึงขีดสุด
ตู้ม!!!
ทัตกับพิมถีบพื้นแยกกันแล้วพุ่งเข้าใส่อัศวินดำจากคนละทิศ
ทั้งสองคนง้างมือไปข้างหลังแล้วจัดการฟันและอัดหมัดใส่ที่ขาทั้งสองข้างในเวลาเดียวกัน ทว่าเจ้าอัศวินดำกลับถอยหลบไปข้างหลังได้ก่อน แม้จะมีขนาดตัวที่ใหญ่กว่าพวกทัตถึง 2 เท่าตัวแต่ความคล่องตัวกลับสูงกว่าอย่างสวนทาง
เท่านั้นไม่พอ มันยังคลายโซ่ออกแล้วเหวี่ยงทุ่มลงพื้นใส่ทั้งทัตและพิมในจังหวะเดียวกันด้วย แต่ทัตกับพิมที่จ้องมันอยู่ตลอดไม่พลาดโอกาสที่จะหลบแน่ ทั้งสองถึงถีบพื้นออกไปด้านข้างแล้วพุ่งเข้าหามันอีกครั้ง
หนนี้ทั้งสองคนอ้อมไปด้านหลังของมัน คิดตรงกันว่าจะเล็งข้อพับขาของมันเพื่อทำให้เสียหลัก
แต่ดูเหมือนมันจะเดาเป้าหมายของทัตกับพิมออก มันจึงกระทืบเท้าสร้างแรงกระแทกไปรอบ ๆ ชะลอจังหวะให้ทัตกับพิมไม่กล้าเข้ามาใกล้
แต่ทั้งสองคนไม่ยอมแค่นั้น พอได้จังหวะจึงถีบพื้นเข้าหาอีกครั้ง
ทว่าในพริบตาเดียวกัน เจ้าอัศวินดำก็หมุนตัวเหวี่ยงโซ่ทั้งสองด้วยความเร็วยังกับไซโคลนจนพื้นชั้นสองและชั้นสามถล่มลงมา โซ่ทั้งสองก็พันม้วนขดเกลียวราวกับพายุสร้างลมกรรโชกให้ทัตกับพิมกระเด็นออกมาอีกรอบ
“เวรเอ้ย! ลูกเล่นจะเยอะไปไหนวะเนี่ย” ทัตเห็นแบบนั้นก็ถึงกับสบถด้วยความหงุดหงิด
“มันจะมาแล้วทัต!”
พิมตะโกนเตือนในจังหวะที่มันเลิกหมุนตัวแล้วพุ่งเข้ามาหาทัต พริบตานั้นทัตรู้สึกได้เลยว่าร่างกายสั่นสะท้านไปด้วยความกลัว
“ฉันจะล่อมันไว้ให้เอง!” แต่รอบนี้ไม่ได้ทำให้จิตใจของเขาตกอยู่ในสถานะที่เกินการควบคุม
หนนี้ทัตมีสติมากพอจะฉวยโอกาสดึงความสนใจมันเอาไว้ จึงจัดการอาบหมัดทั้งสองข้างด้วยเพลิงและพยายามชะลอการเคลื่อนไหวของมันด้วยการสร้างกำแพงดินขึ้นถึง 4 ชั้นไม่ให้มันเข้าหาได้ง่าย ๆ
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
แต่ทั้งหมดก็ถูกมันใช้ไหล่วิ่งอัดกระแทกจนแหลกเป็นชิ้นอย่างไร้ความหมาย ตอนนี้ทัตได้รับการยืนยันกับตาแล้วว่าการป้องกันเป็นของไร้ประโยชน์ต่อหน้ามอนสเตอร์ตัวนี้
…และเพราะแบบนั้นการหลอกล่อให้มันสนใจด้วยกำแพงและตัวทัตเองจึงได้ผลชะงัด
ฉั๊ว!!!
ในจังหวะที่มันพุ่งเข้าหาทัตและถูกกำแพงบดบัง เป็นจังหวะดีให้พิมเข้าไปแล้วจัดการวาดดาบฟันเข้าใส่ข้อพับขาขวาของมันจนชะงักไป
“เยี่ยม!” พิมกำหมัดแน่นด้วยความดีใจ แต่ก็ไม่ลืมถีบพื้นเว้นระยะห่างออกไปก่อน
การเคลื่อนไหวของมันโดยเฉพาะขาขวาชะงักไปทันที เห็นได้ชัดเลยว่ามันได้ผลจริงอย่างที่พิมสันนิษฐานเอาไว้
ถึงแบบนั้นมันก็ไม่ได้เสียหลักหน้าทิ่มพื้นอย่างที่ควรเป็น มันยังเหลือจังหวะจะเงื้อมือขึ้นทุบใส่ทัตด้วย เขาจึงรีบกระโดดหลบออกจากจุดที่ยืนอยู่ทันที
“หา!!!?”
แต่มือที่กำลังจะทุบใส่พื้นก็หยุดชะงักลงแล้วเปลี่ยนทิศทางมาหลังแหวนใส่ทัตเสียอย่างนั้น ความเร็วในการเปลี่ยนทิศทางนั่นไม่ใช่สิ่งที่จะคิดกะทันหันได้เลย
“อึก!”
“พิม!?”
โชคดีที่จังหวะนั้นพิมกระโดดเข้ามาแล้วใช้ดาบเหวี่ยงหมัดของมันออกไปก่อน ไม่อย่างนั้นทัตก็คงจะโดนการโจมตีนั้นเข้าเต็ม ๆ แล้ว
แต่มันก็ยังไม่ยอมหยุดเท่านั้น เพราะมีการโจมตีจากหมัดอีกข้างพุ่งเข้าใส่พิมไม่ให้พักให้ผ่อน หนนี้เป็นทัตที่รีบพุ่งเข้าไปคว้าตัวหิ้วเอวพิมไว้แล้วสร้างกำแพงอากาศเป็นพื้นเหยียบถีบถอยออกไปได้เป็นผลสำเร็จ
หลังปล่อยพิมลงพื้นทั้งสองคนก็หายใจหอบใหญ่ เพราะเห็นแล้วว่าแค่การสร้างบาดแผลเล็ก ๆ ให้มันยังไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แถมการโจมตีแต่ละจังหวะยังอันตรายถึงตายได้หากตัดสินใจพลาดแม้แต่เพียงครั้งเดียว
“เห็นเมื่อกี้ไหม?” ทัตเอ่ยถามอย่างหวาด ๆ สำหรับจังหวะที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
“อื้ม… มันโจมตีหลอกเป็นด้วย”
พิมเห็นพ้องว่าเป็นอย่างเดียวกัน และนั่นยิ่งเพิ่มความยากให้กับศึกนี้เข้าไปใหญ่
แต่ว่า…
“แต่ว่า… จุดอ่อนของมันได้ผลอย่างที่เธอคิดจริงด้วยนะ”
“ใช่ไหมล่ะ ฉันนี่มันสุดยอดจริง ๆ เลย ชักจะกลัวตัวเองแล้วสิ”
ถูกทัตชมแน่นอนว่ามันทำให้พิมรู้สึกดีใจมาก แต่ก็ยิ้มได้ไม่เต็มที่เท่าไหร่ในสถานการณ์แบบนี้
เพราะนั่นหมายความว่า การจะเอาชนะเจ้าอัศวินดำตัวนี้ให้ได้แน่นอนและปลอดภัยที่สุด จำเป็นต้องทำแบบเดียวกับเมื่อกี้อีก 3 ครั้งสำหรับขาอีกข้างและแขนที่เหลือของมันอีกสองข้างถึงจะปลอดภัยมากพอให้ปิดฉาก
ซึ่งแม้จะเป็นเรื่องยาก มันก็ยังดีกว่าปิดตาคลำทางในห้องมืดเหมือนกับก่อนหน้านี้
เพราะแม้จะเล็กน้อย แต่พอได้เห็นวิธีการเอาชนะที่แน่นอนเข้า สถานการณ์ในตอนนี้ถึงเริ่มจะเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงขึ้นมาแล้ว
แต่… ถ้านั่นเป็นอุปสรรคเดียวที่พวกเขาต้องเผชิญมันก็คงจะดี
ตู้ม!!!!!!!
“ “!!!!?” ”
กระทั่งเสียงระเบิดได้ดังขึ้นอีกครั้งจากด้านหลังของตัวห้าง ซึ่งห่างออกไปไม่ถึงร้อยเมตร
ทัตกับพิมตั้งใจจะหันไปมองแล้วรีบหันกลับมาให้ความสนใจกับอัศวินดำเหมือนเดิม เพราะยังไงภัยคุกคามที่อันตรายที่สุดก็คือมัน
…แต่ทั้งสองกลับไม่สามารถละสายตาที่เหลียวไปมองกลุ่มก้อนควันนั้นได้
“โกหก… ใช่ไหมเนี่ย”
พิมถึงกับหลุดเสียงสั่นไม่เชื่อสายตาตัวเอง แต่นั่นไม่ใช่ปฏิกิริยาที่เกินจริง
เพราะทันทีที่ควันจางลง… สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงนั้น คืออัศวินชุดเกราะสีดำอีกตัว
มันอยู่ในรูปลักษณ์ของชุดเกราะซามูไรสีดำสนิทพร้อมดวงตาสีแดงโลหิตสะท้อนออกมาจากหมวกเกราะโบราณ
และที่น่าพรั่นพรึงที่สุด คือดาบคาตานะสองเล่มที่สะพายหลังอยู่และกำลังถูกชักออกจากฝักอย่างช้า ๆ พร้อมหันคมมาทางทัตกับพิม
เป็นไปไม่ได้… ทัตคิดและหวังอย่างนั้น และมีความหวังว่าหากใช้สกิลวิเคราะห์กับมันผลลัพธ์จะเป็นอย่างอื่น
อัศวินทมิฬแห่งศาสตร์โรนิน (LV-108)
ประเภท : Chivalry
คลาส: Knight
ความสามารถทางกาย: 216
ความเชี่ยวชาญคลาส : 216
สกิล: ทักษะจู่โจม (Knight) , ทักษะตั้งรับ (Knight) , ศิลปะการป้องกันตัว (Knight) , เสริมพลังกาย , ซิกส์เซนส์ , ประกาศิตนายบ่าว , จิตล่าสังหาร
เวทมนตร์: –
จุดอ่อน : ???
แต่ผลลัพธ์ที่แสดงออกมา ไม่ได้เป็นอะไรมากกว่าการตอกย้ำความจริงอันโหดร้าย
ล้อเล่นรึไงวะเนี่ย!? ไอ้พวกนี้มันลอยมาจากไหนกันแน่
ยังกับพวกนี้มันเล็งพวกเราอยู่จากทุกที่เลย! จะดวงซวยไปถึงไหนกันวะเนี่ย!?
หรือไม่งั้น… ก็มีใครบางคนสร้างสถานการณ์นี้ขึ้นมางั้นเหรอ!!!?
ทัตเหงื่อตกกับความไร้เหตุผลที่เกิดขึ้น มีเหงื่อเย็นผุดขึ้นที่หลังเป็นจำนวนมากพอ ๆ กับความหวาดกลัวที่ทวีคูณขึ้นในจิตใจ หากไม่คิดแบบนั้นก็คงเป็นการยากที่จะยอมรับความจริง
และเป็นการยากยิ่งกว่าที่จะต้องยอมรับความสิ้นหวังตรงหน้า