แกร่งสุดด้วยอาชีพผสาน ในโลกที่มีมอนสเตอร์ออกมากินคนยามค่ำคืน - ตอนที่ 38
“ถ้าฉันไม่ให้สัญญาณ ห้ามเข้าประชิดเด็ดขาด เข้าใจนะ?” ทัตเริ่มตั้งท่า แต่ก็ไม่ลืมย้ำเรื่องสำคัญกับพิม
เธอตั้งท่าดาบพร้อมจู่โจมในทางเดียวกับทัตเพื่อตอบสนองคำพูดของเขา
“ก็อย่าทำให้เป็นห่วงจนอดเข้าไปช่วยไม่ได้ก็แล้วกัน” แถมยังพูดจาพึ่งพาได้กลับมาด้วย
“ให้ตายสิ”
ทัตหลุดบ่น รอยยิ้มขี้เล่นของพิมนั่นเห็นได้ชัดเลยว่าไม่ได้ฟังที่เขาพูด
แต่ความสดใสนั่นก็ทำให้เขาร่าเริงจนยิ้มออกมาได้อย่างน่าประหลาด
ส่วนอีกด้านหนึ่ง…
ซู่ม!!!
ฝั่งของเจ้าเกราะทมิฬแผ่บรรยากาศน่าขนลุกราวความมืดกลืนกินอีกครั้ง นั่นทำเอาทัตตัวสั่น แต่ไม่หนักมากเท่ากับพิม จุดที่เหมือนกันคือทั้งคู่รู้สึกหนาวเย็นราวอยู่กลางพายุหิมะ
“ฉันจะเปิดใส่มันเอง” ทัตเดินนำพิมขึ้นมาเพราะเป็นคนเดียวที่พอจะต้านทานแรงกดดันนั้นได้จากการวิวัฒนาการมาเป็น ‘แรงค์ 2’
นอกจากนี้… ทัตยังมีอาวุธลับอีกอย่างด้วย
“ ‘จิตล่าสังหาร’!!! ”
ทัตประกาศสกิลอย่างที่สามของอาวุธ Chivalry
สกิลสุดท้ายที่ทรงพลังที่สุด
ออร่าสีดำทมิฬปรากฏขึ้นคลุมทั่วทั้งร่างของทัตตั้งแต่หัวจรดเท้า
พิมเห็นไอความมืดเหล่านั้นจากด้านหลังในระยะประชิด รู้สึกราวกับทัตกลายเป็นตัวตนแบบเดียวกับเจ้าเกราะทมิฬ บรรยากาศที่แผ่ออกมาน่าหวาดผวาพอกันจึงไม่น่าแปลกที่เผลอคิดเช่นนั้น
เธอถึงกับมองผิดเห็นภาพเสมือนของเจ้า Chivalry ตัวใช้โซ่ติดคมขวานลอยอยู่ด้านหลังของทัตเสียด้วยซ้ำ
…หรือบางที นั่นอาจไม่ใช่ภาพลวงตาก็ได้
“คอยดูจังหวะให้ดี ๆ ล่ะ”
“เอ๊ะ? ขะ เข้าใจแล้ว!”
การย้ำเป็นหนที่สามทำให้พิมได้สติกลับมาสนใจศัตรู
บรรยากาศที่ทัตแผ่ออกมาทำให้รู้สึกแปลกใจมากกว่าน่ากลัว เขาไม่ทำให้เธอรู้สึกขนลุกขนพองแบบเดียวกับเจ้าเกราะทมิฬเลยสักนิด
โฮรกกกกก!!!!!!
ฝั่งเจ้าเกราะทมิฬย่ำเท้าเข้ามาพร้อมกับขู่คำรามเสียงดังลั่นเบื้องหน้าทั้งสองคน
เพราะได้เห็นเงาของอดีตพวกพ้องกลายเป็นฝ่ายต่อต้าน หรือแค่ไม่ชอบที่อีกฝ่ายได้ครอบครองพลังอย่างเดียวกัน เหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองทำให้มันเริ่มโกรธจัด
มันถึงได้ถีบพื้นพุ่งเข้ามา ง้างดาบซามูไรในมือทั้งสองข้างเต็มที่ ราวกับกวางยักษ์คลั่งชันเขาเตรียมเข้าปะทะอย่างไรอย่างนั้น
“อย่าหวังเลย!”
ทัตถีบพื้นขึ้นสวนผ่านเหนือหัวของมัน ในจังหวะที่ลอยผ่านก็ไม่ลืมปล่อยโซ่คล้องคอมันเข้าทำเอามันเสียจังหวะ
แต่หนนี้มันไม่ถึงกับล้ม เลยมีโอกาสฟาดคมดาบใส่ทัตอีกครั้ง
แบบนั้นแหล่ะ เข้ามาเลย!
คมดาบหันเข้าใส่กลางอากาศยากจะหลบ ทัตจึงใช้ปลอกแขนเหล็กรับการโจมตีจนลอยกระเด็น แต่นั่นก็ยังดีกว่าโดนฟันจนเลือดอาบ
เจ้าเกราะทมิฬวิ่งพุ่งเข้ามาหวังลอบโจมตีทัตที่กำลังลอยคว้างในอากาศ แต่เขาเองก็ใช่ว่าจะเจอสถานการณ์แบบนี้ครั้งแรก
คมดาบของมันฟันเข้าใส่ ทัตจึงใช้เวทเกราะธาตุลมสร้างกำแพงล่องหนขึ้นกลางอากาศ เขาใช้มันเป็นแท่นเหยียบถีบหลบดาบเจ้าเกราะทมิฬไปได้อย่างฉิวเฉียด
ไม่ใช่แค่นั้น… ทัตสร้างกำแพงน้ำแข็งขึ้นรอบตัวมันหวังพันธนาการไว้ข้างในด้วย
แต่ในพริบตาที่เท้าลงพื้น เจ้าเกราะทมิฬก็หมุนตัวหั่นกำแพงเป็นสองส่วนในแนวนอนอย่างง่ายดาย
…แบบที่ทัตคาดการณ์ไว้แล้วไม่มีผิด
“ติดกับแล้ว”
พริบตาถัดมา เสาเพลิงพวยพุ่งขึ้นใต้เท้าของเจ้าเกราะทมิฬ
และในทันทีที่สัมผัสเข้ากับความเย็นของน้ำแข็ง การแลกเปลี่ยนอุณหภูมิก็ทำให้เกิดควันกระจายขึ้นทั่วบริเวณกลายเป็นควันบังตา
เป็นท่าที่สะดวกดีจริง ๆ
ทัตแอบคิดแบบนั้นเพราะใช้กี่ครั้งก็ได้ผลทุกครั้ง แถมยังทำให้ทัตร่นระยะเข้าใกล้ศัตรูได้โดยง่ายทุกครั้งด้วย
เขาลอบเข้าควันไอน้ำมาอยู่ด้านหลังของเจ้าเกราะทมิฬ อาบเพลิงใส่ปลอกแขนเหล็กอัดใส่หลังของมันเข้าเต็มแรงจนควันปลิวกระจายไปหมด
และทำเอาคนโดนอย่างเจ้าเกราะทมิฬเซเอียง แต่ก็ทำให้มันหันมามองค้อนใส่ทัตด้วยความแค้นเคืองด้วย
มันถูกดึงดูดความสนใจไปโดยสมบูรณ์
“มองไปทางไหนของแกยะ!”
มันจึงไม่ทันตอบสนองพิมที่กระโดดขึ้นไปอยู่ตรงหลังคอของมัน เธออาบคมดาบด้วยเปลวเพลิงสายฟ้าใส่ช่องว่างของเกราะหลังคอเข้าเต็ม ๆ จนมันชะงักไปแวบนึง
สมกับเป็นพิมเลยแฮะ
ทัตแอบชื่นชมหลังเห็นพิมคิดวิธีหยุดการเคลื่อนไหวของมันด้วยเวทสายฟ้าแบบเดียวกับที่เขาทำ ทั้งที่เขายังไม่ได้แนะนำอะไรพิมด้วยซ้ำ
แต่ข้อแตกต่างของพิมกับทัตที่โค่น Chivalry ได้ยังมีอยู่สองอย่าง
หนึ่งคือสเตตัสที่ทัตมีมากกว่าจากการเป็นผู้ถือครอง ‘The One’
และสองคือประสาทสัมผัสอันเฉียบคมที่ตื่นขึ้นมาด้วยสาเหตุบางอย่าง
ช่องว่างที่เกิดขึ้นเป็นเหตุให้พิมมีความเสี่ยงสูงกว่าทัต หากโดนโจมตีสวนกลับจะจอดสนิทได้ไม่ใช่เรื่องยาก
และเจ้าเกราะทมิฬเองก็รู้เรื่องนั้น
ดวงตาสีแดงเปล่งแสงออกมาจากใต้หมวกเกราะเป็นสัญญาณ มันหันขวับมาหาพิมที่ลอยอยู่กลางอากาศ ดาบทั้งสองในมือของมันพร้อมจะฟันผ่าพิมเป็นสี่ส่วน
แย่แล้ว! หลบไม่ทันแน่!
ความทรงจำที่ฝังร่างกายจากอาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้แทรกเข้ามาทำให้พิมรับรู้ชะตากรรม มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลบการโจมตีอันรวดเร็วและเฉียบคมของมันหากไม่ตั้งใจไว้ก่อน
เคร๊ง!!!
“ทัต!?”
แต่เรื่องนั้นไม่ได้เกิดขึ้น ทัตพุ่งเข้ามาใช้ปลอกแขนเหล็กรับดาบทั้งสองไว้ได้ก่อน เขารู้อยู่แล้วว่าจะเป็นแบบนี้ถึงพุ่งเข้ามารับไว้ทัน
“อย่าลืมสิ ฉันเองก็อยู่กับเธอนะ”
“…ไว้ใจได้จริง ๆ เลยนะคะเนี่ย”
เห็นทัตยิ้มให้ด้วยความมั่นใจเธอก็รู้สึกโล่งอกอย่างน่าประหลาด ขวัญกำลังใจก็เพิ่มขึ้นในระดับเท่ากัน
“หาจังหวะเข้าไปโจมตีเองได้เลย ฉันจะคอยสนับสนุนเอง”
ทัตตั้งท่าอย่างไร้ความหวาดกลัว
พิมได้ยินก็อยากจะตอบสนองใจสู้ของเขา เธอพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มอันเต็มไปด้วยเปลวเพลิงแห่งการต่อสู้เช่นเดียวกับทัต
และคาดหวังสิ่งเดียวกันกับเขา นั่นคือชัยชนะ
“มันจะมาแล้ว!”
ทัตให้สัญญาณก่อนดาบทั้งสองเล่มของมันจะแทงลงพื้นทำพิมถอยหลบตาม
“อะไรเนี่ย!?”
แต่ความมืดพวยพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยทำทัตหลุดตะลึง
นี่เป็นความมืดคนละแบบกับเวทมนตร์ธาตุมืดที่พวกทัตใช้ สิ่งนี้แผ่บรรยากาศแบบเดียวกับออร่าที่อาบร่างของมัน และเป็นแบบเดียวกับคลื่นโจมตีระยะไกลก่อนหน้านี้ของมันไม่มีผิด ทัตจึงเริ่มกังวล
เสาแห่งความมืดนั้นปะทุขึ้นราวระเบิดถูกจุดชนวนทำเอาทัตกับพิมปลิวถอยไปเล็กน้อย พอมันสัมผัสผิวเข้าก็รู้สึกแสบร้อน แถมยังทำให้รู้สึกหวาดกลัวจนขยับไม่ไหวอีก
“!!?”
ชั่วพริบตาที่หยุดนิ่งไปนั้น เจ้าเกราะทมิฬใช้มือที่ยังกำด้ามดาบอยู่นั้นต่อยเข้าใส่ทัตอย่างจัง
ความรุนแรงนั่นมากกว่าที่ใช้ดาบฟันเสียอีกเพราะเป็นการทิ้งน้ำหนักตัวจากร่างกายขนาดยักษ์เข้าใส่
หากไม่ใช้ปลอกแขนเหล็กรับไว้ทัตอาจจะถูกกดลงกับพื้นจนแหลกไปแล้ว
ดาบจากมืออีกข้างแทงเข้ามาทันทีโดยไม่ให้หยุดพัก แต่ทัตก็เอี้ยวตัวหลบได้อย่างฉิวเฉียดอยู่
เกือบไปแล้ว! ทัตคิด
แต่ทว่า…
“อั๊ก!!!”
พริบตาที่โล่งใจ เท้าขวาของมันก็เตะเข้าใส่ทัตที่ถูกจำกัดการเคลื่อนไหวเข้าจนปลิวกระเด็น
ร่างของเขากระแทกพื้น ออร่าสีดำทมิฬที่คลุมร่างพลอยอันตรธานหายไปเพราะความล้าถึงจุดที่ใช้งานสกิลไม่ไหว เรี่ยวแรงที่เหลือเพียงน้อยนิดถูกช่วงชิงไปจนหมด
ทัตชันตัวขึ้นมาไม่ไหวด้วยซ้ำ ตอนนี้ขีดจำกัดตามเขาทันเรียบร้อยแล้ว
สถานการณ์เริ่มเข้าสู่จุดวิกฤติของจริง
แย่แล้ว!?
ทัตกลัวไปจนถึงไขสันหลัง แต่การหมดแรงยังไม่ใช่เรื่องแย่ที่สุดที่จะเกิดขึ้น
เขาตระหนักเรื่องนั้นในตอนที่เห็นพิมลอยขึ้นเข้าหาหลังศีรษะเจ้าเกราะทมิฬ
พิมคงเห็นมันเดินเข้ามาปิดฉากทัตเลยจะฉวยโอกาสลอบโจมตีมันแทน
“อย่านะพิม! มันเป็นกับดัก!”
“!!!?”
เสียงตะโกนเตือนทำให้พิมฉุกคิด แต่ก็ช้าเกินไปสำหรับคมดาบที่ฟันใส่ราวกับมีตาหลัง
ดาบของมันวาดฟันเป็นแนวทแยงใส่พิมทำดาบในมือเธอแตกเป็นสองเสี่ยง ไปพร้อม ๆ กับที่ฝากรอยแผลเป็นแนวทแยงไว้ที่ด้านหน้าพิมตั้งแต่ไหล่ซ้ายลงมาจนโลหิตเธอสาดกระเซ็น
“พิม!!!”
ไฟฟ้าและความหนาวเย็นวิ่งผ่านตั้งแต่แกนสมองไหลลงถึงปลายเท้าด้วยความหวาดกลัว
เท้าของทัตถีบพื้นโดยอัตมัติโดยไม่รู้ว่าไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน
แต่มีเรื่องนึงที่แน่ใจ… นั่นคือหากเขาไม่เคลื่อนไหวตอนนี้ พิมจะถูกมันฆ่าเอาอย่างแน่นอน
“มานี่เลยไอ้เวรเอ้ย!” ทัตรีบเหวี่ยงโซ่เข้าไปมัดดาบอีกเล่มเอาไว้ก่อนมันจะฟันซ้ำใส่พิมเป็นดาบที่สอง
“พิม! หนีออกมา!”
เขาไม่สามารถเข้าไปช่วยพิมได้ เธอมีแต่ต้องหนีออกมาเอง
แม้เลือดจะไหลจากปากแผลจนหยดลงพื้น มือทั้งสองเองก็ทิ้งลงราวอ่อนแรง
แต่ทว่า…
“แฮ่ก… อย่ามา แฮ่ก… ล้อเล่นนะ” แต่… เธอกลับไม่ได้มีท่าทีจะหนี
“อย่ามาล้อเล่นนะ! ฉันเบื่อที่จะเป็นตัวถ่วงของนายเต็มทีแล้ว!”
แทนที่ดวงตาอันพร่ามัวจะถูกย้อมด้วยความสิ้นหวัง แววตาอันเป็นประกายกลับเข้ามาแทนที่แถมคิ้วยังขมวดเข้าด้วยกันด้วยความพิโรธโกรธา เรื่องนั้นชัดเจนอยู่แล้วเพราะพิมถึงกับกัดฟันไปด้วยพูดไปด้วย
คิดจะทำอะไรของเธอกัน? ทัตยังไม่ทันจะเปิดปากเอ่ยถาม พิมก็แทงมีดที่หักเป็นสองส่วนใส่ขาพับของเจ้าเกราะทมิฬข้างที่ใกล้ที่สุด
นั่นไม่ใช่การกระทำเนื่องจากโกรธจนสติหลุดแต่เป็นสิ่งที่คำนวณไว้แล้ว เพราะขาซ้ายนั่นเหยียบหยั่งทิ้งน้ำหนักตัวลงกับพื้นเพื่อโจมตีเธอก่อนหน้านี้ ดาบในมือขวาอีกเล่มจึงไม่อยู่ในมุมที่จะโจมตีเธอได้
…นี่จึงเป็นจังหวะที่ดีมากในการพลิกสถานการณ์
“ไปตายซะ!”
เสียงตะโกนของพิมเกิดขึ้นพร้อมกับคลื่นเปลวเพลิงพุ่งออกจากคมดาบ ส่งเข้าไปในข้อต่อขาพับเกราะ สร้างแรงระเบิดจนทำเอาขาของมันชะงักไป
แถมไม่ใช่แค่นั้น
โฮรกกกกก!!!!
เสียงคำรามของมันดังขึ้น ความร้อนกระจายไปรอบ ๆ จากขาซ้ายของมัน
เห็นแบบนั้นพิมก็รีบถีบพื้นถอยออกมาทันที มันเริ่มคลั่งแล้วใช้ดาบในมือขวากระหน่ำฟันทุบใส่พื้น โชคดีของพิมแล้วที่หลบออกมาได้ก่อน
“เวรเอ้ย…” แต่การที่มันคลั่งก็ทำให้การรั้งมันด้วยโซ่ทำได้ยากขึ้นเช่นกัน
ทัตรู้สึกราวกับกำลังชักเย่อกับกระทิงพยศ เรี่ยวแรงที่หมดไปแล้วจึงต้องพยายามเค้นออกมาเต็มที่ไม่ให้มันหลุดไปโจมตีพิม
หากปล่อยให้มันเข้าหาพิมจนเธอหมดโอกาสโจมตี ทั้งสองคนจะแพ้ทันที เพราะเขาในตอนนี้เผชิญหน้ากับเจ้าเกราะทมิฬไม่ไหวแล้ว
บ้าเอ้ย… ทำไมแรงถึงต้องมาหมดตอนนี้ด้วยวะเนี่ย
แม้อยากเข้าไปช่วยสู้แต่เข่าก็สั่นไปหมดจนเคลื่อนไหวได้แย่ยิ่งกว่าพิมเสียอีก อาการบาดเจ็บที่สะสมมาตลอดทำให้เขาล้าจนเริ่มขยับไม่ได้ ขืนฝืนเข้าไปช่วยพิมสู้คงกลายเป็นตัวถ่วงมากยิ่งกว่าพิมที่บ่นให้ตัวเองเสียด้วยซ้ำ การจำกัดการเคลื่อนไหวของศัตรูเอาไว้จึงดูจะมีประโยชน์เสียกว่า
การฝากความหวังไว้กับพิมจึงเหลือเป็นตัวเลือกสุดท้าย แม้ทัตจะไม่ต้องการแบบนั้นเลยสักนิดเพราะสภาพของพิมไม่ค่อยสู้ดีก็ตาม
บาดแผลฉกรรจ์ของพิมนั้นน่าเป็นห่วง พอกับอาการคลุ้มคลั่งของศัตรูที่ยากจะหาโอกาสเข้าไปโจมตี
ต้องหาจังหวะให้พิม!
เมื่อไม่มีทางอื่น ทัตจึงร่ายเวทยิงธาตุเพลิงขึ้นจำนวนสองอันยิงเข้าใส่เจ้าเกราะทมิฬ
ด้วยพลังกายที่เหลือ เขาไม่สามารถประสิทธิธาตุสายฟ้าเข้าไปด้วยอย่างที่เคยได้อีกแล้ว
แต่นั่นเพียงพอแล้วสำหรับการดึงความสนใจ เพราะทันทีที่เกิดระเบิดขึ้นใส่หลังของเจ้าเกราะทมิฬ มันก็หันขวับกลับมาหาทัตทันที
“แบบนั้นแหล่ะ”
พิมทิ้งเสียงกระซิบไว้กับรอยเท้าถีบพื้น ดวงตาคมกริบจ้องมองข้อพับแขนซ้ายของเจ้าเกราะทมิฬในจังหวะที่พุ่งเข้าหา ข้อพับนั้นถูกกางออกเพราะถูกทัตใช้โซ่ดึงจนเล็งได้ไม่ยาก
พิมใช้มีดที่ยังหักแทงเข้าไปจุดนั้น ปล่อยคลื่นความร้อนเข้าไปในเวลาเดียวกัน
ตู้ม!!!
การระเบิดเกิดขึ้นเมื่อเปลวเพลิงถูกปล่อยเข้าไปในข้อพับแขนซ้าย แต่ความเสียหายยังไม่เพียงพอ
ยังหรอก…
พิมเองก็รู้อยู่แก่ใจ
เธอจึงจัดการยิงคลื่นดาบเพลิงทะลวงเข้าไปอีกนัดและอีกนัด
เสียงระเบิดดังขึ้นต่อเนื่องราวประทัด ทำเจ้าเกราะทมิฬร้องคำรามด้วยความหงุดหงิด หรือไม่เช่นนั้นก็เป็นความเจ็บปวด
แต่นั่นไม่มีทางราบรื่นตลอดรอดฝั่ง มันเองไม่ยอมโดนโจมตีอยู่เฉย ๆ แน่
เพื่อตอบแทนพิมที่เล่นงานแขนมัน เจ้าเกราะทมิฬเงื้อดาบในมือขวาเตรียมจะเล่นงานเธอ
“พิม! เกาะเอาไว้แน่น ๆ!!!”
แต่มีหรือทัตจะยอมให้เกิดขึ้น พิมรีบใช้มือข้างที่ไม่ได้ถือดาบกอดแขนของมันเอาไว้แน่นตามเสียงตะโกนของทัต
เห็นพิมทำตามที่บอกแล้ว ทัตก็รีบจัดการดึงโซ่เข้าหาตัวเองเต็มแรงทั้งสองมือ
พริบตานั้นเจ้าเกราะทมิฬก็เสียหลัก คมดาบที่พุ่งเข้าใส่พิมล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เช่นเดียวกับศูนย์ถ่วงที่ตั้งตัวไม่ติดจนมันล้มหน้าคะมำลงกับพื้น
“ไปตายซะ!!!”
เป็นจังหวะให้พิมยิงเพลิงใส่ข้อต่อของมันอีกครั้ง
“ไปตายซะ! ไปตายซะ!”
อีกครั้ง อีกครั้ง อีกครั้ง
เปลวเพลิงระเบิดถูกยิงใส่อย่างต่อเนื่องไม่มีหยุด
กับศัตรูที่กำลังนอนดิ้นพล่าน ไม่มีจังหวะไหนดีไปกว่านี้อีกแล้ว
โฮรกกกกกก!!!!!
จนในที่สุดแรงระเบิดครั้งสุดท้ายก็ฉีกกระชากแขนของเจ้าเกราะทมิฬขาดเป็นสองส่วน ความพยายามของพิมสัมฤทธิ์ผลในครั้งที่ 9 ซึ่งไม่ได้มากอย่างที่คิดเลย
“จังหวะนี้แหล่ะ!”
มือที่ขาดไปไม่มีประโยชน์ที่จะยึดยื้อ ทัตคลายโซ่ออกแล้วเหวี่ยงโซ่ไปมัดข้อมือขวาอีกข้างที่เหลืออยู่ของมันแทน
ด้วยตำแหน่งที่มันยังนอนอยู่ ทัตพยายามจะดึงรั้งไว้ไม่ให้มันชันตัวขึ้นได้
พิมเห็นจังหวะดีจึงกัดฟันทนแผลยาวตรงอก พยายามไม่สนใจเลือดที่ไหลหยดลงพื้น
แล้วพุ่งเข้าไปยืนบนหมวกเกราะของศัตรู จัดการแทงดาบลงผ่านช่องว่างนั้นพร้อมปล่อยเปลวเพลิงระเบิดเข้าไปข้างในอีกครั้ง
โฮรกกกกก!!!!
มันแผดเสียงร้องโหยหวนสะท้อนจากในหมวกเกราะ
มันพยายามดิ้นพล่าน ถึงกับใช้แขนข้างที่ขาดไปแล้วหันมาทุบพิม
“อย่าหวังเลย”
ทัตเห็นจึงกระโดดพุ่งเข้าไปเหยียบแขนมันไว้ ใช้ขาอีกข้างกดต้นคอของมันกับพื้นไม่ให้มันทำตามใจ
ใกล้แล้ว! ทนไว้ก่อนนะพิม
เขายืนอยู่ใกล้พิมที่เหยียบอยู่บนหัวของมัน ยิ่งได้เห็นเลือดเธอไหลไม่หยุดแล้วก็ยิ่งเป็นห่วง
ทำไมถึงไม่เป็นเขากันที่ทำหน้าที่ตรงนั้น คิดแล้วก็ได้แต่เจ็บใจ แม้ความจริงแล้วที่ทัตทำแบบนั้นไม่ได้จะเป็นเพราะเขาเค้นพลังมากมายเกินขีดจำกัดไปแล้วเพื่อสนับสนุนพิมมาตลอดจนถึงวินาที
คนเดียวที่ไม่คิดเรื่องนั้นมีแต่ทัต ทางพิมที่รู้ถึงไม่อยากจะให้ทัตมาสู้แล้ว
ทัตจำแต่ต้องภาวนาให้เวทยิงเพลิงของพิมทำลายส่วนหัวของมันได้เร็ว ๆ ก่อนที่จะรู้สึกผิดมากไปกว่านี้
…แต่สวรรค์ก็ช่างกลั่นแกล้งพวกเขาได้ลงคอ
ไม่สิ… เป็นเพราะทัตที่หุนหันพลันแล่นพุ่งเข้าไปเหยียบแขนและกดเหยียบคอศัตรูนั่นแหล่ะ แขนอีกข้างที่ใช้โซ่ดึงไว้อยู่เลยร่นลงจนมีโอกาสขยับได้
“แย่แล้ว!?” ความกลัวเข้าครอบงำจนทัตหลุดสบถในตอนที่มันดึงโซ่ของทัต และทัตไม่สามารถต้านแรงของมันได้
ไม่ใช่เพราะมันแรงเยอะขึ้น แต่เป็นทัตที่แรงน้อยลงจนไม่เหลือแล้วต่างหาก
“อั๊ก!!!?”
“ทัต!?”
ทัตถูกดึงเมื่อมันลุกขึ้น แล้วโดนมันเหวี่ยงกระแทกลงกับพื้นจนกระอักเลือด นั่นทำให้พิมเสียจังหวะจนกระเด็นออกไป
ไม่เหมือนทัตที่สติเลือนรางจะสลบเต็มที พิมนั้นลงพื้นได้อย่างปลอดภัย
แต่นั่นก็ทำให้เจ้าเกราะทมิฬมองมาทางพิมด้วยสายตาเคียดแค้นที่สุด มันไม่ละสายตาไปจากเธอเลยแม้แต่วินาทีเดียว พิมกลายเป็นเป้าหมายของมันเรียบร้อยแล้ว
และข่าวร้ายคือเธอต้องเผชิญหน้ากับมันคนเดียว
“พะ พิม…”
มีหรือทัตจะยอม ไม่ว่ากี่ครั้งทัตก็ไม่มีวันยอมให้เป็นแบบนั้น
แต่ว่า… แม้พยายามชันตัวขึ้นแต่ก็ทำไม่ได้อีกแล้ว หนนี้เขาฝืนขีดจำกัดตัวเองไปมากเสมือนแก้วน้ำแห้งเหือดจนไม่เหลือพลังอยู่เลยแม้แต่หยดเดียว
ในจังหวะที่ทำอะไรไม่ถูกและพยายามมองหาพิมก็สบสายตากับเธอเข้า
แต่เธอยิ้มกลับมาให้ โดยที่ยังไม่เสียการตั้งท่าที่พร้อมโจมตี
พอแล้วล่ะ ต่อจากนี้ให้ฉันจัดการเอง
สายตาพิมเหมือนกับอยากจะบอกอย่างนั้น
ก่อนจะเปลี่ยนแววเป็นคมกริบเลื่อนกลับไปมองเจ้าเกราะทมิฬที่คำรามใส่เธอ
“มันหนวกหูนะยะ”
น้ำเสียงเธอเต็มไปด้วยความหงุดหงิดแต่ท่าทางกลับสงบเยือกเย็นกว่าที่เคย ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะแผลสาหัสที่อกทำให้สติตามความโกรธของตัวเองทัน
แต่ที่มากที่สุดน่าจะเป็นเรื่องที่มันบังอาจเหวี่ยงทัตลงพื้นเป็นของเล่นจนเขาแทบสลบนั่นต่างหาก
ยกโทษให้ไม่ได้!
พิมถีบพื้นพุ่งเข้าไปด้วยความรู้สึกแบบนั้น
เธอรู้ขีดจำกัดของตัวเองดีว่าทนแผลได้อีกไม่นาน ทางรอดจึงเหลือเพียงอย่างเดียวคือต้องปิดฉากในการโจมตีนี้เท่านั้น
โฮรกกกกก!!!!
เจ้าเกราะทมิฬเองก็คงรู้เรื่องนั้นถึงคำรามสวน ไม่ยอมแม้แต่จะให้พิมมีหวังในชัยชนะ
“บอกว่าหนวกหูไง!”
ได้ยินแล้วพิมยิ่งหงุดหงิด เธอถึงพุ่งเข้าไปหวังจะโจมตีขาขวาของมัน อย่างน้อยการทำให้มันเคลื่อนไหวไม่ได้ก็เพิ่มโอกาสชนะได้มากกว่า
แต่มันชัดเจนเกินไป เจ้าเกราะทมิฬเห็นแบบนั้นถึงเงื้อดาบฟันใส่พิมที่พุ่งเข้าหาในพริบตาเดียว
แรงกระแทกอันมหาศาลทำให้เกิดควันปกคลุมจนไม่เห็นตัว ทำเอาทัตกังวลจนเผลอกำมือแน่น
ฟุ่บ!!!
พิมพุ่งออกมาจากกลุ่มควันทันที การโจมตีของมันพลาดสนิทและที่เป็นแบบนั้นเพราะการโจมตีของพิมเมื่อครู่เป็นตัวหลอก
คมดาบของมันยังฝังลงไปกับพื้นอยู่ เป็นจังหวะให้พิมกระโดดขึ้นไปปิดฉาก คมดาบที่ยังหักครึ่งของเธอเล็งไปยังส่วนคอของศัตรูโดยไร้ซึ่งการลังเล
พุ่งเข้าใส่ช่องว่างระหว่างเกราะแล้วจัดการปิดฉากมันซะ
ฉั๊ว!!!
แต่พริบตาถัดมา คมดาบคาตานะของเจ้าเกราะทมิฬที่ควรจะฝังลงพื้นกลับตวัดขึ้นมาในพริบตา
เฉือนตัดมือที่พิมถือดาบจนขาดกระเด็น การโจมตีของเธอถูกขัดขวางไม่แม้แต่จะไปถึงจุดที่หวังผลได้ เธออาจตายในการโจมตีต่อไปเลยด้วยซ้ำ
แบบนี้แย่แน่! แม้แต่ทัตเองก็คิดแบบนั้น
“อย่ามาดูถูกกันนะยะ!”
แต่พิมไม่ได้หวั่นไหวเลยสักนิดแม้ทุกอย่างจะไม่เป็นไปตามแผน
เธอพลิกหมุนตัวกลางอากาศ ใช้มือซ้ายที่เหลือคว้าดาบที่หลุดมือไปก่อนหน้านี้ แล้วจัดการแทงลงไปใส่คอหอยของศัตรูดื้อ ๆ
“ไปตายซะ!!!”
โดยไม่สนเลยว่าเพิ่งถูกช่วงชิงมือขวาไป พิมใช้ดาบที่ยังหักครึ่งเป็นตัวกลางส่งผ่านทั้งเปลวเพลิงและสายฟ้าเข้าไปในตัวมันผ่านช่องว่างตรงลำคอ
การร้องโหยหวนของมันไม่สามารถทำได้อีกเพราะสายฟ้าทำให้เป็นอัมพาตขยับร่างไม่ได้
“ตายซะทีสิยะ!” เปลวเพลิงไหลผ่านลงไปอย่างต่อเนื่องไม่มีหยุดพักราวกับถูกลงทัณฑ์ด้วยน้ำโลหะร้อนระอุจากนรก
กระนั้นมันก็ยังไม่มีท่าทีจะสิ้นท่า แม้จะล้มตึงหงายลงไปกับพื้นแล้วก็ตาม
แต่พิมเองก็หยุดมือไม่ได้เหมือนกัน
“ตายซะทีสิ!!!”
ร่างของมันยังไม่กลายเป็นฝุ่นธุลี และข้อความแจ้งเตือนชัยชนะก็ยังไม่ปรากฏ พิมจึงจำต้องโจมตีมันต่อไปเรื่อย ๆ
พยายามเข้า! พยายามเข้า!
ทัตกัดฟันลุ้นพอกับเจ้าตัว แม้จะลุกขึ้นไม่ไหวและส่งเสียงไม่ออกแต่ก็ยังพอมองเห็นความทุ่มเทของพิมที่กำลังเค้นแรงสู้เต็มกำลังแม้จะอยู่ห่างไกล
พิมยิงเวทเพลิงและสายฟ้าใส่มันอีกครั้งและอีกครั้ง
อีกครั้งและอีกครั้ง อีกครั้งและอีกครั้ง
เธอยังคงใช้ดาบที่หักครึ่งเป็นดั่งปืนคาบศิลายิงกระสุนเพลิงใส่ลำคอของมันราวปืนกลไม่หยุดพัก
ตายซะที! ตายซะทีสิ!!!
แม้จะเหนื่อยหอบ แม้เลือดจะไหลเป็นน้ำก๊อก เธอก็ยังคงยิงต่อไป
“ตายซะทีสิยะ!!!”
ตู้ม!!!!
เสียงตะโกนดังขึ้นในการโจมตีสุดท้าย หัวของเจ้าเกราะทมิฬหลุดกระเด็นพร้อมเสียงระเบิด แต่พิมเองก็หมดแรงในจังหวะนั้นจนล้มฟุบลงไปกับพื้น
“พิม… พิม!!!”
ทัตรีบออกแรงคลานเข้าไปหา ไม่ใช่เพราะศัตรูถูกโค่นแต่เป็นเพราะพิมกำลังหมดแรง
ถ้ามันยังไม่ตายจะทำยังไงดีวะเนี่ย เขากังวลเช่นนั้น
แต่… ดูเหมือนนั่นจะเกินความจำเป็นเสียแล้ว
เพราะหลังจากนั้นร่างของศัตรูก็เริ่มสลายกลายเป็นธุลีทอง
ท่านได้รับการเลเวลอัพเป็น ‘เลเวล 103’ แล้ว
ได้รับ ‘แต้มเลเวล’ 2 แต้ม
แล้วข้อความก็ประกาศในหัวของเขาจากการมีส่วนร่วมกับการต่อสู้ นั่นยืนยันแล้วว่าการตายของมันเป็นของจริง
“พิม! ยังมีสติอยู่ใช่ไหม! ตอบฉันที!”
แต่ความโล่งใจยังไม่กลับมา เพราะทั้งหมดนี้จะไม่มีความหมายหากพิมเป็นอะไรไป
สายตาทอดหาพิมที่ยังนอนอยู่กับพื้น พอได้เห็นเธอยกมือขึ้นโบกกลับทัตก็เผยยิ้มออกมาได้ แต่นั่นก็น่ากังวลอยู่เพราะมันหมายความว่าเธอไม่มีแรงเหลือพอจะตะโกน
แต่ทางทัตเองก็สภาพแย่พอกัน ถึงแบบนั้นก็อยากรีบไปหาพิมให้เร็วที่สุดเขาถึงพยายามคลานสุดแรงเกิดเข้าไปหาพิม
“รอก่อนนะ… กำลังจะไปหาแล้ว”
อย่าเพิ่งหมดสตินะ ห้ามหลับเด็ดขาด… ทัตวิงวอนไม่ให้พิมหายไปต่อหน้าเขาอีก หากมีครั้งที่สองเกิดขึ้นตรงนี้มันคงยากเกินกว่าจะทำใจได้
ด้วยความกลัวนั้น ด้วยความปรารถนานั้น
พอรู้ตัวอีกทีทัตก็สามารถชันตัวขึ้นได้แล้ว อย่างน้อยการหมดแรงก่อนหน้านี้ก็มีข้อดีตรงที่ทำให้เขาได้ฟื้นฟูพลังกาย แต่แน่นอนว่าขีดจำกัดไม่ได้ถูกฟื้นฟูตามไปด้วย ร่างกายเขาฟื้นฟูได้เต็มที่เพียงแค่มีแรงพอจะเดินได้เท่านั้น
แต่นั่นมากพอแล้ว เพราะสิ่งเดียวที่ทัตต้องการในตอนนี้คือการไปอยู่ข้าง ๆ พิม
“พิม ฉันมาแล้ว”
ทัตนั่งลงใกล้ ๆ ดูอาการของพิมแล้วพยุงเธอนอนตรง เธอกำลังหายใจหอบแรงมาก
นั่นไม่แปลกเลยสำหรับที่เธอสู้ติดต่อกันโดยไม่มีจังหวะพักเหนื่อย
ยังไม่นับแผลที่ถูกชิงมือขวาไป กับที่ถูกฟันสะพายแล่งจากซ้ายบนลงไปถึงสีข้างขวาของพิม ทั้งสองแผลยังสดใหม่เลือดจึงยังคงไหลไม่หยุด
“อยู่นิ่ง ๆ นะ”
ทัตถอดเสื้อตัวเองออกแล้วแบ่งเป็นสองชิ้น เปลี่ยนมันเป็นผ้าไว้ซับแผลที่อกและพันมัดข้อมือที่ขาด
เขาไม่มีความรู้ในการปฐมพยาบาลมากเท่ากับพิมจึงพักลักจำเอาจากที่เธอเคยรักษาเขาก่อนหน้านี้
ข่าวดีคือมันสามารถหยุดเลือดที่ข้อมือขวาได้ แต่ข่าวร้ายคือไม่ว่าจะทำยังไงแผลที่อกของเธอก็ไม่หยุดไหลเลย
บ้าเอ้ย… แผลลึกขนาดนี้เลยเหรอ?
ฝืนสู้ทั้งที่อยู่ในสภาพแบบนี้คิดอะไรอยู่กัน
ทัตอยากจะบ่น แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่สมควรทำในตอนนี้
สิ่งที่ควรทำและอยากทำที่สุดในตอนนี้คือรักษาชีวิตของพิมเอาไว้ต่างหาก
ต้องพาไปหาคุณหมอนิวที่โรงพยาบาล
ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
แต่ว่า… ถ้าไม่หาทางหยุดเลือดไว้ก่อน เธอได้เลือดหมดตัวตายก่อนไปถึงแน่
คิดถึงตรงนั้นทัตก็นึกอะไรบางอย่างออกจึงใช้สกิลวิเคราะห์กับพิมเพื่อตรวจสอบเลเวลของเธอ
และใช่… มันไปถึงขีดจำกัดที่เลเวล 100 อย่างที่ทัตคิดหวังไว้
เขาเริ่มมองไปรอบ ๆ ตามหาส่วนที่เหลืออยู่ของสิ่งที่พิมเพิ่งโค่นไป และโชคดีที่มันหล่นอยู่ใกล้พอจะยื่นมือไปหยิบได้
ทัตวางมันลงตรงพื้นใกล้ ๆ เพื่อให้พิมทำลายมันได้โดยง่าย
“พิมกำดาบไว้นะ”
“…อืม”
เธอตอบกลับเบาจนแทบไม่ได้ยินหากไม่พยายามเงี่ยหูฟัง
ส่วนทัตหยิบดาบเล่มที่พิมใช้จัดการศัตรูขึ้นมาให้เธอ แต่พิมไม่มีแรงเหลือแม้แต่จะกุมดาบด้วยซ้ำ ทัตเลยต้องกุมมือเธอทับอีกทอดหนึ่ง
เพื่อช่วยเหลือพิมในการทำลายอัญมณีสีฟ้าที่วางอยู่ใกล้ ๆ
อัญมณีแตกเป็นเสี่ยงอย่างง่ายดาย มันถูกออกแบบมาให้ทำลายได้อยู่แล้วจึงไม่ต้องใช้แรงมากมาย
มันกลายเป็นธุลีสีฟ้าเกาะร่างพิมแล้วเปล่งแสงออกมาเหมือนกับที่เกิดขึ้นกับทัต
“!!?”
และเช่นเดียวกัน… มีไอความมืดไหลผ่านตัวพิมเสมือนอสรพิษลิ้มรสกลืนกินจนทำเอาเธอรู้สึกกลัว
ยิ่งเจ้าไอความมืดนี้มีบรรยากาศแบบเดียวกับตัวต้นเหตุที่ทำให้พิมอยู่ในสภาพปางตาย พิมจึงยิ่งตัวสั่นงันงกตามปฏิกิริยาความกลัวฝังร่างกาย
“ไม่เป็นไรนะ” ถ้าไม่ได้ทัตที่อยู่ข้าง ๆ กุมมือเธอเอาไว้ความวิตกคงทำให้เธอสติแตก ยิ่งในเวลาที่ความคิดปั่นป่วนแบบนี้ด้วยยิ่งแล้วใหญ่
“ไม่เป็นไร… ไม่เป็นไร…”
และต้องขอบคุณทัต การได้คนที่เธอรักคอยปลอบประโลมถึงได้ทำให้เธอคงสติไว้ได้ ไม่แพ้ทั้งต่อความกลัวและอาการล้า
แต่คงต้องยกเว้นเรื่องอาการบาดเจ็บ
ไอความมืดหายไปหลังจากนั้นไม่นาน ทัตรีบปล่อยมือพิมแล้วกลับมาใช้เสื้อตัวเองกดแผลที่อกของเธออีกครั้ง
พิมใช้เวลานั้นอัพเลเวลของตัวเอง อย่างน้อยเธอก็มีสติและไหวพริบมากพอจะรู้จุดประสงค์ที่ทัตพาเธอทำอย่างนี้
“หายใจออกอยู่ใช่ไหม” ทัตไม่มั่นใจในเรื่องนั้น รู้สึกผิดจากใจที่ไม่เคยสืบค้นเรื่องการปฐมพยาบาลให้จริงจังกว่านี้
“ก็อย่ากดแรงเกินไป… จนมันแฟ่บแล้วกัน… เดี๋ยวไม่มีเหลือให้จับนะ”
“…เธอนี่มัน”
เห็นพิมยิ้มแย้มออกมาทั้งที่ใบหน้าบิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวดทำเอาทัตยิ้มขม
ผู้หญิงอะไรกันเนี่ย…
ทัตคิดชื่นชม รู้ว่าแม้เป็นเวลาแบบนี้พิมก็ยังไม่อยากให้เขารู้สึกผิด
แต่ว่า… อยู่แบบนี้ไม่ดีแน่
ไม่รู้มอนสเตอร์ตัวอื่นจะเข้าหาเราเมื่อไหร่ ถ้ารออยู่นี่ไม่มีแววว่าจะรอดได้ถึงเช้าเลย
โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็พังหมด ของพิมเองก็เหมือนกัน
ขอความช่วยเหลือจากใครไม่ได้เลย
รอนานกว่านี้ก็ไม่รู้ว่าเลือดไหลจนตายกับมอนสเตอร์โผล่ออกมากินจนตายอะไรจะเกิดก่อนกันอีก
บ้าชิบ!
ทัตเคร่งเครียดขมวดคิ้วเข้าด้วยกันอย่างหงุดหงิด แต่ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับป้องกันสถานการณ์ทั้งสองมีอยู่อย่างเดียว
“พอจะขยับได้บ้างรึยัง”
“ก็พอได้อยู่”
พิมตอบรับได้ชัดเจนขึ้น ดูเหมือนตัวเลือกที่ทำให้พิมเลเวลอัพเพื่อเพิ่มสเตตัสความสามารถทางกายจะเป็นตัวเลือกที่ถูก เพราะมันเพิ่มความสามารถในการฟื้นฟูร่างกายตามไปด้วย
ตอนนี้บาดแผลของเธอเองก็คงจะกำลังสมานตัวแต่แน่นอนว่ามีขีดจำกัด สถานการณ์ในตอนนี้จึงไม่อยู่ในจุดที่วางใจได้ มันไม่เคยเป็นแบบนั้น
ทัตจึงอุ้มเธอขึ้นหลังเพื่อออกไปจากตรงนี้ พยายามใช้ผ้ามัดแผลตรงอกแล้วใช้แผ่นหลังตัวเองกดไว้แทนการใช้มือกดแผล ประสิทธิภาพมันไม่ดีเท่าก็จริงแต่ก็ยังดีกว่านั่งกดแผลกันอยู่ตรงนี้โดยไม่รู้ว่าความช่วยเหลือจะมาถึงรึเปล่า
แม้คิดจะใช้สกิลพรางกายเพื่อความปลอดภัยก็ยังมีเรื่องของกำหนดเวลา จึงควรใช้หนีเมื่อเจอศัตรู ไม่ควรจะใช้ตั้งแต่แรกเริ่ม ไม่งั้นอาจเจอสถานการณ์ที่สกิลพรางกายหมดเวลาแล้วเจอเข้ากับศัตรูพอดิบพอดี
ทัตเริ่มออกเดินไปยังโรงพยาบาลทั้งแบบนี้ โดยหวังว่าจะไม่เจอศัตรูระหว่างทางแม้โอกาสจะริบหรี่ก็ตาม
สภาพจะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่แบบเราตอนนี้ขับมอไซไม่ไหวแน่
ถ้าเราคนเดียวคงพอเสี่ยงไหว
แต่ถ้ารถล้มขึ้นมาพิมคงอาการแย่ลงอีก
คงมีแต่ต้องเดินไปเท่านั้นสินะ
ทัตคิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยความหมดหวัง แต่ถึงจะเป็นโอกาสรอดที่น้อยที่สุดก็ต้องเดินต่อไป
เพราะถ้าโชคดี บุคคลที่สามที่เจอระหว่างทางก็อาจจะเป็นเซฟเวอร์ด้วยกันก็ได้
…แม้ความเป็นจริงแล้ว โอกาสจะมากพอ ๆ กับการเจอฝ่ายศัตรูในเขตนี้อย่างพวกปลอกแขนแดงที่เหลือก็เถอะ
“ถ้าเจอมอนสเตอร์หรือคนระหว่างทางจะทำยังไง” ในระหว่างนั้น พิมกลับถามออกมาราวกับจี้ใจดำ
“ฉันจะจัดการให้หมด”
คำตอบในทางทฤษฎีทัตไม่มีให้พิม แต่ถ้าเอาจากอารมณ์ที่เขามีตอนนี้ก็มีอยู่
อุตส่าห์เอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่ไม่มีทางชนะมาได้ ถ้าต้องมาตายเพราะลูกกระจ๊อกข้างทางคงทำเอารู้สึกผิดหวังในตัวเองไม่น้อย
แต่ที่ยิ่งกว่านั้น… คือการที่อุตส่าห์รอดจากสถานการณ์อันสิ้นหวังมาด้วยกันทั้งสองคน แต่ถ้ายังมาตายกับเรื่องหลังจากนั้นแล้วจากกันไปอีก มันคงเป็นเรื่องโหดร้ายน่าดู
“อย่าบ้าน่า ไม่ไหวหรอก”
แต่ความพยายามดิ้นรนกำจัดศัตรูทุกคนที่เข้าหาดูเหมือนจะไม่เป็นที่ต้องการของพิม น้ำเสียงของเธอถึงได้จริงจังน่าดู
และทัตเองก็รู้ด้วยว่ามันหมายความว่ายังไง
“ทิ้งฉันไว้เถอะ———”
“ให้ฉันตายดีกว่า”
ทัตปฏิเสธทันที นั่นไม่ใช่ตัวเลือกที่อยู่บนกระดาษคำตอบของเขา
การพูดแบบนั้นไม่ได้ส่งผลดีเลยแม้แต่น้อย นั่นยิ่งทำให้ทัตดึงดันจะช่วยพิมให้ได้
ถ้าเป็นตามปกติเธอก็ควรจะรู้แต่ขณะนี้คงช่วยไม่ได้ เพราะอาการบาดเจ็บทำให้ความคิดของเธอไม่อยู่ในสภาพปกติ รวมถึงสติที่เลือนรางลงไปเรื่อย ๆ เองก็ด้วย
ทางทัตเองก็ใช่ว่าสภาพจะดีไปกว่ากันเท่าไหร่
เขาเดินไปได้ไม่กี่ก้าวเข่าก็ทรุดลงไปกับพื้น หลังพักหายใจหอบได้สองสามครั้งถึงได้ลุกขึ้นมาเดินต่อ
บางครั้งแผลที่ถูกฟันตรงอกก็แตกออกทำให้เลือดไหล ทัตจึงต้องคุกเข่าลงไปพักอีกครั้งก่อนจะลุกเดินต่อ
บางครั้งเวทมนตร์ดินที่สร้างขึ้นแทนเท้าขวาหายไปจนทำทัตล้มลงไปกองกับพื้น เขาก็ต้องรีบใช้เวลาฟื้นฟูตัวเองให้มีพลังกายมากพอจะใช้เวทมนตร์สร้างขึ้นมาใหม่อีกครั้งแล้วเดินต่อ
…และแน่นอนว่าทัตทำทุกอย่างที่ว่ามานั้นในขณะที่แบกพิมไว้ข้างหลังไปด้วย
ทำไมถึงต้องทำขนาดนี้ด้วยนะ
พิมตั้งข้อสงสัย แต่คำตอบมันก็มีอยู่แล้ว สีหน้าของเธอถึงสดชื่นขึ้นมานิดหน่อย
ทำไมถึงได้น่ารักขนาดนี้นะ
เท่ชะมัดยาดเลยให้ตายสิ
“ถ้านายรักฉันขนาดนั้น ทำไมถึงไม่ยอมอยู่เคียงข้างฉันกันล่ะ” อยู่ดี ๆ พิมก็พูดอย่างนั้นขึ้นมาในขณะที่ทัตลากสังขารตัวเองไปต่อ ทัตรู้สึกชาไปทั้งตัวหลังได้ยินคำถามนั้นจากพิมจนขาต้องหยุดเดิน
“…นี่ไม่ใช่เวลาพูดเรื่องนั้นนะ”
แต่ก็ต้องเดินต่อ ทัตถึงพยายามไม่สนใจคำพูดนั้น พยายามคิดว่าสติของพิมอาจเริ่มเลื่อนลอยจนไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรอยู่
แม้ในใจของทัตจะหวั่นไหวสุด ๆ เพราะสิ่งที่พูดอาจเป็นใจจริงของพิมที่เธอแอบรู้สึกตลอดมาก็ตาม
“มันทำให้ฉันเสียใจนะ”
พิมพูดซ้ำย้ำเตือนสิ่งที่ทัตคิด บางทีเธอคงไม่ต้องการให้ทัตรู้สึกลำบากใจถึงไม่เคยพูด
แต่กำแพงที่เรียกว่า ‘สติ’ ได้หายไปแล้ว เธอถึงสื่อทุกอย่างที่คิดออกมาตรง ๆ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ทัตเริ่มรู้สึกอย่างที่พิมอยากจะให้เขารู้สึก
“นายเองจะไม่เสียใจเหรอ ถ้าฉันเกิดตายตอนนี้ขึ้นมา”
“…เสียใจสิ เพราะงั้นหยุดพูดได้แล้ว” ปฏิเสธไม่ได้ว่าทัตเลือกตอบอย่างนั้นเพื่อให้พิมสบายใจ
แต่ในขณะเดียวกัน นั่นก็เป็นใจจริงด้วย
“เหรอ… งั้นฉันก็ดีใจล่ะนะ” พิมพูดยิ้มแล้วก็หลับตาลงไป
“…พิม?”
ทัตเรียกแต่ไม่ได้รับการตอบกลับทำเอาทัตใจหายตัวเย็นเยือก
พิมนิ่งไปแต่ยังสัมผัสหน้าอกที่ยังย่อขยายผ่านแผ่นหลังได้อยู่ แม้พิมอาจจะหมดสติไปแล้วแต่การได้รู้ว่าเธอยังหายใจอยู่ก็ทำให้โล่งใจได้เปราะนึง
ทิ้งไว้แต่ความรู้สึกบางอย่างทำให้ทัตตอบกลับคำพูดของพิมก่อนหน้านี้ไม่ได้ และจำต้องรู้สึกจุกตรงหน้าอกอย่างน่าประหลาด
ไม่ใช่เพราะแผลที่ได้รับจากศัตรู และไม่ใช่เพราะคำพูดของพิมด้วย
…แต่เป็นเพราะตระหนักถึงใจจริงและความขลาดเมื่อครั้งอดีตของตัวเขาเอง
“อึ๊ก!”
ไม่รู้เป็นเพราะเรื่องนั้นหรือขีดจำกัดไล่ตามเขาทันอีกครั้ง ทัตถึงล้มลงไปนอนกับพื้น
ร่างกายของเขาอยู่ในสภาพอ่อนแอ นั่นเป็นสาเหตุหลักไม่ผิดแน่ แต่ก่อนหน้านี้ต่อให้ร่างกายถึงขีดจำกัดเขาก็ลุกขึ้นมาได้ทุกครั้ง เพราะงั้นบางทีมันอาจไม่ใช่สาเหตุนั้นก็ได้
ให้ตายสิ… ดันนึกขึ้นมาจนได้
ใบหน้าของพิมเมื่อ ‘ตอนนั้น’
เหตุการณ์เมื่อครึ่งปีก่อนแวบเข้ามาในหัว นั่นถือเป็นหนึ่งในการตัดสินใจครั้งใหญ่ของเขาก็ไม่ผิดทัตจึงไม่เคยลืมช่วงเวลานั้น
และถ้าจะให้ชี้ชัด มันคือการ ‘ปฏิเสธ’
หรือจะให้ชัดเจนกว่านั้น คือ ‘การฝืนใจปฏิเสธ’
และในเมื่อมันไม่ใช่การกระทำที่ขึ้นตรงกับความต้องการที่แท้จริง ความต้องการนั้นย่อมไม่หายไปไหน
มันจึงกำลังกลายเป็นสิ่งเรียกว่า ‘ความเสียใจในภายหลัง’ ที่กัดกินหัวใจของทัต
อาจเพราะแบบนั้น ความอบอุ่นที่ได้รับจากร่างของพิมที่กดทับแผ่นหลังของเขาอยู่ถึงเป็นทั้งรสหวานชุ่มชื่นและขมติดลิ้น
อะไรที่ทำให้เราไม่ยอมซื่อตรงกับตัวเองเมื่อตอนนั้นกันนะ
ทัตตั้งคำถามกับตัวเอง ไม่รู้เลยว่าตัวเขาเองก็กำลังตกอยู่ในสภาพเดียวกับพิม
ที่กำแพงแห่งสติอันเลือนรางได้ถูกทำลายลงไป จนทำให้ความรู้สึกที่แท้จริงเผยออกมา
ทำไมตอนนั้นฉันถึงไม่ตอบรับพิมกันนะ
เพราะยังจัดการบาดแผลในอดีตของตัวเองไม่ได้งั้นเหรอ?
คิดว่าพิมควรจะได้คบกับผู้ชายที่ดีกว่านี้งั้นเหรอ?
ไม่เลย… ความคิดสูงส่งแบบนั้นเป็นแค่เกราะป้องกันตัวเองเท่านั้น
ความจริงคือ เราก็แค่กลัวว่าพิมจะผิดหวังในตัวเราหลังจากที่คบกันไปต่างหาก
สิ่งที่ฉันทำอาจไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการ
ส่วนหนึ่งของสิ่งที่ฉันเป็นก็อาจจะถูกเธอไม่ชอบใจเข้าสักวัน
ฉันก็แค่กลัวว่าจะโดนพิมเกลียดเอาก็เท่านั้นเอง
เหมือนกันไม่มีผิด… กับเราเมื่อก่อน
จะทั้งเรื่องที่ไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานใหม่แล้วไม่กล้าพูดออกมาตรง ๆ จนทำให้คุณพ่อ คุณเฟรย์และฝ้ายต้องกังวล
ทั้งเรื่องที่ปฏิเสธความรักที่พิมให้ จนทำให้เธอรู้สึกลำบากใจตลอดเวลาที่ผ่านมา
จะเมื่อก่อนหรือตอนนี้ ตัวเราก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย
กลัวอนาคตที่ยังไม่ใช่ความจริง กลัวความคิดที่เกิดขึ้นทั้งที่มันอาจไม่เกิดขึ้น
หวาดกลัวเรื่องพรรค์นั้น จนไปทำร้ายความรู้สึกของคนที่ตัวเองรักโดยไม่รู้ตัว
ไร้สาระจริง ๆ
ทัตก่นด่าในความน้อยเนื้อต่ำใจ ไม่ได้ให้มันแก่ใครนอกจากตัวเขาเอง
ทั้งตัวเขาเมื่อครั้งอดีต ตลอดมา จนถึงเมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้ว
พิมเกือบต้องตายถึงสองครั้งฉันถึงจะคิดได้และรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
น่าสมเพชชะมัด
แต่พอแล้ว…
ไม่เอาอีกแล้ว…
เขายังฟื้นฟูไม่ถึงจุดที่ยืนไหว ถึงแบบนั้นก็พยายามชันตัวขึ้น พยายามแบกพิมขึ้นไปด้วยกัน
สาเหตุของเรื่องทั้งหมดที่ทำให้คนรอบข้างกังวลเป็นเพราะความอ่อนแอและความกลัวของตัวเขาเอง
ทัตในตอนนี้อาจยังห่างไกลกับการพัฒนาตัวเองเพื่อไปให้ถึงจุดที่ทำลายพวกมันลงได้
แต่ความอบอุ่นนี้เท่านั้นที่เขาไม่อยากให้หายไป เขาจะต้องปกป้องไว้ให้ได้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม
ถ้าทำไม่ได้ เขาจะเสียโอกาสแก้ตัวไปตลอดกาล จะสูญเสียคนที่เขารักที่สุดไปตลอดกาล
เราสองคนจะต้องรอดไปด้วยกันให้ได้
อากาศเริ่มเย็นลงเร็วกว่าที่ทัตรู้ตัว สภาพแวดล้อมอันย่ำแย่ทำให้สติของทัตค่อย ๆ เลือนหายไปเรื่อย
เรี่ยวแรงที่เหลือทำให้ลุกไม่ไหว ทัตออกแรงคลานเข่าแทนอย่างเลี่ยงไม่ได้
แต่ทำอย่างนั้นได้ไม่ถึงนาทีร่างทัตก็ร่วงจนคางกระแทกพื้นเลือดไหลซิบ เขาลุกขึ้นไม่ไหวอีกแล้ว ไม่ควรจะไหวตั้งแต่ก่อนหน้านี้ด้วย