แกร่งสุดด้วยอาชีพผสาน ในโลกที่มีมอนสเตอร์ออกมากินคนยามค่ำคืน - ตอนที่ 36 ต่อให้ตาย ก็ต้องจัดการมันให
- Home
- แกร่งสุดด้วยอาชีพผสาน ในโลกที่มีมอนสเตอร์ออกมากินคนยามค่ำคืน
- ตอนที่ 36 ต่อให้ตาย ก็ต้องจัดการมันให
เวรเอ้ย… จะจัดการมันยังไงดีทีนี้!
ทัตกัดฟันครุ่นคิดอย่างหนัก พยายามลืมความเจ็บปวดที่เสียเท้าขวาไปโดยฝีมือของศัตรูอย่างอัศวินเกราะดำร่างมหึมาที่อยู่เบื้องหน้า
แม้แผลจะถูกปิดด้วยการสร้างเวทดินปิดทับแล้วสร้างเท้าจำลองขึ้นมา แต่บอกเลยว่าความเจ็บปวดไม่ได้หายไปไหน
สถานการณ์ตอนนี้กลับสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง
ไม่ว่าจะเป็นเพราะโชคชะตาหรือมีคนกำหนดไว้… ทั้งทัตและอัศวินเกราะทมิฬก็กลับมาเผชิญหน้ากันแบบตัวต่อตัวอย่างที่ควรจะเป็นตั้งแต่ราตรีได้เริ่มขึ้น
มันปลดโซ่ที่พันแขนออก ทิ้งคมขวานที่ติดปลายโซ่ลงกับพื้นจนแตกส่งเสียงดังไปทุกทิศ
มันเริ่มเดินเข้ามาหาทัตโดยไม่รอให้เขามีจังหวะตั้งตัว เสียงโซ่และขวานดังครูดพื้นเสียดกรีดหูทำเอาขนลุกขนพองไปทั้งตัว
แต่ทัตก็รู้อยู่… ว่าจะยอมให้มันข่มแบบนี้ฝ่ายเดียวไม่ได้
แถมเขาเองก็เปิดใช้ไม้ตายก้นหีบอย่างสกิลเสริมพลังกายและเสริมพลังเวททั้งหมดแล้วด้วย นั่นทำให้ทัตอยู่ในสภาพที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้แล้ว
แต่ปัญหาก็คือ ด้วยเลเวลสกิลของเขาในปัจจุบันทำให้สามารถคงสภาพนี้ได้แค่ 2 นาทีเท่านั้น
และเมื่อผลของสกิลหมดลง กว่าจะใช้งานได้อีกครั้งก็ต้องรออีก 3 นาที 15 วินาทีเลยทีเดียว ซึ่งสำหรับทัตในตอนนี้ เขารู้ตัวดีว่าไม่มีโอกาสรอดในสถานการณ์แบบนั้นแน่
ไม่มีเวลาให้คิดแล้ว!
ทัตตัดสินใจได้เช่นนั้น ไม่สิ… ถูกสถานการณ์บีบให้ตัดสินใจแบบนั้นจึงตั้งท่าเตรียมจู่โจมในทันที
ทว่าเจ้าอัศวินเกราะทมิฬเองก็ทำแบบเดียวกันด้วย จากที่เดินเข้ามาหาช้า ๆ มันถึงตั้งท่าเตรียมวิ่งพุ่งเข้าใส่
“ไม่ยอมหรอก!”
ทัตเล็งเห็นจังหวะนั้นเป็นช่องว่างจึงชิงถีบพื้นร่นระยะเข้าหาอีกฝ่ายเสียก่อนจะได้ทันเคลื่อนไหว
แต่ยังช้าไป… แขนของมันเหวี่ยงได้ไวพอกันจึงง้างเข้าใส่ในจังหวะเดียวกับที่ทัตเข้าประชิดตัว
หมัดของทัตอัดเข้าใส่หมวกเกราะของมันเต็มแรงจนเกิดเสียงดังลั่น แต่ทัตเองก็ถูกหมัดเหล็กของมันอัดเข้าใส่สีข้างพร้อมกัน
แรงกระแทกจากอีกฝ่ายทำให้ทั้งสองคนกระเด็นแยกออกไปคนละทิศ แต่ทางทัตนั้นดูจะหนักหน่อยเพราะถึงกับกระอักเลือดออกมาจากปากเว้นเสียแต่ไม่ถึงกับทำให้เขาล้มลงไปกับพื้น
ทัตยังยืนทรงตัวอยู่ได้จึงสบกับร่างที่กำลังยืนเซของอัศวินเกราะทมิฬ
หมัดของเราได้ผลสินะ
น่าโล่งใจไม่น้อยที่หมวกเกราะของมันยุบลงด้วยแรงหมัดของเขา แต่ยังไม่น่าเบาใจเพราะไม่อาจปิดฉากมันลงได้อย่างที่ตั้งใจ
เหลือเวลาอีกแค่นาทีเศษจนกว่าผลของสกิลจะหมดลง
ขืนพุ่งเข้าไปแบบเมื่อกี้ เราคงจะเสียโอกาสโจมตีไปเพราะถูกโต้กลับแน่
ถ้าเสียเวลาไปแม้แต่วินาทีเดียว นั่นคือโอกาสโค่นมันจะลดลงไปหนึ่งครั้งหรือมากกว่า
เราต้อง… เล็งจังหวะให้ดีกว่านี้!!!
เมื่อเหลือเพียงทางเลือกเดียว ทัตจึงถีบพื้นร่นระยะเข้าหาอีกฝั่งด้วยความรีบร้อน มันกลับตอบสนองได้ไวกว่าด้วยการเหวี่ยงโซ่กวาดทั้งบริเวณอีกครั้ง
แต่ทัตหาได้สนใจไม่! เขายังคงพุ่งเข้าใส่โดยเบี่ยงตัวหลบผ่านช่องว่างเล็กน้อยเข้าไปลงหมัดที่ขาขวาของมัน
“หา!?” แต่ในจังหวะนั้นมันกลับก้าวเท้าหลบออกไปข้างหลังราวกับอ่านการเคลื่อนไหวของทัตออกเสียอย่างนั้น
“อุก!!!?”
เรื่องแย่กว่าคือมันใช้แรงนั้นส่งผ่านขาอีกข้างเป็นแรงเหวี่ยงเตะเข้าใส่ทัตเต็มแรงจนเขากระเด็นออกมาอีกครั้ง
เวรเอ้ย… มันอ่านการเคลื่อนไหวของเราได้หมดเลย!?
แม้รู้แบบนั้นแต่ทัตก็หนีออกไปตั้งหลักไม่ได้… ถอยไม่ได้อีกแล้ว
เวลาตอนนี้เหลือไม่ถึงหนึ่งนาทีแล้วที่จะสามารถสู้ได้อย่างทัดเทียมกับมัน… หากไม่รีบจู่โจมมันตอนนี้เขาจะแพ้ จะตาย
และพิมที่กำลังถ่วงเวลาให้เขาก็จะตายไปด้วย นั่นเป็นเรื่องที่เขาไม่มีวันยอมให้เกิดขึ้นเด็ดขาด
“ไม่… ยอมหรอกโว้ย!!!!”
รู้แบบนั้นมีหรือเขาจะทนหลีกออกไปตั้งหลักได้
ทัตสละความเยือกเย็นทิ้งไปพร้อมกับเศษดินที่ติดรองเท้าในจังหวะที่ถีบพื้นเข้าหาอัศวินเกราะทมิฬอีกครั้ง เขายิงเวทเพลิงล้วนเข้าใส่มันอย่างต่อเนื่องด้วยจำนวนทั้งหมดที่มี แต่นั่นใกล้เคียงกับคำว่าก่อกวนมากกว่าจะสร้างความเสียหายได้
ไร้ประโยชน์จริง! ทัตสบถ แต่ความจริงก็ไม่ได้แย่แบบนั้นเสียทีเดียว เพราะถึงเวทยิงจะไม่รุนแรงพอให้ทำลายมันแต่ก็ยังมากพอที่จะดึงความสนใจของมันได้
ทัตอาศัยจังหวะนั้นฉวยโอกาสต่อยเข้าไปที่สีข้างของมันจนเซ แต่ก็ต้องแลกกับหมัดขวาของมันที่พุ่งเฉียดไหล่ซ้ายจนเกิดแผลถลอก เป็นจังหวะเดียวกับที่หมัดซ้ายของมันชักกลับเข้าหาตัวพร้อมกับขวานปลายโซ่พุ่งเข้าหาทัตจากด้านหลัง
เจ้าเล่ห์ชะมัด… ทัตไม่สงสัยในเรื่องที่มันหวังโจมตีเขาจากจุดบอด แต่เขาก็รู้ตัวก่อนและพุ่งผ่านหว่างขาของมันไปข้างหลัง จัดการต่อยเข้าไปที่ขาพับขวาของมันจนเสียหลักคุกเข่าลงกับพื้น ขวานติดปลายโซ่ที่พุ่งเข้ามาก็กระแทกลงพื้นในจังหวะนั้น
“อั๊ก!?”
แต่ดีใจได้ไม่นานเท่าไหร่ เจ้าอัศวินเกราะทมิฬมันก็เหวี่ยงแขนซ้ายหลังแหวนใส่ทัตจนเขากระเด็นไปไกลอีกครั้ง มุมแข็ง ๆ ของถุงมือเหล็กเข้าที่ลิ้นปี่ของทัตเต็ม ๆ จนรู้สึกจุกไปหมด
แล้วชั่วพริบตาหลุดโฟกัสไปเพียงจังหวะเดียวนั้นเองที่กลับกลายเป็นจุดตัดสิน
ทัตรับรู้ได้ด้วยสกิลซิกส์เซนส์ว่าอันตรายกำลังจะมาถึงจึงใช้มือยันพื้นตีลังกากระโดดหลบไปด้านหลัง
พริบตาถัดมา พื้นที่เคยอยู่ก็ถูกกระแทกด้วยคมขวานเหวี่ยงลงกระแทกพื้นจนดังสนั่นลั่นทุ่งอย่างที่สกิลได้แจ้งเตือน
แต่ไม่ใช่แค่นั้น… เจ้าอัศวินเกราะทมิฬมันถีบพื้นร่นระยะเข้ามายังจุดที่ทัตกำลังจะลงพื้นในทันทีที่เขากระโดดหลบออกไป
เห็นได้ชัดว่ามันรอจังหวะนี้ ทัตถึงอยู่ในระยะหมัดของมันเรียบร้อย
“อั๊ก!!!”
และในพริบตาที่รู้ว่าสายเกินไป หมัดยักษ์ของมันก็พุ่งเข้าใส่ร่างกายฝั่งขวาของทัตเข้าอย่างจังและเต็มแรง ความเจ็บปวดที่ส่งผ่านตั้งแต่ไหล่ไปจนถึงปลายนิ้วและปลายเท้าราวกับกระดูกทุกชิ้นส่งเสียงลั่นกรีดร้องแหลกละเอียด
พร้อม ๆ กับที่ถูกแรงกระแทกอัดกระเด็นกระดอนไปกับพื้นหลายตลบ แล้วสุดท้ายก็กระแทกเข้าไปในตัวห้าง
ยะ แย่แล้ว… หมัดของมันโคตรแรงเลย
เขาเริ่มกระอักเลือด แต่หลังจากนั้นสติกลับเริ่มเลือนลาง
ชิบหายของจริง
จะหมดสติแล้ว
ไม่ได้… ยังไม่ใช่… ตอนนี้…
ถ้าสลบตอนนี้จะแพ้… ตาย…
ฝ้าย…
…พิม———
❖❖❖❖❖
การเชื่อมโยงของความทรงจำนั้นน่าพิศวงเสมอ เพียงแค่หนึ่งชิ้นส่วนจากหนึ่งประสาทสัมผัสที่รับเข้ามาก็พร้อมจะปลุกความทรงจำที่สอดคล้องกันขึ้นมาได้
เช่นการถูก Chivalry มอนสเตอร์ซ้อนแผนการโจมตีจนตกอยู่ในสภาพปางตาย
ความทรงจำในตอนที่พูดถึงเรื่องเดียวกันนี้จึงได้ย้อนกลับเข้ามาในหัวก่อนที่สติจะหายไป
เป็นความทรงจำเมื่อหลายวันก่อนช่วงระหว่างเหตุการณ์จันทร์เต็มดวงอันยาวนานหนึ่งสัปดาห์นั่น
นั่นคือช่วงที่กำลังนั่งกินมื้อกลางวันร่วมกับพิมและฝ้ายในห้องทำงานของเธอ
“Chivalry มันน่ากลัวขนาดไหนงั้นเหรอคะ?”
ฝ้ายเอียงคอสงสัยในขณะที่นั่งร่วมโต๊ะทานมื้อเที่ยง การทวนคำถามทำให้มือที่ตักข้าวพลอยหยุดลงไปด้วย
“ก็เห็นทุกคนทำท่ากลัวกันขนาดนั้นเลยนี่นา เลยอยากจะรู้ไว้ก่อนไง ใช่มะทัต?” พิมสะกิดทัตที่นั่งฝั่งซ้าย เหมือนถามความเห็น
“…รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งใช่ไหมล่ะ” ทัตไม่มีทางเลือกอื่นก็เลยตามน้ำอย่างว่าง่าย แต่ลึก ๆ แล้วก็อยากรู้เหมือนกัน
“พูดเหมือนจะเตรียมตัวไปบวกเลยนะคะนั่น”
การเลือกใช้คำมีผล อย่างน้อยก็ทำให้ฝ้ายแหงนมองทัตด้วยสายตาที่หรี่ลงเกินครึ่งนึง อันเกิดจากความสงสัยว่าทัตหมายความตามที่พูดจริงไหม
กำลังโกรธเหรอเนี่ย? ทัตสบสายตานั่นแล้วก็เผลอกลืนน้ำลาย ได้แต่คิดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าทำไมสองสาวถึงต้องมานั่งขนาบข้างเขาจนไม่มีที่ให้หนีด้วย
ซึ่งพอคิดว่ามันเปล่าประโยชน์ที่จะแย้งเรื่องนั้น เขาก็เลยมีแต่ต้องยอมรับสายตานั่นตรง ๆ
“แค่อยากรู้ไว้ก่อนเฉย ๆ น่า พี่ไม่เสี่ยงเอาตัวเข้าไปแลกทั้งที่ไม่มีโอกาสชนะหรอก” ทัตตอบข้อสงสัยของฝ้ายเพื่อให้เธอสบายใจ
เพราะทั้งทัตและพิมต่างรู้กันอยู่ว่าฝ้ายเป็นห่วงเขาแค่ไหน แต่นั่นก็ดูเหมือนข้อแก้ตัวเต็มทีฝ้ายถึงยังจ้องเขาด้วยสายตาแบบเดิมอยู่อีก
“…เอาเถอะค่ะ หนูจะยอมเชื่อไปก่อนก็ได้”
ฝ้ายว่าแบบนั้นเหมือนเลี่ยงไม่ได้ ทำให้ทัตพอจะกลับมาหายใจได้โล่งอกโล่งคอบ้าง
…ถึงในความเป็นจริง ทั้งพิมและฝ้ายจะรู้อยู่แก่ใจก็เถอะว่าทัตต้องเลือกเผชิญหน้ากับมันแน่
อาจเพราะตระหนักเรื่องนั้นอยู่ลึก ๆ ฝ้ายถึงเลือกที่จะให้ข้อมูลกับทัตแทน
“นั่นสินะคะ ถ้าถามว่าน่ากลัวขนาดไหน…” ฝ้ายย้อนกลับมาที่คำถามแรก เธอกอดอกใช้เวลาครุ่นคิดเบา ๆ ก่อนตอบคำถาม
“พี่ทัตเคยเล่นเกมแนว Souls-like ไหมคะ?”
“ก็เคยลองเล่นอยู่ แต่หัวร้อนก็เลยเลิกเล่นกลางคันน่ะ”
“อะไรล่ะนั่น?”
พิมเอียงคอสงสัยอยู่คนเดียว เลยเป็นธุระของทัตที่เธอเพิ่งกระชากแขนเสื้อเร่งเร้าอธิบาย
“แบบเข้าใจง่าย ๆ เลยคือมันเป็นเกมที่ยากโคตร… ที่น่าปวดหัวคือการเคลื่อนไหวของบอสในเกมที่ยากแก่การคาดเดานี่แหล่ะ ทั้งหลากหลายแล้วก็ซับซ้อน ยากมากที่จะเอาชนะมันได้ในครั้งเดียว ฉันตายไปตั้งหลายสิบรอบกว่าจะเอาชนะบอสแต่ละตัวได้”
“หืม…”
ทัตพูดแล้วก็ถอนหายใจ พิมเองก็สังเกตเห็นความหน่ายใจของเขาได้ชัดเจน ทัตน่าจะหงุดหงิดไม่น้อยเลยเมื่อนึกถึงเรื่องนี้
“ตามนั้นแหล่ะค่ะ… โดยปกติพวกเราก็ล่ามอนสเตอร์กันด้วยความระมัดระวังอยู่แล้ว แต่กับเจ้า Chivalry ถึงจะระวังแค่ไหน มันก็มีลูกล่อลูกชนจนแทบจะต้องใช้ดวงในการเอาชนะเลยค่ะ” ฝ้ายกล่าวเสริมด้วยสีหน้าตึงเครียด
เทียบกับปกติที่ทำหน้านิ่งไร้อารมณ์ นี่เป็นจุดที่แสดงให้เห็นถึงความจริงจังของเนื้อหามากทีเดียว
และสำหรับเรื่องนั้น ทัตเองก็รู้สึกอย่างเดียวกัน
“ในเกมถึงเราจะตาย โอกาสแก้ตัวก็ยังมีอยู่เรื่อย ๆ แต่ในความเป็นจริง ถ้าเราตายก็คือจบทันที นั่นแหล่ะคือความยากล่ะ”
“อืม… ถ้ากลับไปได้ฉันคงต้องลองเล่นดูเองสินะเนี่ยถึงจะรู้”
แม้ได้ทัตย้ำเสริมแต่พิมเองก็ยังนึกภาพไม่ออก เธอคิดว่าจุดสำคัญคือความรู้สึกที่ได้เผชิญหน้ากับสถานการณ์ดังกล่าวแม้เป็นเพียงการจำลองในเกม
“แต่ถ้ามันยากขนาดนั้น แล้วน้องฝ้ายเอาชนะมันได้ยังไงล่ะ?”
ในที่สุดพิมก็เกิดข้อสงสัยถึงเอี้ยวตัวผ่านทัตมาถามฝ้ายที่อยู่ถัดไป
แต่เรื่องนั้นทัตเองก็สงสัยมาตลอดเหมือนกัน เพราะยิ่งฝ้ายสาธยายให้ฟังมากเข้าวิธีเอาชนะที่ทัตกับพิมคิดไว้ในหัวก็มีแต่จะหายไปทีละข้อทีละทางจนจวนจะหมด
ทั้งทัตและพิมถึงได้จ้องฝ้ายตาเป็นมันหวังเค้นคำตอบ ทำเอาคุณหนูคนนี้ที่ตัวน้อยอยู่แล้วลีบเล็กลงอีกด้วยความประหม่า
แต่เจ้าตัวก็รีบกระแอมปรับจังหวะและอารมณ์ตัวเองเสียใหม่
“อะแฮ่ม! อาจจะดูอวดดีไปหน่อยก็เถอะนะคะ จากประสบการณ์ของหนูแล้วการโจมตีที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือจังหวะที่อีกฝ่ายกำลังมีช่องโหว่ และจังหวะที่มีช่องโหว่ที่สุดคือจังหวะที่กำลังจะปิดฉากค่ะ”
“ไม่ดูอวดดีหรอก ก็เธอเอาตัวรอดมาได้ตั้งหลายปีนี่นา” ทัตยิ้มแห้งตอบ เพราะเห็นอยู่ว่าฝ้ายไม่มีความลังเลในการตอบคำถามของตัวเอง
“อารมณ์เหมือนตอนที่อีกฝ่ายกำลังจะคิดว่า ‘ชนะแล้ว!’ อะไรประมาณนั้นสินะ” ในขณะที่พิมแตะนิ้วครุ่นคิดจินตนาการภาพตาม ถึงที่พูดจะดูเหมือนการ์ตูนไปหน่อยแต่ก็สอดคล้องกับที่จะสื่อ ฝ้ายจึงพยักหน้ารับตามทันที
“ใช่เลยค่ะ พูดง่าย ๆ ก็คือเล็งจังหวะโต้กลับแทนที่จะไปโจมตีอีกฝ่ายก่อนนั่นเองค่ะ” ฝ้ายกล่าวเสริม
แต่ดูเหมือนนั่นจะไม่ใช่ทั้งหมดที่อยากพูด ฝ้ายจึงยังไม่เลื่อนสายตากลับไปที่มื้อกลางวันของตัวเองและยังมองมาที่ทัตอยู่
“แต่ถึงจะพยายามหลบการโจมตีของมัน… สกิลอัตโนมัติพวกนี้ก็ไว้ใจไม่ได้เท่ากับตัวของเราเองหรอกนะคะ”
“หมายความว่าไงเหรอ?” ทัตถามย้ำด้วยความสนใจ เช่นเดียวกับพิมที่พยักหน้ารับงก ๆ ด้วยความสงสัยทำให้ฝ้ายจำต้องขยายประเด็น
“จากประสบการณ์… มีคนที่ตายเพราะสกิลอย่างซิกส์เซนส์เยอะเลยล่ะคะ ถึงมันจะเป็นสกิลที่ช่วยชีวิตเราไว้หลายต่อหลายครั้งเหมือนกันก็เถอะ แต่เนื่องจากมันจะทำงานในตอนที่มีอันตรายเข้าหาในจังหวะแรกเท่านั้น แล้วถ้าเกิดการโจมตีนั้นหวังผลสองอย่างคือเป็นการโจมตีปิดฉากหรือมีการโจมตีครั้งที่สองซ้อนอยู่ล่ะ? ถ้าเกิดมันเป็นแบบนั้นเราก็จะหลงกลมันเต็ม ๆ เลยใช่ไหมล่ะคะ?”
สมมติให้การโจมตีแรกมีความรุนแรงพอจะปิดฉากได้แต่ก็ยังมีแผนซ้อนไว้ด้วยการโจมตีที่สองเป็นตัวเผื่อเลือก หากพึ่งแต่สกิลที่ทำงานอัตโนมัติคงจะโดนหลอกเข้าเต็มเปาแน่
…หรือถ้าเหนือชั้นไปอีกคือมีการโจมตีครั้งที่สามรออยู่ และถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็บอกลาชัยชนะได้เลย
ทัตกับพิมจึงเริ่มคิดตามที่ฝ้ายเล่า นั่นเริ่มจะทำให้พวกเขากังวลจนเหงื่อตก
แต่พิมเป็นคนเดียวที่เริ่มขมวดคิ้วเข้าด้วยกัน
“มอนสเตอร์ที่ฉลาดขนาดนั้นมันมีด้วยเหรอเนี่ย”
“ ‘Chivalry’ คือตัวอย่างนึงนั่นแหล่ะค่ะ” ฝ้ายตอบกลับทันทีแบบไม่ต้องคิด กลายเป็นทัตอีกคนที่ต้องขมวดคิ้ว
“เหมือนหมากรุกที่ไม่ได้หวังผลแค่ตาเดินเดียว แต่มองไปถึงผลลัพธ์ตาต่อ ๆ ไปด้วยสินะ”
“ค่ะ เป็นเรื่องที่น่ากลัวที่สุดที่ไม่ควรจะมีอยู่เลยด้วยซ้ำ”
แต่มันก็มี… ฝ้ายพูดเสริมอย่างไม่เต็มใจ แต่ก็ต้องพูดเพราะมันเป็นความจริงที่เลี่ยงไม่ได้ หรืออย่างน้อยก็ไม่อยากจะลืมมันไป
…ถึงอันตรายของมอนสเตอร์ที่มีชื่อว่า ‘Chivalry’
“แต่การอ่านการเคลื่อนไหวของมันล่วงหน้าไม่ใช่ของที่คิดจะทำก็ทำได้ หนูถึงได้บอกว่าพวกพี่ที่เพิ่งเกิดการตื่นมาไม่ถึงเดือนยังไม่พร้อมสู้กับ ‘Chivalry’ ยังไงล่ะคะ”
การอ่านการเคลื่อนไหวของศัตรู หลบเลี่ยง แล้วโต้กลับให้ถูกจังหวะเป็นสิ่งที่มือใหม่ทำไม่ได้
แม้แต่คนที่มีประสบการณ์มาหลายปี หรือต่อให้เป็นคนที่เคยโค่นมันมาแล้วอย่างฝ้ายเองก็ยังเป็นเรื่องยาก เธอถึงเตือนด้วยความกังวลเสียขนาดนั้นทั้งที่มีอุปนิสัยมั่นใจในตัวเองสูง
ปฏิกิริยานี้น่าจะชัดเจนพอแล้วถึงความอันตรายของ ‘Chivalry’ จากผู้มีประสบการณ์ตรงอย่างฝ้าย
“ฉันจะจำที่เธอพูดไว้หน่อยแล้วกันนะ” ทัตจึงรู้สึกว่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมเชื่อ แม้คนที่เสนอแนะอย่างฝ้ายกลับไม่ได้รู้สึกว่าทัตจะยอมทำตามเลย
“ต้องจำให้แม่นเลยต่างหากล่ะคะ!” เธอถึงย้ำอีกหนพร้อมกับทำแก้มป่อง แต่กลับน่ารักน่าชังเหมือนแฮมสเตอร์น้อยตัวเล็ก ๆ แบบนี้มีหรือทัตจะกลัว
น้องเรานี่น่ารักชะมัดเลยแฮะ… ทัตเกือบจะหลุดปากพูดแบบนั้นออกไป ในเวลาที่จริงจังแบบนี้ใครเห็นก็รู้ว่าเป็นเรื่องเสียมารยาท
“คร้าบ ๆ รู้อยู่แล้วล่ะ”
แต่สุดท้ายทัตก็ลูบหัวฝ้ายเป็นการแสดงออกว่าหลงความน่ารักนั่นไปแล้วอยู่ดี
แล้วนั่นก็ทำให้พิมที่มองอยู่ใกล้ ๆ เริ่มทำแก้มป่องออกมาด้วยอารมณ์คนละอย่างไปแทน มื้ออาหารครั้งนั้นเลยไม่ได้จบอย่างสงบตามเคย
…นั่นคือเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายคืนก่อน เป็นความทรงจำอันน่าพิศวงที่แทรกเข้ามาพร้อมกับเสียงเหล็กย่ำเท้าหาทัตในสภาพอ่อนแรง
เริ่มจากเพียงหนึ่งชิ้นส่วนจากประสาทสัมผัสที่รับเข้ามาก็พร้อมจะปลุกความทรงจำที่สอดคล้องกันให้ตื่นขึ้นมา จะไม่เรียกความทรงจำว่าพิศวงอย่างไรได้
แต่ก็ด้วยการเชื่อมโยงของความทรงจำนั่นแล การเรียนรู้ของมนุษย์ถึงไม่มีวันสิ้นสุดตราบเท่าที่เป็นวินาทีสุดท้ายของชีวิต
ความทรงจำในอดีตอันเป็นชิ้นส่วนสำคัญจึงอาจลอดเข้ามาในจังหวะความเป็นความตายได้เช่นกัน
ดังเช่นตอนนี้…
น่าสมเพชจริง… เพิ่งมานึกออกอะไรเอาตอนนี้เนี่ย
ทัตสบถในใจด้วยความหงุดหงิด สติที่เลือนรางถูกรักษาไว้ด้วยความทรงจำที่ผุดขึ้นมานั่นจึงต้องขอบคุณมันอยู่ไม่น้อย
เพราะไม่ได้เกิดจากการพร่ำเพ้อ ไม่ใช่จากความถวิลหาอำลา ไม่ใช่ความคิดคำนึงก่อนตาย
แต่เป็นความหวังอันริบหรี่… ความเป็นไปได้ที่จะเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ก่อนที่จะสายเกินไป
เกือบจะสายเกินแก้ไปแล้ว…
ไม่สิ… เกือบสาย…
ก็แปลว่ายังไม่สายเกินไปนั่นแหล่ะ!
เรี่ยวแรงที่เหลือถูกแบ่งไปให้กับการครองสติ ร่างกายฝั่งซ้ายเป็นอย่างเดียวที่เหลือพอจะออกแรงได้เต็มที่ แต่นั่นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อทัตเมินความเจ็บปวดของร่างกายซีกขวาที่มีสภาพใกล้เคียงกับการแหลกละเอียด ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
แต่ไม่… ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว เสียงย่ำเท้าของมันเข้ามาอย่างช้า ๆ ทำให้ทัตไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกัดฟันทน
โชคดีของทัตคือมันไม่มีท่าทีรีบร้อนอะไรอีกแล้วในการเข้ามาจู่โจม ราวกับแค่เดินเข้ามาเพื่อซ้ำทัตให้ตายสนิทเท่านั้น
แต่… ความไว้วางใจนั่นแหล่ะคือข้อผิดพลาดของมัน
นั่นแหล่ะ… แบบนั้นแหล่ะ…
ทัตหายใจโรยริน พยายามใช้ลมหายใจประคองสติในขณะที่มันย่ำเท้าร่นระยะเข้ามา
เข้ามา… ยังจุดที่เขาตั้งใจไว้
ฟุ่บ!
เพียงสองก้าวเท่านั้นก่อนที่มันจะถึงตัวทัต พื้นดินบริเวณใกล้เคียงจู่ ๆ ก็มีเสาดินงอกขึ้นสองต้นพุ่งเข้าหาเท้าของเจ้าอัศวินเกราะทมิฬจากทางด้านหลัง
มันกลับตอบสนองในทันทีด้วยการหันหลังกลับพร้อมสร้างแรงเหวี่ยงใช้หลังมือปัดทำลายเสาดินที่พุ่งเข้ามาจนแหลกละเอียด
ทว่าพริบตาถัดมา หอกเพลิงก็ปรากฏขึ้นด้านหลังแล้วพุ่งเข้าใส่ขาพับของมันอย่างจงใจ แต่เจ้าอัศวินเกราะทมิฬก็ฉลาดเกินกว่าจะยอมโดนลูกล่อเล่นงานเข้า มันถึงพลิกตัวกลับมาพร้อมหลังแหวนอัดใส่หอกเพลิงและหวังกวาดทัตที่นอนอยู่ตรงนั้นไปด้วยกันจนเกิดเสียงระเบิดจากการทุบพื้นดังลั่น
ส่งผลให้ควันคลุ้งไปทั่วบริเวณจากการโจมตีของมัน
“!!!?”
แต่ก่อนที่ฝุ่นจะจางลง หอกเพลิงก็พุ่งเข้าใส่มันอีกครั้งที่กลางลำตัวทำเอาเซถลา
มันเองคงไม่อยากเชื่อว่าควันที่เกิดขึ้นจากการทุบพื้นของมันจะกลายเป็นสิ่งพรางตาตัวมันเอง
และที่ยิ่งกว่า… คือมันคงไม่อยากเชื่อว่าทัตจะรอดไปจากการโจมตีของมันก่อนหน้านี้ได้
ซึ่งถ้ามันมีความรู้สึกสงสัยและหยุดฉุกคิดเสียหน่อยทัตคงจะรู้สึกขอบคุณอยู่
แต่เจ้าเครื่องจักรสังหารไม่ได้เป็นอย่างนั้น… มันถึงเหวี่ยงโซ่ติดคมขวานไปรอบ ๆ ทันทีที่รู้ว่าทัตยังไม่ตาย สร้างความเสียหายเป็นบริเวณกว้างอีกครั้งทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทัตอยู่ในรัศมีการโจมตีของตัวเองรึเปล่า
แบบนั้นแหล่ะ… อาละวาดต่อไปแบบนั้นแหล่ะ
โดยไม่รู้ว่าทัตได้ออกไปซ่อนในจุดที่ห่างออกไปหลังผนังห้างซึ่งพังทลายไปบางส่วน จึงไม่ใช่จุดที่ไกลเกินจนสังเกตศัตรูไม่ได้
ถึงแบบนั้นสิ่งที่ทัตทำได้ในตอนนี้ก็มีจำกัดเพราะอาการบาดเจ็บ เขาจึงไม่สามารถเคลื่อนไหวอะไรที่ซับซ้อนได้
แต่ก็ใช่ว่าจะทำอะไรมันไม่ได้เลย… การหลอกล่อเมื่อครู่ได้ทำให้ทัตเข้าใจเรื่องนั้น
ก็อยากจะพักอยู่หรอก แต่ว่า…
ตู้ม!
ความคิดของทัตยังไม่ทันสิ้นสุดดี เสียงระเบิดก็ดังมาจากบริเวณในตัวห้าง เดาได้ไม่ยากว่าเป็นจุดที่พิมกำลังเผชิญหน้ากับเจ้าอัศวินเกราะทมิฬตัวใช้ดาบ ตัวเลือกที่จะพักจึงถูกปัดตกไปทันที เหลือแต่เพียงการโค่นศัตรูให้เร็วที่สุดเพื่อไปช่วยพิม
วิธีการในอุดมคติคือพักร่างกายเสียหน่อยให้มันฟื้นฟูมากพอจะไปอัดศัตรูแบบหมัดต่อหมัดได้ แต่นั่นอาจแลกกับชีวิตของพิมที่กำลังยื้อเวลาอีกตัวอยู่
แต่ว่ากันตามตรง… ต่อให้ล้มเจ้าตัวนี้ได้ ทัตก็ไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าจะไปช่วยพิมไหว
หากแต่ทางเลือกไม่ได้อยู่ที่ทำได้หรือไม่ได้…
มีแต่ต้องทำสินะ!
ตระหนักเช่นนั้นทัตก็มีแต่ต้องไปต่อให้สุดทาง
ส่วนเจ้าอัศวินเกราะทมิฬยังเดินไปรอบ ๆ เพราะหาทัตไม่เจอ คงไม่มีจังหวะไหนเหมาะกับการลอบโจมตีไปมากกว่านี้อีกแล้ว
หอกเพลิงจึงพุ่งออกจากในตัวห้างเข้าใส่มันสองอัน แต่เพราะเป็นการจู่โจมซึ่งหน้ามันถึงปัดการโจมตีนั้นได้ทันที
ตู้ม!!!
เท่านั้นไม่พอ มันยังเหวี่ยงโซ่ติดคมขวานเข้าใส่จุดที่หอกเพลิงพุ่งออกมาอย่างแม่นยำจนผนังห้างที่เหลือเพียงครึ่งเดียวแหลกเป็นจุล ส่งผลให้พื้นข้างบนหล่นลงมาทับร่างของทัตที่อยู่ด้านล่างเข้าไปอีก เขาต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือตายคาที่อย่างไม่ต้องสงสัย
…หากแต่เป็นในกรณีที่ทัตอยู่ตรงนั้น
“!!!?”
จึงไม่น่าแปลกใจที่มันหันขวับในทันทีที่เห็นทัตพุ่งออกมาจากผนังที่ห่างออกไปแทนที่จะเป็นจุดที่โดนโจมตี
ไม่สิ… แทนที่จะบอกว่ามันแปลกใจ เรียกว่าพุ่งความสนใจเข้าหาน่าจะถูกกว่า
และที่น่ากลัว คือมันถีบพื้นวิ่งควบเข้ามาหาทัตในทันทีที่เห็น ราวกับกระทิงคลั่งอย่างไรอย่างนั้น
แต่การที่มันพุ่งความสนใจทั้งหมดมาที่ทัตก็เป็นเรื่องที่ดีอยู่
ตู้ม!!!
มันถึงไม่รู้ตัวเลยสักนิดเมื่อมีหอกเพลิงพุ่งเข้ากระแทกขาพับทั้งสองของมันจากด้านหลัง การโจมตีนั่นไม่รุนแรงพอจะเจาะเกราะก็จริง แต่ก็พอจะทำให้มันเสียจังหวะ
ซึ่งนั่นมากพอแล้วสำหรับซื้อเวลาให้ทัตร่นระยะเข้าประชิด
เขาง้างหมัดในทันทีที่เข้าถึงตัว เป้าหมายที่เล็งคือหัวเข่าขวาของมันหวังจะอัดใส่สุดแรงให้มันยืนไม่อยู่
แต่ในพริบตาที่จะต่อย มันก็ใช้ขาข้างเดียวกันเตะสวนเข้ามา
“!!!?”
ทว่ามันก็ต้องแปลกใจอีกครั้ง… มันต้องแปลกใจแน่ ๆ ถึงได้ชะงักไปพริบตานึง
เพราะทัตที่ง้างจะอัดเข่ากลับเบี่ยงตัวหลบได้โดยไม่เสียจังหวะแม้แต่น้อย
“แปลกใจรึไงไอ้เวร”
ทัตเยาะเย้ย ไม่สิ… รู้สึกหงุดหงิด ได้แต่คิดว่าช่างน่าโมโหที่ถูกตัวพรรค์นี้ดูถูกเอา
แต่แทนที่จะปล่อยตัวไปกับความโกรธเหมือนทุกที ความเยือกเย็นกลับแทรกเข้ามาในหัว
น่าประหลาด… ทัตคิดแบบนั้น นอกจากไม่เสียทีให้กับความโกรธยังไม่หลุดโฟกัสแล้วเดินหน้าตามแผนต่อไปโดยไม่เสียสมาธิ
เขาอาศัยจังหวะนั้นลอบเข้าไปข้างหลังของมันอีกครั้งก่อนจะออกหมัดขวาเตรียมโจมตีใส่ขาพับซ้ายมันอีกครั้ง
เจ้าอัศวินเกราะทมิฬเห็นแบบนั้นมีหรือจะยอม มันถึงยกขาข้างนั้นขึ้นหวังจะเตะทัตราวม้าพยศ
แต่ทัตก็หลบได้โดยไม่เสียจังหวะอีกครั้งยิ่งทำให้มันชะงักด้วยความแปลกใจเข้าไปใหญ่
ต้องขอบคุณ ‘The One’ ที่ทำให้สเตตัสของเราสูงมากแม้ในสภาพปกติ
ถ้าไม่ผลีผลามโจมตี ถึงเป็นเราในสภาพนี้ก็ยังหลบการโจมตีของมันได้
แต่นั่นก็แค่ในกรณีที่หลอกว่าจะโจมตีแล้วหลบการโจมตีไปเรื่อย ๆ เท่านั้น
ตอนนี้ยังเสี่ยงเกินไปที่จะโจมตีใส่มัน เพราะไม่รู้ว่ามันจะสวนกลับมาจังหวะไหน
คิดแล้วทัตก็ได้แต่ถีบพื้นถอยออกมาตั้งหลัก ถูกมันกดดันด้วยการวิ่งเข้ามาอีกครั้งเขาถึงต้องหลบไปข้าง ๆ
มันทุบหมัดลงมาทันทีที่เข้าถึง แน่นอนว่าทัตหลบได้ แต่สุดท้ายนั่นก็เป็นแค่การดักจึงตามมาด้วยโซ่ที่กวาดไปรอบ ๆ เป็นการโจมตีปิดฉาก
ทว่าทัตกลับหลบได้อีกครั้งเพราะคาดไว้อยู่แล้ว ไม่สิ… เข็ดหลาบไปแล้วว่าเจ้าเกราะทมิฬจะมีการโจมตีซ้อนจึงเตรียมหลบไว้อยู่ก่อนแล้วมากกว่า
ทัตทำทีเป็นโจมตีหลอกแล้วหลบหลีก
หรือเจ้า Chivalry โจมตีหลอกทัตก่อนตามด้วยการโจมตีซ้อนอีกครั้งและอีกครั้งโดยที่ทัตหลบได้
สถานการณ์ตอนนี้มีอยู่เพียงสองลักษณะสับเปลี่ยนไปไม่รู้จบ เจ้าอัศวินเกราะทมิฬแสนเจ้าเล่ห์มันคงคิดว่าจะทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าทัตจะหมดแรง เพราะขีดจำกัดนั้นไม่มีในมอนสเตอร์อย่างมัน
แต่ความคาดหวังของทัตไม่ใช่แบบนั้นแน่ เขาไม่มีวันยอมให้เป็นแบบนั้น
ทุกครั้งที่หลบ เขาก็จะพยายามจดจำรูปแบบการเคลื่อนไหวของมัน
ทุกครั้งที่มันเริ่มโจมตีก่อน เขาก็จะพยายามสังเกตการเปลี่ยนแปลงท่าทางของมันเพื่อหลบให้เร็วขึ้น เฉียบคมขึ้น แม่นยำขึ้น
ทัตยอมรับว่าตัวเองขาดประสบการณ์ ไม่มีมากเท่ากับฝ้ายหรือใครอื่นที่สู้รบมานานกว่าเขา นี่จึงเป็นวิธีเดียวที่จะลดช่องว่างนั้น
ทุกครั้งที่หลบทัตก็จะใช้หอกเพลิงยิงใส่มัน จุดที่เน้นคือหัวเข่าและข้อพับทั้งสองในทุกจังหวะที่มีโอกาส ต้องขอบคุณเลเวลสกิลเวทยิงที่ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาร่าย กิจนี้จึงสำเร็จได้ง่ายขึ้น สามารถใช้สมาธิที่เหลือไปกับการหลบหลีกอย่างเต็มประสิทธิภาพ
ตึง!
แล้วในที่สุดเข่าซ้ายของมันก็ทรุดลงกับพื้น
ทัตเกือบจะกำหมัดแน่นด้วยความดีใจ แต่ความเยือกเย็นก็เข้าครอบงำอีกครั้ง
เขาลอบเข้าไปข้างหลังของมัน แต่เจ้าอัศวินเกราะทมิฬดูท่าจะเริ่มร้อนรนจึงเหวี่ยงหมัดใส่ทัตทั้งที่ยังไม่เห็นตัว นั่นกลับแม่นยำเสียจนน่ากลัว
แต่… ทัตที่หลบได้ทันทีนั้นน่ากลัวกว่า
นอกจากนั้น…
การเคลื่อนไหวของมันช้าลงเหรอ?
ทัตตั้งข้อสังเกต เขาตระหนักได้ว่าไม่ได้คิดไปเองแน่ ๆ
ทุกครั้งที่หลบก็รู้สึกว่ามีหลายจังหวะสามารถโจมตีสวนมันกลับไปได้โดยไม่โดนสวนกลับมาแทน
ว่าไปแล้ว… ที่จู่ ๆ เขาหลบการโจมตีของมันได้อย่างต่อเนื่องนี้เองก็น่าแปลกเช่นกัน แต่ไม่น่าแปลกเท่ากับร่างกายที่กำลังร่ำร้องให้โต้กลับอย่างเป็นธรรมชาติคล้ายกับความทรงจำฝังร่างกาย ทั้งที่ไม่เคยเผชิญหน้าสถานการณ์นี้มาก่อนแท้ ๆ
ความเฉียบคมดังกล่าวเป็นคนละระดับกับสกิลติดตัวอย่าง ‘ศิลปะการป้องกันตัว’ ทัตรู้สึกราวกับความทรงจำฝังร่างนี้เป็นของตัวเขาเอง นั่นแหล่ะที่น่าแปลก
และที่แปลกยิ่งกว่าคือความมั่นใจ ว่าถ้าหากเคลื่อนไหวไปตามที่มันบอก เขาจะสามารถโต้ตอบศัตรูได้โดยไม่ถูกสวนกลับแบบครั้งล่าสุดอย่างแน่นอน
สิ่งเดียวที่ทำให้เขาไม่ลงมือโต้กลับตามที่ส่วนลึกของร่างกายเรียกร้องคือความไม่มั่นใจ
เราคิดไปเองรึเปล่า? ไม่ได้หลงคิดไปเองใช่ไหม? ทัตสงสัยเช่นนั้นมาตลอดแม้ในช่วงที่หลบหลีกการโจมตีของมันอย่างต่อเนื่องเมื่อครู่
แต่จังหวะนี้เข่าของมันทรุดลงไปแล้วข้างนึง
หากจะมีจังหวะไหนที่จะชิงความได้เปรียบจากมันและคุ้มค่าพอจะเสี่ยงไปกับสัญชาตญาณ คงไม่มีอีกแล้วนอกจากช่วงเวลานี้
ล้มไปซะ!!!
ความปรารถนาชัยชนะเป็นแรงผลักดันของการตัดสินใจ ทัตจึงออกหมัดอัดใส่ขาพับขวาของมันเข้าเต็ม ๆ
ถึงตอนนี้จะเหลือแค่แขนซ้ายข้างไม่ถนัดแต่ก็ยังอัดใส่เข้าไปสุดแรงเกิดจนเสียงดังสนั่นลั่น
โฮรกกกกกก!!!!!!
เสียงคำรามดังผ่านหมวกเกราะออกมาเป็นครั้งแรกอย่างหนักหน่วง มันคงหัวเสียไม่เบาที่โดนทัตเล่นงานถึงพลิกตัวหันมาทุบใส่ทัตอีกครั้ง
แต่แล้วเขาก็หลบได้อีก
เท่านั้นไม่พอ ทัตยังอาบหมัดเพลิงอัดใส่หัวเข่าซ้ายของมันซ้ำเข้าไปด้วย
จากทั้งด้านหลังและด้านหน้า ความเสียหายที่ถูกสะสมมาอย่างต่อเนื่องในที่สุดก็ทำให้เกราะบริเวณนั้นมีรอยร้าวจนเข่าทั้งสองข้างของมันล้มทรุดลงกับพื้นราวศิโรราบ
ต้องแบบนี้สิ!
ทันทีที่เห็นความพยายามผลิดอกออกผล ทัตยิ่งเร่งกรุยทางสู่ชัยชนะ
แต่ว่า…
โฮรกกกกกก!!!!!!
เจ้าอัศวินเกราะทมิฬเองก็ไม่ยอมจำนนง่าย ๆ
ยิ่งสถานการณ์กลับตาลปัตรเสียเปรียบมันยิ่งร้อนรนและโกรธาถึงคำรามลั่น พร้อมกับที่สะบัดทั้งมือและโซ่ติดคมขวานไปรอบทิศมั่วซั่วไปหมด จะบอกว่ามันกำลังคลุ้มคลั่งก็ไม่เกินเลย
บ้าเอ้ย… แค่นี้ยังลำบากไม่พอรึไงวะเนี่ย!
การโจมตีของมันยุ่งยากมากขึ้น… ซับซ้อนขึ้นจนแทบจะกลายเป็นพายุไร้ทางหนี ทั้งยังถูกดูดหาเมื่อเข้าใกล้รัศมีการโจมตีของมัน
แต่โชคดีในโชคร้าย คือมันเองรู้ตัวดีว่าตัวเองมีโอกาสแพ้สูงถึงลนลาน
สัญญาณดีขนาดนี้ทัตยิ่งต้องรีบคว้าโอกาส เขาถึงรีบเข้าคลุกวงในโดยไม่หวั่นโซ่ที่ถูกกวาดไปรอบทิศ กระโดดแทรกผ่านช่องว่างระหว่างโซ่เพียงเล็กน้อยเพื่อเข้าประชิดตัวของมัน
หมัดซ้ายของมันพุ่งเข้าหาทัตอย่างเฉียบคมอีกครั้ง แต่ทัตก็ใช้แขนขวาเบี่ยงออกไปได้อย่างแม่นยำกว่า
ในที่สุดแขนขวาของเขาก็ฟื้นฟูกลับมาถึงระดับที่ใช้งานได้ หมัดซ้ายของมันถึงพุ่งต่อไปอย่างเสียเปล่า
ช่วงรอยต่อของเวลานั่นเป็นโอกาสให้ทัตเข้าไปอยู่ใต้ลำตัวของมัน
อาบหมัดซ้ายด้วยเวทยิงเพลิงและสายฟ้า แล้วอัดเกราะท้องของมันเต็มเหนี่ยวสุดแรงเกิดจนร่างของมันสั่นสะท้านเป็นครั้งแรก
มากกว่านี้!
นี่เป็นแค่การเริ่มต้น แค่นี้ยังไม่มากพอให้โค่นมันลงได้ เขาถึงออกหมัดขวาต่อยเข้าไปที่เดิมอีกครั้งจนมันร้องลั่น
ในขณะที่ทัตไม่ยอมพอมันเองก็ไม่ยอมแพ้ เจ้าเกราะทมิฬถึงออกหมัดขวาที่ว่างอยู่สวนใส่ทัต แต่เขาก็เอี้ยวตัวหลบไปทางขวาได้ทันหมัดของมันจึงถากไหล่ซ้ายของเขาไปนิดเดียวอย่างน่าหวาดเสียว
ไปพร้อม ๆ กับที่โดนทัตต่อยสวนใส่ท้องของมันไปอีกสองที
มากกว่านี้… มากกว่านี้
เจ้าเกราะทมิฬทุบทัตทำให้เขาต้องหลบอีกครั้ง
แต่นั่นยังไม่ทำให้อาการขนลุกหายไป ทัตถึงชักเท้าหนีอีกหนทำให้รู้ว่ามันวางกับดักซ้อนด้วยโซ่ที่พยายามพันขา
ด้วยสัญชาตญาณอย่างเดียวกันทำให้ทัตออกหมัดใส่ท้องของมันเป็นหนที่สามและสี่ ยิ่งทำให้มันร้องลั่นเข้าไปใหญ่
มันเริ่มโกรธแล้วกำขวานติดโซ่ต่างสนับมือกระหน่ำชกใส่ทัตอย่างต่อเนื่อง นับว่าฉลาดมากเพราะมันทำให้จังหวะโต้กลับของทัตน้อยลง
แต่ในทางกลับกัน… ถ้าหาวิธีรับมือได้ มันก็จะกลับกลายเป็นจังหวะโต้กลับชั้นเยี่ยม
ตู้ม!!!
“!!!!?”
เพราะเอาแต่โจมตีอยู่ด้านหน้าทำให้ทัศนวิสัยมีจำกัด มันถึงได้โดนเวทยิงธาตุเพลิงประสิทธิสายฟ้าที่แรงที่สุดของทัตอัดใส่หลังเข้าเต็ม ๆ จนไหม้เกรียม
ถึงส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะทัตตั้งใจดึงความสนใจของมัน แต่ก็ต้องบอกว่าความเฉียบคมของมันลดลงไปพร้อม ๆ กับอาการบาดเจ็บที่ได้รับถึงได้หลบไม่พ้น
ตอนนี้แหล่ะ!
“โอวววววววว!!!”
จังหวะที่ชะงักไปนั่นเปิดช่องว่างให้ทัตอัดเข้าใส่ท้องของมันอีกครั้ง อีกครั้งและอีกครั้ง
หมัดของทัตแต่ละครั้งอาจไม่แรงพอที่จะทลายเกราะ แต่หลายสิบครั้งเข้ารอยแตกก็ขยายออกเป็นวงกว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ
เจ้าเกราะทมิฬมันเองคงเริ่มร้อนใจดวงตาสีแดงฉานถึงสั่นไหวเป็นครั้งแรก
แกร๊ก!
แต่ก็สายไปเสียแล้ว หมัดสุดท้ายของทัตในที่สุดก็กระแทกทะลุจมลงไปในเกราะของมัน
เขาสัมผัสเนื้อหนังที่เป็นของสิ่งมีชีวิตจากในเกราะมันไม่ได้เลยนอกจากความรู้สึกหยุ่น ๆ เหมือนของเหลวจากข้างใน
โคตรน่าขยะแขยง
แต่ต่อให้มันเป็นตัวอะไร ถ้าโดนโจมตีโดยตรงยังไงก็ต้องจอดสนิท!
ต่อให้ร่างจริงของมันเหมือนผีวิญญาณหรือสไลม์ แต่ถ้าโจมตีด้วยสิ่งที่แพ้ทางไม่ว่าอะไรก็ทำลายได้
และตัวเลือกที่ทัตจะใช้… ก็คือสายฟ้า
“!!!!?”
ทันทีที่ยิงเวทสายฟ้าใส่มันโดยตรง ร่างของมันก็สั่นสะท้านเหมือนโดนไฟดูด
และแน่นอนว่ามันไม่จบแค่นั้น
“ไปตายซะ!”
เสียงตะโกนเกิดพร้อมกับเปลวเพลิงบนฝ่ามือของทัต ความร้อนประจุขึ้นแล้วระเบิดจากภายในจนเกราะของมันสั่นสะเทือนปริแตกไปทั้งร่าง ช่องว่างของเกราะล้วนแต่มีของเหลวสีแดงเลือนไหลหลั่งโลหิต
ไม่… ยังไม่พอ!
“ตายซะ ตายซะ”
หลังยิงไปหนึ่งครั้งทัตก็ยิงเพิ่มอีกครั้งทำให้เกราะของมันถูกระเบิดจากภายในและโป่งพอง เวทเพลิงของทัตทำให้มันขยับตัวไม่ได้อีกแล้ว
แม้แต่ดวงตาสีแดงฉานของมันก็ยังมีเลือดซึมไหลออกมาจากเกราะ
สิ่งที่สะท้อนออกมาไม่ใช่ความดุดันที่มีมาแต่แรกหากแต่เป็นอย่างอื่น และเป็นครั้งแรกที่สะท้อนสิ่งอื่นออกมา
…ความกลัว
“สายไปแล้ว” ทัตเอ่ยย้ำตัดบทไม่ปล่อยจังหวะให้มันพร่ำเพ้อ พร้อมกับยิงเพลิงกับสายฟ้าซ้ำเข้าไปอีกยิ่งทำให้มันสั่นสะท้าน
ไม่อาจแยกแยะได้อีกว่าเป็นเพราะการโจมตีของทัตหรือความหวาดหวั่นต่อความตาย
ถึงแบบนั้นทัตก็ไม่คิดว่ามอนสเตอร์จะมีอารมณ์เช่นนั้น เขาถึงไม่รู้สึกเมตตาสงสารมันแม้แต่น้อย
ที่มีอยู่… เหลือเพียงแค่ความคิดอันเด็ดขาดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
และเขาจะย้ำมันอีกเป็นครั้งสุดท้าย
“ตายซะ!”
เสียงระเบิดดังถัดจากทัตสิ้นเสียง เปลวเพลิงก็พวยพุ่งออกมาจากข้อต่อทั้งหมดของเกราะยักษ์ที่เคยองอาจไร้ทางโค่น ดวงตาสีแดงฉานที่เคยสร้างความหวาดกลัวให้ทัตถูกเปลวเพลิงกลืนกินจากภายในไม่มีเหลือ
แม้แต่เกราะมือ โซ่และขวานที่เกือบจะคร่าชีวิตทัตยังเริ่มละลายด้วยความร้อนจนไม่อาจคงสภาพได้
แต่… นั่นจะเพียงพอไหมกับการสังหารไอ้ตัวประหลาดนี่? ทัตแอบคิดกังวลแล้วก็คิดว่าต้องจัดการมันให้ตายสนิท เขาไม่คิดจะเดินจากไปแล้วปล่อยให้มันแทงข้างหลังแน่!
ทัตจึงชักหมัดออกมาจากเกราะของมันในจังหวะที่ตัดสินใจ
“ตายซะ!”
ทัตกระโดดขึ้นอัดหมัดใส่กลางอกของมันเต็มแรงจนร่างของมันล้มหงายตึงไปกับพื้น
ร่อนลงคร่อมหมวกเกราะของมันเอาไว้ในจังหวะนั้น
ตู้ม!!!
แล้วอัดหมัดเพลิงใส่กลางหมวกเกราะของมันจนยุบ
“ตายซะ! ตายซะ!”
ครั้งที่สองและครั้งที่สาม ทุกครั้งที่หมัดประทับลง หมัดต่อไปของทัตก็ต่อยลงไปอีกอย่างต่อเนื่องราวกับปืนกลโดยที่มันไม่มีโอกาสได้พักหรือหลบเลี่ยงเพราะอ่อนล้าเกินกว่าจะทำแบบนั้นหรือไม่ก็ตายไปแล้ว
แต่ถึงแบบนั้นทัตก็หยุดหมัดของตัวเองไม่ได้
“ตายซะ! ตายซะ!” เขาต้องอัดมันไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะยืนยันได้ว่ามันตายแน่แล้ว
“บ้าเอ้ย! ตายซะทีเซ่!” เขาไม่อาจหยุดหมัดของตัวเองได้จนกว่าจะถึงชั่วพริบตานั้น
ไม่ว่ามือจะเจ็บแค่ไหน หรือมันจะทำให้แผลของร่างกายฝั่งขวาเปิดจนเลือดไหลอาบเขาก็ยังต้องต่อยมันเข้าไป
แถมยิ่งคิดว่าต้องไปช่วยพิมให้ได้เร็วขึ้นแม้สักวินาที เขาก็มีแต่ต้องเร่งหมัดของตัวเองให้มากขึ้นและมากขึ้นเพื่อให้ผลลัพธ์ที่รอคอยปรากฏขึ้นมา
“ตายซะทีสิวะ!!!!!”
หมัดสุดท้ายทะลุไปถึงพื้นจนเกิดเสียงดังสนั่น และเกิดระเบิดจากการโจมตีจนควันปกคลุมไปทั่วพื้นที่ หมวกเกราะของมันถูกเจาะทะลุเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทัตได้แต่หายใจหอบอย่างอ่อนล้า ถึงแบบนั้นก็ต้องง้างหมัดตั้งใจจะอัดต่อไปอีก
แต่ทว่า…
ท่านได้รับการเลเวลอัพเป็น ‘เลเวล 100’ แล้ว
ได้รับ ‘แต้มเลเวล’ 2 แต้ม
เลเวลถึงขีดจำกัดของ ‘แรงค์ 1’ แล้ว
ไม่สามารถอัพเลเวลต่อได้จนกว่าจะปลดล็อคการวิวัฒนาการขั้นต่อไป
ข้อความนั้นกระซิบบอกในหัวพร้อมกับการสลายของเกราะทมิฬกลายเป็นธุลีทอง
พอดีกับที่ทัตถึงจุดขีดจำกัด เขาถึงหมดแรงเข่าอ่อนล้มลงก้นจ้ำเบ้ากับพื้น
…โดยมีอัญมณีทรงหกเหลี่ยมปรากฏขึ้นข้าง ๆ เขา
อัญมณีรูปร่างแสนคุ้นเคยที่ทำให้เขากับพิมลำบากมาจนถึงตอนนี้
เพียงแต่มันเป็นสีฟ้าแทนที่จะเป็นสีเขียว อย่างที่เคยได้ยินมาจากฝ้ายไม่มีผิดเพี้ยน
“…”
ทัตครุ่นคิดเพียงครู่เดียวก็รีบลุกขึ้น แล้วจัดการกระทืบอัญมณีนั่นในทันทีที่ตั้งสติได้ ยังไงก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้วนอกจากนี้
เขาเข้าเผชิญหน้ากับมันก็เพื่อการนี้ เพื่อให้แข็งแกร่งขึ้นและมีพลังมากพอจะเอาไปโค่นอีกตัวที่พิมกำลังดึงความสนใจให้อยู่
“!!!!?”
พริบตาที่อัญมณีแตกละเอียด มันก็กลายเป็นละอองลอยเข้ามาติดร่างกายของทัตจนร่างของเขาเปล่งแสงสีฟ้าสาดไปทั่วทุกที่
นั่นทำเขาตกตะลึงอีกครั้ง แต่พอคุ้นชินก็ไม่รู้สึกอะไรอีกเพราะมันเคยเกิดขึ้นแล้ว
“…นี่มัน!?”
ถ้าจะมีอะไรแปลกไปกว่าเดิมและทำให้รู้สึกขนลุกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ก็คงเป็นไอความมืดที่ไหลผ่านทั่วร่างของทัตหลายต่อหลายเส้นคล้ายฝูงอสรพิษขดม้วนตั้งแต่ขา ลำตัวไปจนถึงต้นแขนราวกับพยายามลิ้มรสร่างกายของทัต
หรือไม่เช่นนั้น… ก็พยายามผูกรัดเขาไว้ด้วยบางสิ่ง
ปลดล็อคการวิวัฒนาการ
‘แรงค์ 2’ สำเร็จแล้ว
ท่านได้รับการเลเวลอัพเป็น ‘เลเวล 101’ แล้ว
ได้รับ ‘แต้มเลเวล’ 1 แต้ม
และอีกสิ่ง คือเสียงกระซิบด้วยข้อความที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
ผลลัพธ์เป็นไปอย่างที่เคยได้ยินมาจากฝ้ายทุกประการ
…แต่นั่นไม่ใช่ผลลัพธ์สุดท้ายที่ทัตปรารถนา เท้าของเขาถึงขยับหันไปยังทิศตรงข้าม
ในที่สุดก็จัดการมันได้จริง ๆ สักที… ต้องรีบแล้ว
นั่นเป็นความคิดเดียวที่มีมาตลอด และสั่งเท้าให้วิ่งออกไปแม้ร่างกายจะยังเหนื่อยอ่อน
ต้องรีบไปหาพิมแล้ว!
เขายังคงคิดแบบนั้นด้วยความตึงเครียด ไม่มีความรู้สึกปิติที่คว้าชัยจากศึกเสี่ยงตายมาได้
เขายิ่งเร่งฝีเท้า แม้กระทั่งความมืดมิดที่กำลังกัดกินร่างยังไม่อันตรธานหายไปเสียด้วยซ้ำ