แกร่งสุดด้วยอาชีพผสาน ในโลกที่มีมอนสเตอร์ออกมากินคนยามค่ำคืน - ตอนที่ 40 เข้าใจศัตรูได้ ย่อมมีชัยไปก
- Home
- แกร่งสุดด้วยอาชีพผสาน ในโลกที่มีมอนสเตอร์ออกมากินคนยามค่ำคืน
- ตอนที่ 40 เข้าใจศัตรูได้ ย่อมมีชัยไปก
————หลายคืนก่อน , ช่วงเหตุการณ์โรงพยาบาลถูกบุก
หลังสงครามระหว่างกลุ่มของเซฟเวอร์กับพวกนอกคอกจบลง มีหลายสิ่งที่ต้องจัดการ
เรื่องศพของพวกเดียวกันเป็นเรื่องหนึ่ง แต่เรื่องที่สำคัญกว่าก็คือการกำราบพวกของศัตรูที่ยอมจำนน
กำลังพลของศัตรูทั้งหมดมาจากกลุ่ม ‘พยัคฆ์ฟ้า’ และ ‘ปลอกแขนแดง’ รวมกัน นอกเหนือจากนั้นก็มีแค่ชายปริศนาสองคน
ผลลัพธ์หลังสงคราม… ชายสองคนที่มีเลเวลสูงกว่า 100 ผู้ไม่ทราบที่มาได้ตายสนิทเพราะลอร์ดมอนสเตอร์ปรากฏตัวอย่างกะทันหัน
กลุ่มพยัคฆ์ฟ้าจำนวน 20 กว่าคน คิดเป็นจำนวนเกือบถึงครึ่งหนึ่งของกลุ่ม ถูกทัตคนเดียวฆ่าตายจนหมด ที่เหลือรวมถึงตัวหัวหน้าอย่างดิวนั้นหนีไปได้
ส่วนกลุ่มปลอกแขนแดงนั้นโชคดีหน่อยเพราะอยู่แนวหลัง มีพวกที่ตายจากการปะทะกับเซฟเวอร์ประมาณ 10 กว่าคน แต่ก็น้อยมากเมื่อเทียบกับความสูญเสียของฝั่งเซฟเวอร์สาขาตะวันออกเฉียงเหนือ
หลังจบศึก คนพวกนี้รู้ดีว่าไม่มีปัญหาต่อกรกับทัต พวกเขาเห็นแล้วว่าทัตจัดการกับศัตรูยังไงจึงรีบยอมจำนนและถูกจับมัดกันหมด เพราะไม่อยากถูกฆ่าตายอย่างทรมานแบบเดียวกับพวกพยัคฆ์ฟ้านั่นเอง
รวมถึงเจสันผู้เป็นหัวหน้าที่ถูกทัตอัดจนสลบไปตอนแรกด้วย ตอนนี้เขาเองก็ถูกมัดตรงลานจอดรถโรงพยาบาลและถูกจับตาดูอยู่ตลอดเวลา
ถูกจับรวมอยู่กับชายหนุ่มสวมแว่นที่เป็นลูกน้องคนสนิท และลูกน้องคนอื่น ๆ ทั้งหมด
ทุกคนได้สติกันหมดแล้วไม่เว้นแม้แต่เจสันที่เป็นหัวหน้า ตอนนี้พวกเขาทุกคนถูกล้อมด้วยสมาชิกเซฟเวอร์ที่มีอาชีพ ‘Mage’ ของหน่วยลินดา
หากเล่นตุกติกก็จะถูกเวทมนตร์ยิงใส่โดยง่าย… หลังจากที่ฆ่าฟันกันมา ต่อให้เป็นเซฟเวอร์ที่รักความสงบก็คงไม่มีความลังเลที่จะสังหารคนพวกนี้ทิ้งอีกแล้ว
คิวกับเบลเดินเข้ามาสังเกตกลุ่มที่โดนจับพวกนี้พอดี เห็นตัวของระดับรองหัวหน้าหน่วยหลัก เหล่าปลอกแขนแดงก็รู้ได้ทันทีว่าเวลาแห่งการตัดสินได้มาถึงแล้ว
“จะเอายังไงกับคนพวกนี้ดีครับ?”
หนึ่งในคนเฝ้าเอ่ยถามกับคิว
แสงไฟสะท้อนกับเลนส์ทำให้มองไม่เห็นดวงตา ไหล่เขาตกกว่าปกติที่ดูผึ่งผายตามปกติ
บางที เจ้าตัวเองก็คงไม่รู้ว่าจะทำเป็นเก่งทำไมในเมื่อคนที่อยากให้อยู่ในสายตาได้ตายไปแล้ว
“เธอตัดสินเอาเองก็แล้วกันนะเบล” น้ำเสียงคิวแห้งแหบ หันไปอีกทางโดยไม่แยแสอะไรทั้งนั้น
“เดี๋ยวก่อนสิ”
“ฉันไม่สนใจแล้ว”
แม้จะถูกเบลเรียกแต่คิวก็เดินจากไปโดยไม่ได้หันกลับมา ตอนนี้เขาคงไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรอีกแล้ว
แต่มันก็ไม่ยุติธรรมสำหรับเบลด้วย… เธอดึงฮู้ดที่สวมอยู่ปิดหน้าลงมากกว่าเดิม
ตอนนี้ไม่ว่าใครก็ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น นอกจากปิดบังและเยียวยาบาดแผลตัวเองจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก
ไม่มีข้อยกเว้นแม้แต่คนเดียว
“สินตายแล้ว”
เสียงชายอีกคนดังขึ้นแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียงทำเบลตกใจอยู่เหมือนกัน แต่พอรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นทัตเธอก็กลับมาเงียบเป็นปกติ
“เหรอ…” เบลตอบสั้น ๆ ทัตเห็นก็รู้เลยว่าคงจะหนักหนาสำหรับเธอเหมือนกัน
ทัตเพิ่งรู้จักสินได้ไม่ถึงสัปดาห์ยังรู้สึกเจ็บปวด แล้วคนพวกนี้ที่รู้จักสินมานานกว่าจะรู้สึกยังไงกันนะ
แต่การคิดเค้นหาคำตอบคงไม่มีประโยชน์ เพราะมันเปลี่ยนอะไรไม่ได้
ทัตจึงเดินไปหยุดอยู่ข้างหน้าพวกปลอกแขนแดงที่ถูกมัดมือไพล่หลังนั่งพื้น
แล้วคิดถึงสิ่งที่ควรจะทำ
เห็นหน้าไอ้เวรพวกนี้… แล้วมันหงุดหงิดชะมัด!
ทัตกำหมัดแน่น ความโกรธที่ยังสดใหม่ถูกจุดปะทุขึ้นมาได้โดยง่าย แทบระงับสัญชาตญาณส่วนลึกไว้ไม่อยู่
เขาอยากพุ่งเข้าไปคว้าคอของเจสัน จับมันทุ่ม อัดมันจนแหลกติดกับพื้น กระทืบมันจนตายแล้วตัดหัวเสียบประจาน
ภาพจินตนาการนั้นกระตุ้นให้ทัตเดินเข้าไปอีกก้าว ความโกรธเกลียดครอบงำเขาโดยสมบูรณ์ ยิ่งเจสันเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้น้องสาวของเขาตาย ยิ่งไม่มีเหตุผลให้ปล่อยมันหนีเข้าไปใหญ่
มือของเขาเอื้อมไป อีกเพียงฟุตเดียวก็จะคว้าคอของเจสันตามนิมิตหมายในหัว
‘ห้ามเปลี่ยนไปนะเฮ้ย!’
แต่มีเสียงหนึ่งหยุดเขาไว้
‘อย่าให้… ไอ้โลกเส็งเคร็งนี่กลืนกินเอ็งเด็ดขาด เข้าใจไหม!?’
อีกหนึ่งสิ่งที่ยังสะท้อนก้องในหัว สดใหม่ยิ่งกว่าความโกรธที่สูญเสียน้องสาว
คำพูดสุดท้ายของเพื่อนไม่กี่คนที่มี และคำสัญญาไม่กี่อย่างที่ทัตให้ไว้
นั่นเป็นสิ่งที่หยุดยั้งทัตไว้ก่อนที่เขาจะกลายเป็นอย่างที่ศัตรูตัวฉกาจของเขาอยากให้เป็น
ดิวอยากทำลายอุดมคติของทัต อยากทำลายแนวคิดที่มนุษย์ต้องผูกมัดด้วยเหตุผล และที่โรงพยาบาลรวมถึงคนจำนวนมากต้องมาตายก็เพราะมันต้องการพิสูจน์เรื่องนี้
และทัต… ไม่อยากจะเป็นส่วนหนึ่งของการพิสูจน์เรื่องไร้สาระแบบนั้นอีกแล้ว
เขาจะไม่ใช้อารมณ์ในการแก้ปัญหาอีก และถ้าต้องฆ่าคนจริง ๆ ก็ต้องไม่มีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง
ทุกสิ่งทำไปก็เพื่อความจำเป็นเท่านั้น ไม่ใช่เพราะถูกความเกลียดชังสั่งให้ทำ
ทัตปฏิญาณไว้เช่นนั้น
“อึ๊ก!”
มือของทัตเอื้อมไปคว้าคอเสื้อของเจสัน เร็วจนเจ้าตัวยังตะลึง พอถูกร่างที่บางกว่าอย่างทัตยกลอยขึ้นยิ่งรู้สึกตะลึงในความแข็งแกร่งของทัต
คำตัดสินไม่มีทางเป็นอื่นอยู่แล้ว เพราะถ้าสถานการณ์กลับกันเจสันเองก็คงทำอย่างเดียวกัน
ไอ้… เชี่ยเอ้ย…
จะสบถยังทำไม่ได้ เจสันได้แต่กลืนน้ำลายยอมรับสภาพ
ถูกยัดเยียดความพ่ายแพ้มาให้ถึงสองครั้งสองครา สัตว์ร้ายที่ตัดสินคุณค่าด้วยกำลังตนนี้จึงยอมศิโรราบ ที่เหลืออยู่คงเป็นความโกรธแค้นในความไร้กำลังของตัวเอง
แต่มันคงไม่มีประโยชน์อีกต่อไปถ้าเขากำลังจะตาย
“เดี๋ยวก่อนครับ!” ชายหนุ่มสวมแว่นคนสนิทของเจสันตะโกนห้าม
“พวกเราถูกหลอกครับ! ไอ้คนชื่อดิวหัวหน้าของพยัคฆ์ฟ้านั่นมันหลอกให้เรามาร่วมด้วย พวกเราไม่ได้ตั้งใจที่จะ————”
“หยุดแก้ตัวซะที นี่แกจะบอกว่ามาโจมตีพวกเราโดยไม่คิดว่าจะมีผู้บริสุทธิ์ต้องตายเหรอ?”
ทัตพูดขัดเสียงด้วยเรียบเย็นเยือก แต่นั่นดูน่ากลัวยิ่งกว่าถูกตะคอกใส่เสียอีก ทำเอาชายหนุ่มสวมแว่นชะงักเหงื่อตก
แต่… บางอย่างผลักดันให้เขายังพูดต่อ
“ก็ถ้าพวกเราไม่จัดการพวกคุณ พวกคุณก็จะจัดการพวกเรานี่! จะให้พวกเรายอมตายเหรอ! พวกเรายังไม่ตายนะ ใครก็ไม่อยากตายทั้งนั้นแหล่ะ!!!” ชายหนุ่มสวมแว่นเถียงกลับ ท่าทางเขากล้า ๆ กลัว ๆ
วินาทีนี้… ทุกคนต้องทำทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอด
แต่การอ้างว่าเป็นการป้องกันตัวทั้งที่เป็นฝ่ายลงมือก่อนมันฟังไม่ขึ้น อย่างน้อยก็ในมุมมองของทัต
“ไปพูดแบบนั้นกับคนที่พวกแกฆ่าสิ สาเหตุที่มันกลายเป็นอย่างนี้ก็เพราะพวกนายเป็นคนเริ่มฆ่าคนบริสุทธิ์ก่อนไม่ใช่รึไง?”
“นั่นมันไม่จริ————”
“หุบปากเถอะ”
ชายหนุ่มสวมแว่นถูกตัดบท ทว่าคนที่พูดไม่ใช่ทัตหากแต่เป็นเจสันที่ยังถูกคว้าคอเสื้อจนตัวลอยต่างหาก
“คนอ่อนแอไม่มีสิทธิบ่นหรอก”
“…คุณเจสัน”
“จะฆ่าก็รีบฆ่าซะ”
แตกต่างจากชายหนุ่มสวมแว่นที่พยายามหาเหตุผลเอาตัวรอด เจสันมีท่าทียอมพ่ายโดยดี แต่สายตาที่มองเข้าไปในดวงตาของทัตกลับไม่ได้ยอมจำนนเต็มร้อย
ทัตเองก็ไม่คิดว่าชายคนนี้จะเป็นประเภทที่โต้เถียงใครกลับด้วยเหตุผลได้ และไม่คิดว่ามีแผนอะไรซ่อนอยู่ด้วย หมอนี่คงยอมรับความตายไปพร้อมกับความพ่ายแพ้แล้วจริง ๆ
ฆ่า… หรือไม่ฆ่า…
ตัวเลือกเกิดขึ้นในใจทัต
เบื้องหน้าเขาในตอนนี้เป็นชายน่าสมเพชที่เคยออกอาละวาดไปทั่วโดยที่ยังทำความเข้าใจไม่ได้
แถมว่ากันตามตรง… ในหัวของทัตตอนนี้มีแต่ความโกรธเกรี้ยวและเศร้าโศกผสมปนเปกันอยู่ เขาไม่แน่ใจเลยว่าหากตัดสินใจออกไปแล้ว มันจะเป็นไปด้วยเหตุผลหรืออารมณ์
ดวงตาของเขาจึงสั่นรัว มากพอกับเจสัน
“!!!?”
สุดท้ายทัตก็ปล่อยมือลงกะทันหัน เจสันเลยร่วงลงไปก้นจ้ำเบ้ากับพื้น
พร้อมด้วยสายตาที่สับสนจากทั้งเจสัน ชายสวมแว่นคนสนิทหรือแม้แต่พวกเดียวกันอย่างเบลและสมาชิกเซฟเวอร์คนอื่น ๆ
“วันนี้มีคนตายเยอะพอแล้ว พวกแกคงเห็นแล้วว่าฉันทำยังไง” ทัตเดินเข้ามาใกล้อีกก้าวทำให้เจสันต้องเงยหน้าขึ้นมอง
“ฉันจะบอกพวกนายไว้อย่างนึง… ถ้าเกิดมีครั้งหน้าที่ฉันได้ยินว่าพวกนายไปทำร้ายใครอีก ฉันจะตามไปฆ่าพวกนายให้หมดทุกคน ให้ทรมานมากกว่าที่น้องสาวของฉันโดนนับสิบนับร้อยเท่า”
น้ำเสียงเย็นเยือกดึงดูดสายตาของพวกปลอกแขนแดงคนอื่นไปด้วย
ทัตมองกวาดทุกคนที่อยู่ในกรอบสายตา ยืนยันเพื่อให้แน่ใจว่าดวงตาทุกคู่สะท้อนความหวาดกลัวที่มีแก่เขา เพราะอย่างไรเสียภาษากายก็สื่อความได้ดีกว่าคำพูด
แม้แต่เจสันเองก็แสดงออกอย่างเดียวกัน ตอนนี้พวกปลอกแขนแดงหวาดกลัวทัตเต็มที่แล้ว
“ไสหัวไปซะ! ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจ” เพียงแค่ทัตขึ้นเสียงพวกปลอกแขนแดงก็ตัวสั่นงันงก ทุกคนแปลกใจอีกหนเมื่อได้ยินคำยืนยันการปล่อยตัว
“รีบไสหัวไปซะสิ! ไม่ได้ยินรึไง!!!”
ต้องให้ทัตย้ำอีกรอบ เจสันกับชายหนุ่มสวมแว่นที่ยังตะลึงอยู่เลยรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งหนีออกไปตามที่บอกอย่างว่าง่าย เหล่าลูกน้องเองก็วิ่งตามก้นกันไปติด ๆ
“จะดีเหรอ?” เบลถามจากข้างหลัง ทุกคนเองก็รู้สึกแปลกใจที่ทัตผู้เป็นพี่ชายของหัวหน้าตัดสินใจแบบนี้
“ฉันไม่อยากใช้อารมณ์ตัดสินโทษใคร และถ้าพวกมันกระจายข่าวลือความน่ากลัวที่เกิดขึ้นเพราะฝีมือฉัน พฤติกรรมพวกนอกคอกในเขตก็น่าจะลดลง เพราะงั้นคนพวกนี้น่าจะยังมีประโยชน์อยู่”
สิ่งที่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบมีความน่าเชื่อถือปนอยู่เพราะเนื้อความ แต่น้ำเสียงของทัตดูไม่มั่นคงพอจะพูดได้อย่างมีหลักการ
“แล้วถ้าพวกมันไปทำร้ายคนอื่นอีกล่ะ” หากจะมีจุดที่เบลแคลงใจคงจะเป็นเรื่องนั้น แต่นั่นก็หลังจากเห็นสายตาของทัต
“ฉันจะจับตาดูพวกมัน และถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ฉันจะเป็นคนรับผิดชอบทุกอย่างเอง”
“…เหรอ ฉันจะจำเอาไว้”
เบลดึงฮู้ดลงอีก รู้สึกขนลุกเมื่อได้สบแววตาที่มั่นคงไร้การสั่นไหว เรื่องนี้มั่นใจได้มากกว่าตอนตัดสินโทษ
เห็นได้ชัดว่าหากทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่คิด… ทุ่งสังหารจะเกิดขึ้นอีกอย่างไม่ต้องสงสัย
❖❖❖❖❖
พอมานึกดู… มาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มั่นใจว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องรึเปล่า
แต่ผลลัพธ์ของการทำอย่างนั้นเลยทำให้ฉันกับพิมรอดชีวิตในภายหลัง
โลกกลม ๆ ใบนี้นี่มันคาดเดาอะไรไม่ได้จริง ๆ
ทัตคิดแล้วก็ได้แต่ฉงนเมื่อคิดถึงต้นเหตุที่ทำให้ศัตรูคู่แค้นยังมีชีวิตยืนอยู่เบื้องหน้าของตน ดันเป็นเหตุผลเดียวกับที่ทำให้เขาและคนรักยังมีชีวิตอยู่ตามไปด้วย
“ได้ยินจากคุณหมอนิวมา… นายเป็นคนแบกพวกเราไปส่งที่โรงพยาบาลใช่ไหม ขอบใจนะ” ทัตพยายามพูดดีด้วย แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่ได้มากพอให้เขาเผยยิ้มออกมา
“…หนวกหูว่ะ”
อีกฝั่งเองก็แสดงท่าทีอย่างเดียวกัน… ไม่มีความเป็นมิตรอยู่ในน้ำเสียง เช่นเดียวกับความเป็นศัตรู
พูดให้ถูก คนเดียวที่ทำอย่างนั้นคือพิมที่กำลังแยกเขี้ยวใส่เจสันไปด้วยกอดแขนทัตไปด้วยนี่แหล่ะ
“ชิ”
เจสันเดาะลิ้นรำคาญ ทัตแอบเห็นว่าเขาเหงื่อตกก่อนจะพลิกตัวกลับแล้วเดินจากไป
นั่นเป็นสัญญาณที่ดีว่ายังกลัวกันอยู่ เจสันถึงรีบจ้ำอ้าวหนีอย่างไว
…แต่ไวไม่เท่ากับทัตที่เดินตามไปติด ๆ พร้อมจูงพิมตามมาด้วย
“แล้วจะตามมาทำไมวะ” เจสันหยุดเท้าหันมาถลึงตาใส่
“นี่ถนนสาธารณะ ฉันอยากเดินไปไหนก็เรื่องของฉันไม่ใช่เหรอ?”
“หา!?”
เจสันเลิกคิ้วยั๊วอย่างแรง แน่นอนว่าคนอย่างเขาไม่ฟังเหตุผลของคนอื่นหรอก
เขาแค่กลัวทัตจึงไม่อยากให้ทัตอยู่ใกล้ เรื่องมันก็ง่าย ๆ แค่นั้น
ทั้งสองจ้องกันตาไม่กะพริบ… เจสันดวงตาสั่นลอกแลก แต่ทัตนิ่งสงบไม่ไหวติง
ในตอนนั้นพิมที่อยู่ข้าง ๆ ก็กระตุกชายเสื้อเรียก
“นี่… จะตามหมอนี่ทำไมน่ะ เรากลับกันเถอะ” พิมดูจะสับสนและลำบากใจไม่เบา แต่สาเหตุหลักคงเป็นเพราะไม่อยากอยู่ใกล้คนที่เคยทำร้ายคนรักของเธอมากกว่า
“ฉันมีเรื่องที่สงสัยน่ะ”
แต่ทัตไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย เขาหันไปตอบพิมอย่างราบเรียบ ในน้ำเสียงไม่ได้มีความรู้สึกโกรธหรือสงสารใด ๆ ทั้งสิ้น
…นอกเสียจากความสงสัย โดยเฉพาะเหตุผลที่ขับเคลื่อนให้เจสันช่วยเขาเอาไว้ จึงต้องตามไปให้ได้จนกว่าอีกฝ่ายจะพร้อมคุย
“ฉันอยากรู้จักพวกนายมากกว่านี้ ฉันเป็นคนปล่อยพวกนายไป จึงเป็นความรับผิดชอบของฉันที่ต้องจับตาดูเรื่องที่พวกนายจะทำนับจากนี้”
ทัตไม่อยากเสียมารยาท แต่ว่ากันตามตรง เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะฉลาดพอที่จะรู้ว่าเขาต้องการอะไรหากไม่บอกไปตรง ๆ
ทัตจึงตัดเข้าประเด็นกับเจสัน มองเข้าไปในดวงตาที่สั่นไหวของมัน เป็นครั้งแรกที่ทัตพยายามจะสื่อบางอย่างไปหาศัตรูอย่างจริงจัง
ทางเจสันไม่ได้ตอบกลับใด ๆ ทั้งสิ้น เขาขมวดคิ้วไม่สบอารมณ์แล้วหันขวับกลับไปเดินต่อเสมือนไม่สนใจ
แต่หลังจากที่ทัตเดินตามเจสันไป เขาก็ไม่ได้หันมาไล่หรือเขม่นใส่อีกแล้ว
เจสันปล่อยให้ทัตกับพิมเดินตามมาติด ๆ
พาเดินอ้อมผ่านถนนฝั่งตรงข้ามรั้วโรงเรียนจากอีกฝั่งถึงอีกฝั่ง เลยด้านข้างโรงเรียนซึ่งอยู่ตรงข้ามกับหอของทัตออกไปไกล
เดินไปจนถึงตรงที่มีซอยเล็ก ๆ ให้เดินเข้าไป ทางดูเปลี่ยวไม่เบาแต่ก็ยากจะเชื่อว่าเจสันวางกับดัก เพราะที่นี่เป็นย่านอาศัยแถวโรงเรียน หากก่อเหตุที่นี่จะต้องเป็นเรื่องใหญ่และตำรวจจะตามมาระงับเหตุได้อย่างทันท่วงทีแน่นอน
“ยิมมวยเหรอ?”
ทัตเห็นสถานที่จุดหมายก็รู้ได้ทันที มันไม่ใช่สถานที่ที่จะได้เจอบ่อย ๆ แต่ก็ไม่ใช่ของแปลก
มันเป็นตึกเก่าที่มีหน้าต่างมากกว่าตึกทั่วไปกำลังเปิดระบายอากาศ มองเข้าไปข้างในก็เห็นสนามมวยอยู่ตรงกลาง รอบ ๆ ก็เต็มไปด้วยอุปกรณ์และสมาชิกที่เข้ามาใช้งานประมาณสิบคนเห็นจะได้
เจสันเปิดประตูเข้าไปข้างใน และก่อนที่บานประตูจะแง้มสนิททัตก็เอามือดันไว้แล้วเดินเข้าไปตาม พิมเดินทัตตามเข้ามาติด ๆ เช่นกัน
“เห้ย!”
“ทำไมหมอนั่นถึง!?”
เหล่าสมาชิกในยิมตกตะลึงแตกตื่นกันใหญ่เมื่อเห็นทัตเดินเข้ามาในตึกพร้อมกับเจสัน
บางคนเหงื่อตก บางคนกลืนน้ำลาย สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่ทัตและพิมกันทุกคนไร้ข้อยกเว้น
“ทัต… เจ้าพวกนี้ทุกคนเป็นพวกปลอกแขนแดงกันหมดเลย”
พิมกระซิบข้างหูทำให้ทัตเข้าใจ ความจำของพิมเป็นเลิศและเขาก็เชื่อว่าพิมรู้จังหวะที่ควรจริงจัง
แต่ถึงไม่ได้ยินพิมยืนยัน สายตาและท่าทางระแวดระวังตั้งรับการโจมตีก็เห็นชัดเจนอยู่แล้วว่าทัตเป็นที่รู้จัก เหล่าสมาชิกยิมไม่มีใครเลยสักคนที่แสดงท่าทีสับสนเหมือนไม่รู้จะทำยังไง
หากไม่นับเจสันที่เดินเอาถุงพลาสติกจากร้านสะดวกซื้อไปวางบนเก้าอี้พัก พวกเขาทุกคนกำลังกลัวโดยไร้ข้อยกเว้น
“วันนี้ฉันแค่มาคุย” ทัตรีบเข้าประเด็นก่อนจะเป็นเรื่องใหญ่
“และบอกให้เอาบุญ ฉันกับแฟนเพิ่งโค่น ‘Chivalry’ กันมาได้… พวกเราแข็งแกร่งกว่าวันที่พวกนายมาบุกโรงพยาบาลอีก เพราะงั้นอย่าทำอะไรโง่ ๆ จะดีกว่า”
ถ้าไม่ถูกโจมตีก่อนพวกเราก็จะไม่ทำอะไร ทัตพยายามส่งต่อเจตนานั้นทุกคนเลยนิ่งไปแต่ยังวางใจไม่ได้เต็มที่
ยิ่งเห็นพิมเอามือลูบแก้มลุกลี้ลุกลนอยู่คนเดียวยิ่งทำให้พวกเขากังวลเข้าไปอีก
ทัตเห็นท่าทางผิดปกติแล้วอดสงสัยไม่ได้เหมือนกัน
“อะไรเหรอ?”
“โดนเรียกว่าแฟนด้วยอ่ะ”
“…”
ได้ยินเรื่องที่ขัดกับสถานการณ์ทำเอาทัตต้องกุมขมับ ถึงจะเป็นความจริงที่ทัตกับพิมแข็งแกร่งกว่าจนไม่มีเรื่องต้องกังวลก็เถอะ มองในแง่นั้น นี่อาจเป็นการกดดันพวกปลอกแขนแดงมากขึ้นด้วย
ถ้าไม่นับเจสันที่เดินไปหยิบนวมแล้วเริ่มชกกระสอบทรายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตอนนี้ทุกคนก็ยังตกใจกันอยู่
“ทะ ทำไม!? พวกคุณมาทำอะไรกันครับ!?”
เสียงตะลึงแปลกใจดังมาก่อนเจ้าของเสียง
เขาออกมาจากห้องสำนักงานที่อยู่ในสุดทำให้เห็นว่าเป็นชายหนุ่มสวมแว่นคนสนิท เขาดูหนุ่มกว่าตอนที่เผชิญหน้ากัน อายุน่าจะยังไม่ถึง 30 ด้วยซ้ำ
เขาคงเห็นในยิมเงียบไปถึงได้ออกมาดู คิดว่าตอนนี้คงไม่รู้สึกแปลกใจแล้วว่าทำไม
แต่ท่าทางตื่นตระหนกไม่ใข่สิ่งที่ทัตต้องการ
“อย่างที่บอก ฉันมาคุย… เอาให้ชัดเจนกว่านั้นคือมาทำความเข้าใจ”
ทัตหันไปมองชายสวมแว่นตรง ๆ คิดว่าถ้าเป็นชายคนนี้คงเข้าใจที่พูด
แต่เจ้าตัวก็ยังเหงื่อตกเหมือนกับคนอื่นอยู่ดีนั่นแหล่ะ
ในระหว่างที่คิดว่าจะอธิบายยังไง พิมก็กระตุกแขนเสื้อทัตอีกครั้ง
“นี่… ไม่ได้คิดเรื่องที่อาจโดนโจมตีตอนนี้เหรอ?”
พวกเรายังเป็นคนธรรมดากันอยู่นะ ถึงจะแข็งแรงกว่าคนปกติแต่ยังไงก็ไม่เท่าความสามารถที่มีตอนกลางคืนหรอก
พิมคงระแวดระวังขึ้นหลังได้เห็นหน้าชายคนนี้ คงไม่แปลกเพราะเขาเคยจับพิมเป็นตัวประกันมาก่อน
แต่ทัตก็คิดว่ายังไม่น่าเป็นปัญหา
“ฉันคิดว่าเอาอยู่นะ”
“แล้วถ้าคนพวกนี้ใช้อาวุธล่ะ”
“…”
พิมกระซิบด้วยเสียงที่เบาขึ้นทำให้ทัตเริ่มขมวดคิ้ว พิมเองก็คงกังวลเรื่องเดียวกันนี้ถึงได้หยุดกระดี้กระด้า
เรานี่ไม่รอบคอบเลยจริง ๆ
ถึงจะรับมืออาวุธมีคมได้ด้วยการรักษาระยะห่างก็เถอะ
แต่ไม่ได้หมายความว่าคนพวกนี้จะไม่มีปืนผิดกฎหมายซะหน่อย
ทัตกัดฟันกังวล สายตาเริ่มมองหาทางหนีทีไล่ไว้ก่อน
โชคดีที่ยังอยู่ใกล้ประตูทางออก หากมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นจริงทัตก็ยังพาพิมหนีออกไปได้ทันอยู่
“พวกคุณไม่รู้เหรอว่าการโจมตีผู้มีพลังด้วยกันเองในเวลาปกติมันทำไม่ได้น่ะ” ชายหนุ่มสวมแว่นพูดขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยดึงความสนใจทัตกับพิมอีกครั้ง
ชายคนนี้ช่างสังเกตไม่เบาที่เห็นความลังเลของทัต
“หมายความว่ายังไง?” ทัตต้องการคำอธิบายเพิ่ม
“ในกระเป๋าพวกคุณมีคัตเตอร์หรือกรรไกรไหมครับ” ชายสวมแว่นพูดขึ้นยิ่งทำให้สับสนไปใหญ่ พิมหันมองสบตาทัตเหมือนถามความเห็น และทัตก็พยักหน้าให้
“ฉันมีอยู่” พิมตอบไปตามตรง ชายสวมแว่นก็พยักหน้ารับ
“เหมือนว่าโลกนี้จะมีระบบป้องกันไม่ให้ผู้มีพลังทำร้ายกันในช่วงที่ยังไม่มีมอนสเตอร์น่ะครับ หากผู้มีพลังด้วยกันเองโจมตีกันในเวลาปกติแบบนี้ ไม่ว่ายังไงก็ไม่เป็นผลหรอก”
ชายหนุ่มสวมแว่นผายมือเริ่มอธิบาย นั่นเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อที่ไม่เคยได้ยิน แต่แน่นอนว่าทัตไม่เชื่อโดยสนิทใจ
“แล้วให้เอาคัตเตอร์ออกมาทำไมเนี่ย?” พิมถามได้ตรงประเด็น
“ให้ลองเอามาโจมตีผมดูครับ แต่ต้องให้คุณผู้หญิงเป็นคนทำนะครับ ผมไม่ไว้ใจให้คุณทัตทำ”
ชายหนุ่มสวมแว่นพูดออกมาได้หน้าตาเฉย ถึงจะมีข้อสงสัยที่ว่าทำไมต้องเป็นพิมด้วยก็เถอะ
และจุดนั้นแหล่ะที่ทัตไม่กล้าเสี่ยง
“เดี๋ยวก่อน จะรู้ได้ไงว่าไม่ใช่กับดัก”
พอความระแวดระวังกลับมาทำงานตามปกติทัตก็เล็งเห็นเรื่องนั้น ชายหนุ่มสวมแว่นอาจพยายามให้พิมโจมตีเขาแล้วอ้างว่าถูกทำร้ายเพื่อให้โดนคดีความ พูดง่าย ๆ ว่าสู้ตอนมีพลังไม่ได้ก็สู้กันด้วยกฎหมายในตอนปกติแทน
ทัตจึงไม่ยอมปล่อยช่องว่างให้มีความเสี่ยงอีก
พอคิดดูอีกที เขาอาจจะระวังเป็นพิเศษเพราะพิมเป็นศูนย์กลางการกระทำมากกว่า
ถึงแบบนั้นถ้าสังเกตดูดี ๆ จะไม่มีใครตกใจกับสิ่งที่ชายสวมแว่นจะทำเลยก็ตาม นั่นอาจเป็นตัวบอกว่าสิ่งที่ชายคนนี้พูดมีมูลความจริง แต่ก็ยังไว้ใจไม่ได้อยู่ดี
“กังวลอะไรนักหนาวะ” ได้ยินเสียงเจสันบ่นมาแต่ไกล ตอนนี้น่าจะออกแนวรำคาญไปแล้ว เขาถอนหายใจใส่อีกต่างหาก
แน่นอนว่าทัตไม่สนใจ ครั้นจะหันไปถามยืนยันจากชายสวมแว่นเขาก็ยักไหล่กลับมาเพราะไม่มีวิธีพิสูจน์อย่างอื่น แถมจะให้พวกนั้นลองโจมตีกันเอง พวกมันก็อาจเล่นละคร
แต่จะปล่อยให้คาราคาซังแบบนี้ก็ไม่ได้ เพราะหากข้อมูลที่ว่าเป็นจริงก็จะได้คุยกันอย่างวางใจ
แถมอีกฝ่ายคงรู้อยู่ว่าไม่ควรโกหกหรือเล่นตุกติก ไม่อย่างนั้นทัตคงเอาตายแน่นอนหากกลางคืนมาถึง การทดสอบจึงค่อนไปในทางคุ้มเสี่ยง
“ช่วยไม่ได้… เธอลองโจมตีฉันหน่อย กรีดเบา ๆ ก็ได้”
“อะไรนะ!?” ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทดลองกันเองหน้างาน เป็นแบบนี้ถึงบาดเจ็บขึ้นมาก็ไม่มีเรื่องคดีความให้กังวล
“เอาน่า อย่างมากก็นิ้วกุด จะได้ไม่ต้องเรียน รด.”
“อย่ามาติดตลกเวลาแบบนี้สิยะ”
พิมอยากจะกระทืบเท้าหงุดหงิดเพราะมันไม่ตลกสำหรับเธอเลย
เหงื่อเองก็เริ่มตกกังวล ใครเล่าจะอยากทำร้ายคนที่ตัวเองรัก
แต่… ก็รู้อยู่เหมือนกันว่าไม่มีทางเลือกอื่น สายตาที่วอกแวกถึงพยายามรวบรวมสติเดินเข้าไปใกล้ ๆ ทัต เขาจึงรีบชูนิ้วชี้ไว้นิ่ง ให้พิมเห็นและเล็งชัด ๆ
“เป็นไงไม่รู้ด้วยนะ”
พูดเหมือนขอไปทีแต่ตั้งใจเล็งประหนึ่งสอดด้ายเข้ารูเข็ม
พิมกลั้นหายใจแล้วรีบใช้คัตเตอร์เฉือนนิ้วของทัตเบา ๆ
เอ๊ะ!?
แต่ก่อนที่คมมีดจะไปถึง พิมรู้สึกราวกับทุกอย่างช้าลง กลายเป็นภาพสโลโมชั่นในช่วงเวลาเสี้ยววินาที
แล้วปลายมีดของเธอก็ถูกผลักออกไปจากจุดที่ตั้งใจไว้
อย่างจงใจ โดยบางสิ่ง… บางสิ่งที่มองไม่เห็นสัมผัสไม่ได้
“มีดฉันเบี่ยงออกเองเฉยเลย”
“เหมือนนิ้วชั้นหลบเองเลย”
พิมกับทัตตกใจเรื่องเดียวกัน แถมยังร้อง เอ๊ะ! กลับไปด้วยเพราะนึกว่าเป็นเรื่องแปลกที่เกิดขึ้นกับตัวเองคนเดียว
อย่างไรก็ดี… สัมผัสประหลาดที่มีบางสิ่งคอยเลี่ยงไม่ให้เกิดการทำร้ายกันขึ้นก็เป็นของจริง ทัตกับพิมได้สัมผัสมันด้วยตัวเองแล้ว
“เห็นไหมครับ?” ชายหนุ่มสวมแว่นผายมือยืนยันอีกรอบ
เขาไม่ได้ยิ้ม แต่สีหน้าสบายใจขึ้น คงเพราะแสดงให้เห็นความบริสุทธิ์ใจของตัวเองไปแล้ว
เขาคงเชื่อว่าคนอย่างทัตไม่น่าปลิ้นปล้อน กลับกัน… ถ้าแสดงให้เห็นว่าตัวเองไว้ใจได้ ทัตก็น่าจะเชื่อใจเขามากขึ้นด้วย
ถึงแบบนั้น… พอนึกภาพที่ทัตไล่สังหารคนจำนวนหลายสิบคนเมื่อคืนนั้น ริมฝีปากไปจนถึงคอของเขาก็ยังแห้งเผือด พาลเหงื่อตกอยู่เลย
“นายชื่ออะไร?” พอถูกทัตถามเข้า ชายสวมแว่นก็ไหล่กระตุกอีกครั้ง
“ผม… ชื่อเนตร”
“ฉันทัต”
เขาแนะนำตัวเองสั้น ๆ นั่นว่าแปลกแล้วสำหรับคนที่เป็นศัตรูกัน
แต่ไม่แปลกเท่าตอนที่ทัตยื่นมือขวาให้กับชายหนุ่มสวมแว่น… เนตรเพื่อแสดงความเป็นมิตรเพราะพวกเขาน่าจะรู้จักทัตอยู่แล้ว
เนตรไม่มีทางเลือกก็จริง แต่อีกฝ่ายมีพลังที่จะสังหารพวกเขาทั้งกลุ่มได้ในพริบตา ทัตจึงไม่มีเหตุผลให้ต้องหลอกลวงพวกเขา
เนตรยื่นมือออกไปรับการทักทายนั้นตรง ๆ ด้วยความคิดแบบนั้น หรืออย่างน้อยก็หวังไว้อย่างนั้น
“ทุกคนตามสบายเถอะครับ ดูเหมือนจะไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว”
เนตรผละมือออกบอกทุกคนอย่างนั้น ดูเหมือนชายคนนี้จะมีอิทธิพลรองจากเจสันทุกคนเลยวางใจตามที่พูด
เขายังกล้า ๆ กลัว ๆ อยู่ก็จริง แต่ถ้าทัตไม่ใช่คนประเภทที่ซื่อตรงไร้เล่ห์เหลี่ยมเขาคงไม่กล้าที่จะเชื่อ
“แล้วพวกนายจะกลัวฉันแต่แรกทำไมเนี่ย?”
สถานการณ์ผ่อนคลายลง ทัตเลยปรับมาใช้น้ำเสียงเป็นมิตร
เป็นไปในความสงสัยว่าทำไมคนพวกนี้ดูวิตกจริตเกินเหตุนักหากผู้มีพลังโจมตีกันตอนนี้ไม่ได้จริง
“ก็คุณมันผิดมนุษย์มนา เราจะไปรู้ได้ยังไงว่าคุณทำอะไรได้บ้างน่ะครับ”
เนตรยักไหล่อธิบาย เป็นคำตอบที่เข้าใจได้
ทัตแข็งแกร่งกว่าคนที่มีเลเวลเดียวกัน นั่นเป็นเรื่องที่คนภายนอกยังหาคำอธิบายไม่ได้และเป็นหนึ่งในข้อได้เปรียบที่ทัตมีรองจากความแข็งแกร่งของเขา
กับเรื่องที่อธิบายไม่ได้แบบนั้น เป็นใครก็ต้องระวังตัวไว้ก่อนเพราะทัตอาจจะทำเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ขึ้นมาอีกก็ได้เช่นกัน
แบบนี้ข่าวลือของเราคงจะกระจายไปทุกที่แล้วล่ะมั้ง
ถ้ามองในแง่ของความปลอดภัยก็ดีด้วย เพราะศัตรูจะต้องระแวดระวังและเว้นระยะห่างมากขึ้น
แถมอีกฝ่ายไม่รู้ว่าคนที่ครองพลังนี้ในเซฟเวอร์เป็นใครนอกจากคนที่เคยเจอเรา
แถมในกรณีที่รู้ พอเจอหน้าเราคนพวกนั้นก็จะยิ่งกลัวเรา
ดังนั้น ไม่ว่าในแง่ไหนก็เป็นข้อได้เปรียบทั้งนั้น
ทัตคิดแล้วก็มองว่าเป็นเรื่องดีที่ได้รู้ว่าพวกนอกคอกเห็นเขายังไง มันจะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน
“ทีนี้ ผมถามได้ไหมครับว่ามีธุระอะไรคุณถึงได้มาที่นี่น่ะ?”
ระหว่างที่กำลังคิดอะไรคนเดียวก็โดนเนตรถามเข้า แน่นอนว่าเขาต้องสงสัย
ไม่สิ… ที่จริงเขาก็ถามแบบนั้นมาแต่แรกแล้ว
ซึ่งมันก็ง่ายกับทัตด้วย เพราะเขาเองก็อยากมาคุยตั้งแต่เริ่มแรก
“มาขอบคุณเจสันให้เป็นกิจจะลักษณะน่ะ แล้วก็อยากรู้สาเหตุที่มาช่วยด้วย”
“อ๋อ…” เนตรสงสัยคลายความสงสัย ทั้งสองคนมองไปยังเจสันพร้อมกัน จนโดนเจ้าตัวแยกเขี้ยวใส่ ทำหน้ายั๊วสุด ๆ เหมือนกับที่พิมทำก่อนหน้านี้ไม่มีผิด
“ก็คงเพราะ… เขาเป็นประเภทมีบุญคุณต้องทนแทนมีแค้นต้องชำระล่ะมั้งครับ”
ทัตได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้ว พิมเองก็ร้องหวาออกมาเหมือนรับไม่ได้เพราะไม่เข้าใจ
แต่ถ้านั่นเป็นเพราะบุคลิกภาพของเจ้าตัวก็คงไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลเพิ่มเติม อย่างที่คำเขาว่า ‘อย่าไปหาเหตุผลจากความชอบหรือนิสัยของคน’
“อีกเรื่องนึง” ทัตจึงเปลี่ยนไปคุยอีกเรื่อง… อีกเรื่องที่จริงจังจนทำให้เนตรหันมาสนใจเพราะน้ำเสียง
“ตอนนั้นฉันกำลังกดความโกรธตัวเองอยู่เลยไม่ทันคิด… ที่นายบอกว่ากลัวจะถูกเซฟเวอร์ฆ่าเอามันหมายความว่ายังไง”
ทัตหยิบยกคำพูดที่เนตรเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้
นั่นเป็นการพูดเพื่อเอาตัวรอดหรือมีความจริงอะไรซ่อนอยู่ นั่นคือเรื่องหลักที่ทัตสงสัยพอ ๆ กับสาเหตุที่เจสันช่วยเขาและพิมเอาไว้
ทัตมีเรื่องที่อยากทำ และถ้าโครงสร้างของเซฟเวอร์มันไม่สามารถตอบรับความต้องการของเขาได้ เขาก็จะเลือกออกจากกลุ่มไป เพราะทัตรู้ว่าตัวเขาในตอนนี้มีความสามารถมากพอที่จะทำได้
ทัตจึงจำเป็นต้องรู้เรื่องนั้น เพื่อเปลี่ยนสถานการณ์รอบตัวให้คนที่สำคัญกับเขาปลอดภัย
“ผมไม่มีหลักฐานหรอกนะ” เนตรเริ่มอธิบายอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“คุณเจสันกับผมรู้จักกันมานานน่ะ… หลังจากที่เราสองคนเกิดการตื่น พวกเราก็เริ่มเอาตัวรอดด้วยการเก็บเลเวลกันไปเรื่อย ๆ จนแข็งแกร่งขึ้นระดับนึง”
เนตรเล่าถึงตรงนั้นแล้วก็ชี้ไปที่เก้าอี้ใกล้ ๆ ให้ทัตกับพิมนั่ง
ดูท่าว่าเรื่องนี้จะอีกยาวเพราะเขาเองก็นั่งลงก่อนจะเล่าต่อ ทัตกับพิมเลยทำตาม
“แล้ววันนึงพวกเราก็เจอกับเซฟเวอร์กลุ่มที่คอยดูแลเขตนี้ พอความแข็งแกร่งของคุณเจสันไปเตะตาพวกมันเข้า พวกมันก็ชวนเป็นพวก ไม่สิ… ต้องบอกว่าบังคับมากกว่า ถ้าพวกเราไม่เข้าร่วมกับพวกเขา พวกเขาก็จะฆ่าเราทิ้งครับ”
“แบบที่ลูกน้องของพวกนายทำกับพวกเราสินะ”
ทัตพูดแซวในเชิงประชดประชัน แน่นอนว่าทำเอาเนตรเหงื่อตกจนต้องลูบหน้าผากตัวเองเลยทีเดียว
“ผมไม่แก้ตัวเรื่องนั้นครับ” เนตรตอบกลับตามตรง
“หลังจากนั้นพวกเราก็เลยกลัวว่าเซฟเวอร์ที่เหลือจะตามมาเอาคืน เราเลยรวบรวมพรรคพวกให้มากขึ้น อาศัยดึงคนรู้จักและคนที่ไม่มีที่ไป พยายามจะเหนือกว่าเซฟเวอร์ในเขตนี้น่ะครับ เรื่องก็ประมาณนั้นแหล่ะ”
เนตรถอนหายใจทิ้งท้าย ท่าทางเขายังกังวลไม่หายเพราะกลัวว่าทัตจะมองว่าเขาทำเกินกว่าเหตุ รวมถึงเรื่องที่ลูกน้องของเขากับเจสันทำให้ทัตเข้ามาพัวพันเรื่องพวกนี้แต่แรกด้วย
แม้เอาจริง ๆ ทัตกลับไม่ได้รู้สึกอะไรนอกจากต้องการทดสอบความรู้สึกรับผิดชอบของอีกฝ่าย
อย่างไรเสียในทุก ๆ องค์กรย่อมมีคนที่แหกคอกไม่ทำตามข้อกำหนดหรือทำตัวเสื่อมเสียเป็นธรรมดาอยู่แล้ว คำถามคือคนเป็นหัวหน้าจะแก้ปัญหาด้วยการโยนความผิดว่าเป็นเรื่องของลูกน้องไม่เกี่ยวกับองค์กร หรือยอมรับผิดแต่โดยดีและพยายามจะแก้ไข
ซึ่งเนตรนั้นดูเหมือนจะมีแนวโน้มเป็นแบบที่สอง
และถ้าคิดว่าสิ่งที่เล่าเป็นความจริง สถานการณ์ของพวกเขาก็น่าเห็นใจในระดับนึง พิมฟังมาตลอดก็พอจะเข้าใจในจุดนั้น
“สรุปคือ นายจะบอกว่าที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อป้องกันตัว และเพื่อทำให้แน่ใจว่าเซฟเวอร์จะไม่ทำร้ายพวกตัวเองอีกสินะ”
“ชะ ใช่แล้วครับ!”
เนตรตอบกลับอย่างลุกลี้ลุกลน ดูไม่ออกเหมือนกันว่าเพราะกลัวจะไม่เชื่อหรือว่าเรื่องที่เล่ามีการใส่สีตีไข่เกินจริง
ทัตเองก็อยากหาคำตอบเรื่องนี้ แต่ก็พิสูจน์ด้วยการฟังพวกเขาฝ่ายเดียวไม่ได้
สายตาจึงเลื่อนไปมองเจสันที่ยังต่อยกระสอบทรายเหมือนระบายอารมณ์ไม่เลิก
“ไม่คิดว่าทำเกินเหตุไปหน่อยรึไงเจสัน?”
“หา!? แล้วจะให้กูยอมถูกฆ่ารึไงวะ!?”
เจสันหันมาตะคอก เส้นเลือดปูดโปนบนหน้าผาก
แต่ถามว่าเจสันจะพุ่งเข้ามาหาเรื่องไหม คำตอบก็คือไม่ เขาไม่กล้าทำอย่างนั้น ทัตเองก็ไม่กลัวจึงรับเสียงตะโกนนั้นมาแบบเป็นกลาง
“เปล่า… ครั้งแรกน่ะใช่ แต่ที่ฉันพูดคือหลังจากนั้นพวกนายไม่เห็นมีความจำเป็นต้องฆ่าเลย ติดลมกันรึไง?”
“ฮึ่ย…”
เจสันขมวดคิ้วแยกเขี้ยวกัดฟันใส่ทัต
หนนี้เขาไม่ได้เถียงกลับมา เขาพูดออกมาตามที่คิดและไม่มีแนวโน้มจะโกหก หรือไม่เช่นนั้นก็ขาดชั้นเชิงในการหลอกลวง พูดง่าย ๆ ว่าเจสันไม่มีความฉลาดพอจะโกหกนั่นเอง
ทัตคิดตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วว่าชายคนนี้อ่านง่ายกว่าที่คิด แต่ไม่นึกว่าจะถึงขนาดนี้
ซึ่งนั่นแหล่ะข้อดี เพราะมันทำให้สิ่งที่เนตรเล่ามีมูลความจริง บวกกับนิสัยแท้จริงของเจสันที่ช่วยชีวิตเขากับพิมด้วยยิ่งแล้วใหญ่
“เอาเถอะ… พูดเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้วมันไม่มีประโยชน์หรอก”
ทัตยืนขึ้นถอนหายใจ ไม่คิดติดใจเอาความ พิมเองก็ลุกขึ้นตามเพราะเหมือนทัตจะได้สิ่งที่ต้องการแล้ว
เขาเริ่มมองไปรอบ ๆ เน้นเฉพาะที่เนตรและเจสันเป็นพิเศษ
“พวกนายห้ามไปทำร้ายหรือบังคับใครอีกเด็ดขาด ถ้ายอมรับข้อเสนอนั้น ฉันจะรับรองความปลอดภัยและช่วยเหลือพวกนาย และไม่บังคับให้เข้าเซฟเวอร์ด้วย”
ทุกคนส่งเสียงเอะอะไปตาม ๆ กันหลังได้ยินข้อเสนอ
พิมเองยังรู้สึกแปลกใจที่เห็นทัตทำอะไรแบบนี้ ปกติเขาไม่น่าจะสนใจทำเรื่องยุ่งยากอย่างการช่วยคนอื่น แต่ความแปลกใจนั่นไม่ได้เป็นไปในทางที่เธอไม่ชอบ พิมกำลังเริ่มคิดว่าทัตกำลังตัดสินใจจะทำบางอย่างที่น่าชื่นชม
สายตาของคนรอบตัวถึงเปลี่ยนไป มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าพวกปลอกแขนแดงอยู่จำนวนนึง ที่เหลือเป็นสีหน้าโล่งใจ เนตรเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
“หา!?” มีแค่เจสันคนเดียวที่ส่งเสียงไม่พอใจ
“อะไร? พวกนายมีอิสระที่จะเอาตัวรอดด้วยตัวเองแล้ว ก็ไม่ควรจะแย่งมันมาจากคนอื่นด้วยสิ เข้าใจไหม”
ทัตเดินเข้าไปใกล้เจสัน สายตาไม่ละไปจากที่เจสันมองมา
ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เจอกันครั้งแรกที่ทัตเสียเปรียบหรือตอนนี้ที่กลายเป็นฝ่ายได้เปรียบ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นยังไงทัตก็ไม่รู้สึกหวาดกลัวเจสัน
เพราะทัตมีสิ่งหนึ่งที่เจสันอยากจะมีแต่เขาไม่มี ว่าไปแล้วนั่นอาจเป็นจุดที่ทำให้หงุดหงิดก็ได้ ไม่เกี่ยวเลยว่าทัตจะอยากให้เขาทำอะไร
“มะ มึง… ได้ทีเอาใหญ่เลยนะ”
“นั่นยังไม่ดีพอรึไง? นายไม่ได้เป็นลูกน้องใคร มีอิสระที่จะตัดสินใจด้วยตัวเองอีกต่างหาก แค่ต้องเลิกไปทำร้ายคนอื่นก่อนก็เท่านั้นเอง”
“…”
เจอทัตแบะมือใส่เจสันก็ยังขมวดคิ้วไม่หาย แต่เขาไม่ได้โต้อะไรกลับมาแล้ว อาจเริ่มคิดแล้วก็ได้ว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่า
เพราะหากเรื่องที่เนตรเล่าเป็นความจริง เจสันก็ไม่ได้เป็นพวกชอบหาเรื่องแต่แรก แต่ต้องเปลี่ยนไปเพื่อรองรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ถ้าไม่เปลี่ยนให้ตัวเองดูน่ากลัวพวกเซฟเวอร์ก็คงจะเข้ามายุ่งไม่เลิก พอทำแบบนั้นนานเข้าเจสันก็กลายเป็นคนแบบนั้นจริง ๆ ไปโดยปริยาย
นั่นคงจะเป็นกลไกป้องกันตัวเองของเขา… ทัตคิดแล้วก็นึกย้อนถึงเรื่องของสินมันทุกที
“ขอโทษแทนคุณเจสันด้วยนะครับ” เนตรวิ่งเข้ามาแทรกกลางเพื่อสงบสถานการณ์ ถึงจริง ๆ มันจะไม่ได้แย่อย่างที่คิดก็เถอะ
“ถ้าคุณทำตามที่ว่ามาได้ พวกเราก็ยินดีตกลงเลยครับ ถ้าบอกไปว่าเราอยู่ใต้การปกครองของคุณ คิดว่าในเขตนี้คงไม่มีใครกล้าหือด้วยหรอก”
“ฉันไม่คิดจะปกครองใครหรอกนะ น่ารำคาญจะตาย”
ทัตรีบบอกปัดทันที ไม่ว่าจะในแง่ไหนเขาก็ไม่อยากจะรับผิดชอบชีวิตใครมากขนาดนั้น เพราะคิดว่าตัวเองยังเตรียมใจมาไม่มากพอ
พิมเริ่มเดินนำออกไปก่อน ดูท่าเธอจะรู้จังหวะจะโคนไม่เบาเพราะทัตเองก็หมดเรื่องคุยแล้ว
“แล้วก็อย่าไปใช้เรื่องนั้นไปเอาเปรียบคนอื่นด้วยล่ะ? รู้ไหม!?”
“ระ รู้อยู่แล้วล่ะครับ ไม่ทำแล้วครับ!”
เนตรตอบกลับตะกุกตะกักตามเคย ดูท่าเจ้าตัวจะแอบคิดแบบนั้นอยู่บ้าง
แต่พวกเขาเริ่มเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย… ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่เหมาะสมกว่านี้คงจะญาติดีกันได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะพวกที่ซื่อตรงอย่างเจสัน
ตอนนี้สิ่งที่เหล่าผู้มีพลังต้องการคือโครงสร้าง
โครงสร้างที่จะทำให้ใช้ชีวิตในช่วงที่มอนสเตอร์บุกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่านี้
และเรานี่แหล่ะที่จะสร้างมันขึ้นมาใหม่ให้เหมาะสม
ไม่งั้นปัญหาเดิม ๆ ก็จะเกิดขึ้นอีก
ทัตเหลือบมองเจสันอีกรอบ
หนึ่งในเหยื่อของโลกใบนี้… ผู้ที่เปลี่ยนไปเพราะถูกความอยากเอาตัวรอดกลืนกิน หากสถานการณ์ของผู้มีพลังในตอนนี้ยังไม่เปลี่ยนไป เจ้าหมอนี่ก็จะกลับไปทำเรื่องแบบเดิมอีกแน่
ทัตอยากจะเปลี่ยนแปลงมันให้เหมาะสม… ไม่ใช่เพื่อเจสัน ไม่ใช่เพื่อปลอกแขนแดงหรือเพื่อเซฟเวอร์ แต่เขาอยากจะเปลี่ยนสถานการณ์พวกนี้ให้มันปลอดภัยสำหรับพิมและฝ้าย หรือคนรู้จักที่เขาคิดว่าเป็นคนสำคัญ
เพื่อการนั้นเขาต้องเริ่มจากเรื่องเล็ก ๆ ก่อน
เริ่มจากมองข้ามเรื่องที่เจสันเคยทำ แล้วมองไปยังอนาคตที่ควรจะเป็น
ไม่สิ… อนาคตที่อยากจะให้เป็น
“ถ้าอยากสู้กับคนเก่ง ๆ ฉันเป็นคู่มือให้ได้ทุกเมื่อ เพราะงั้นเลิกไปรังแกคนอื่นได้แล้ว”
ทัตเดินออกจากตึกตามพิมไป โบกมือผ่านหลังมาให้เจสันโดยไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง
ไม่จำเป็นต้องเป็นมิตร แต่ก็ไม่จำเป็นต้องถือความเป็นศัตรู
เริ่มจากทำเรื่องง่าย ๆ เช่นนั้น… สังคมมันจะดีกว่านี้ถ้าทุกคนไม่คิดมากเรื่องนั้น และถ้าอยากให้มันเปลี่ยน ทัตก็ต้องเป็นฝ่ายที่เริ่มลงมือ
เพราะถ้าหวังให้ทุกคนเปลี่ยนแต่ไม่เริ่มที่ตัวเอง จะสถานการณ์หรือสิ่งใดก็ย่อมไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
“…หนวกหูว่ะ”
ได้ยินเสียงเจสันบ่นไล่หลังมาก่อนจะออกจากตึก
เป็นน้ำเสียง ที่ไม่ได้แข็งกร้าวเหมือนกับก่อนหน้านี้อีกแล้ว
❖❖❖❖❖
“ทัต นายคิดจะทำอะไรเหรอ?”
พอออกมาจากตึกพิมก็เริ่มถามหาคำอธิบาย
ถึงทัตจะเป็นคนที่ยึดถือเรื่องที่จำเป็นต้องทำก็เถอะ รู้อยู่แก่ใจว่าทัตเป็นคนดีด้วย แต่เธอก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าจะถึงขั้นผูกมิตรกับศัตรู (หรืออย่างน้อยก็อดีตศัตรู) เช่นนี้
ทัตมองตาพิมกลับหลังได้ยินข้อสงสัย แต่เหมือนจะมีความสับสนเพราะเข้าใจไม่ตรงกันนิดหน่อน
“อยากทำให้สถานการณ์มันดีกว่านี้ล่ะมั้งนะ” ทัตยิ้มตอบ และคำตอบก็ทำให้เข้าใจว่าสิ่งที่ทำไปไม่ใช่จุดประสงค์หลัก
และพิมก็พอจะมองออกว่าทัตวาดภาพไว้ในหัวยังไง
“นึกว่าเกลียดเรื่องยุ่งยากซะอีก” พิมแซว
“เกลียดน่ะสิ”
ทัตตอบกลับทันทีแบบไม่ต้องคิด ทำเอาพิมยิ้มแห้ง แล้วทัตก็ยิ้มตาม แต่ว่า…
“แต่ว่า… ฉันเป็นคนเดียวที่มีพลังพอจะทำได้ ถ้าฉันไม่ทำแล้วใครจะทำกันล่ะ?”
ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่น่ารำคาญ แต่ถ้ามันเป็นเรื่องที่สมควรทำทัตก็จะทำ นั่นเป็นเรื่องปกติของทัต
แต่อันที่จริงก็ไม่ใช่ทั้งหมด… ในความเป็นจริงแล้ว เราจะคิดว่ามันเป็นความรับผิดชอบของเราหรือไม่ก็ไม่ผิดทั้งนั้น แต่ทัตเลือกที่จะทำเพราะเขารู้สึกรับผิดชอบต่อพลังที่มี
นั่นแหล่ะจุดที่น่าชื่นชม ดึงดูด และน่าหลงไหล
“…ฉันว่าบางครั้งนายก็เท่เกินไปหน่อยนะ”
พอรู้ตัวอีกที พิมก็ไหลเข้าไปกอดแขนทัตอีกเป็นหนที่สองของวัน
นั่นทำทัตตกใจไม่เบา เพราะพิมบอกว่าจะไม่ทำอย่างนั้นข้างนอก
แต่ถ้าเธอทำแบบนั้นเพราะทนไม่ไหว ทัตก็รู้สึกดีใจและภูมิใจในตัวเองมากกว่าจะไปเตือนกัน
พิมคงหวงเขาขึ้นมาไม่น้อยเลยที่แสดงด้านนี้ออกมา ถึงพยายามกอดรัดเสมือนทำสัญลักษณ์ความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
“ว่างแล้วต้องเล่าให้ฟังด้วยล่ะ เพราะฉันต้องเดินเส้นทางนี้ไปกับนายนะรู้ไหม”
พอพิมพูดแบบนั้นออกมา ทัตเข้าใจทันทีว่าเธอยังรู้สึกอย่างอื่นกับเขาอีกนอกจากหวงของ
นั่นคือความเป็นห่วงอย่างไม่ต้องสงสัย แต่มันก็ทำให้ทัตลำบากใจนิดหน่อย เพราะเขาไม่อยากให้พิมมาอยู่ในจุดที่อันตราย
“ถึงห้ามก็ไม่ฟังสินะ”
“ไม่ฟังหรอกค่ะ ยังไงฉันก็จะอยู่ข้าง ๆ นาย”
พิมปฏิเสธเสียงร่า ยิ้มแย้มกอดแขนทัตแน่นขึ้นไปอีก ความคิดที่จะแยกจากทัตไม่มีอยู่ในหัวเธอเลยแม้แต่น้อย เพราะยิ่งพูดเธอก็ยิ่งติดหนึบเข้าไปอีก
แน่นอน… มีผู้หญิงน่ารักขนาดนี้เกาะติดทัตเองก็อดยิ้มดีใจไม่ได้
ความน่ารักของพิมทำทัตเผลอเลื่อนมือไปลูบหัว ถ้าอยู่ในที่ส่วนตัวกว่านี้ทัตคงจะดึงพิมเข้ามากอดแน่น ๆ ไปแล้ว
เหมือนแฮมสเตอร์ตัวน้อย ๆ ไม่มีผิดเลยแฮะผู้หญิงคนนี้
ทัตรู้สึกเอ็นดูหลงใหล แต่แน่นอนว่าพิมเป็นมากกว่านั้น
เธอไม่ใช่แค่คนรักคอยเยียวยาหัวใจ แต่เป็นทั้งเพื่อนสนิทที่คอยรับคำปรึกษาและคู่หูที่ฝากแผ่นหลังไว้ได้
ไม่มีเส้นทางไหนหรอกที่เขาอยากจะไปคนเดียวโดยไม่มีพิม
ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงไม่รู้สึกถึงขนาดนี้ นี่จึงอาจเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าเขาเองก็ยึดติดกับพิมไม่ต่างกัน
“!!?”
ช่างพอดิบพอดีที่โทรศัพท์สั่นขึ้นในกระเป๋ากางเกง ทัตเลยต้องเก็บคำอธิบายเรื่องเป้าหมายไว้พูดกับพิมทีหลัง
พอยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูปลายสายก็เห็นชื่อฝ้าย ถ้าเป็นก่อนหน้านี้คงรู้สึกแปลก แต่ช่วงหลังที่คุยกันบ่อยขึ้นก็เป็นเรื่องปกติไปแล้ว
แต่อย่างไรก็ดี… มันช่างเป็นเวลาที่ประจวบเหมาะจริง ๆ เพราะทัตเองก็กำลังต้องการยืนยันความจริงเท็จของข้อมูลพอดิบพอดี
“ฮัลโหลฝ้าย พอดีเลย พี่กำลังจะโทรไปถามพอดี”
‘ถามเหรอคะ? พี่ทัตสงสัยเรื่องอะไรเหรอ?’ ฝ้ายส่งเสียงแปลกใจกลับมา
“พอดีอยากรู้ว่าเซฟเวอร์มีพวกคนไม่ดีอยู่ด้วยรึเปล่าน่ะ”
ทัตเปรยสั้น ๆ ไม่ได้ชี้ชัดรายละเอียด แต่ฝ้ายกลับเงียบไปพักนึงก่อนจะตอบกลับ
‘…ถ้าพี่หมายถึงพวกที่เคยอยู่แถวในเมืองของโรงเรียนพี่ทัต ก็ต้องยอมรับว่ามีคนแบบนั้นอยู่ค่ะ’
ฝ้ายรู้ได้ทันทีว่าทัตหมายถึงอะไร เธอเดาเก่งทีเดียว แถมตอบกลับมาชัดเจนด้วย
“งั้นที่พวกปลอกแขนแดงพูดก็จริงสินะ”
‘ปลอกแขนแดง!? พี่ทัตไปยุ่งกับพวกนั้นทำไมคะ!!!?’
ฝ้ายตะโกนสวนกลับมาเสียงดังลั่น ถ้านั่งคุยอยู่ข้างกันทัตน่าจะหูแตกไปแล้ว
“มะ ไม่มีอันตรายหรอกฝ้าย ไม่ต้องห่วงนะ พอดีพี่มีเรื่องสงสัยแล้วก็อยากจะทำน่ะ” ทัตรีบแก้ตัว พิมเป็นคนเดียวที่เห็นเขาลนลานเลยยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่ข้าง ๆ อย่างแสบสันตามเคย
‘เรื่องที่อยากทำเหรอคะ?’
ฝ้ายหันไปสนใจอีกประเด็นนึง
แน่นอนล่ะว่าน้องสาวผู้แสนเป็นห่วงเป็นใยพี่ชายคนนี้ต้องสงสัยอยู่แล้วว่าทัตจะไปทำเรื่องอันตรายอะไรอีกรึเปล่า
แต่จะให้เล่าตอนนี้ก็คงจะไม่สะดวกสำหรับทัตเท่าไหร่… แถมพิมเองก็กำลังมองค้อนจ้องอยู่ด้วย เธอคงไม่อยากยืนคุยเรื่องนี้ยาว ๆ แน่
“จะว่าไปพี่เพิ่งรู้เลยว่าผู้มีพลังด้วยกันโจมตีกันไม่ได้ในเวลาปกติน่ะ” ทัตเลยถือโอกาสหยิบเรื่องอื่นขึ้นมาเปลี่ยนประเด็นอีกครั้งขณะที่พาพิมเดินออกจากตรอก
ส่วนทางฝ้ายที่ได้ยินก็เงียบไปพักนึงอีกหน
‘คือ… มันเป็นเรื่องปกติน่ะค่ะ หนูก็เลย… ลืมบอก’
“บางทีเธอก็มีจุดบ๊อง ๆ อยู่เหมือนกันแฮะ”
อันที่จริงถึงไม่รู้ข้อมูลตรงนี้ก็ไม่ได้เสียหายอะไรมาก เพียงแต่การได้รู้มันจะทำให้ทัตใช้ชีวิตสบายใจขึ้นและระแวดระวังน้อยลง
แต่ไม่สิ… บางทีการที่ไม่รู้ แล้วยกการ์ดไว้ตลอดเวลาอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าก็ได้
ทัตลองคิดมุมกลับ และคิดว่าที่ฝ้ายกับสมาชิกไม่ได้บอกเรื่องนี้อาจเป็นเพราะมันไม่มีความจำเป็น
เพราะอย่างไรเสียในทุกสถานการณ์ คนเราก็ต้องระวังตัวรอบด้านเตรียมรับแรงกระแทกและอันตรายจากทุกทิศอยู่แล้ว หากสบายใจจนเคยชินประสาทสัมผัสจะทื่อเอา
พอคิดแบบนั้นก็ยอมรับได้
“แล้วที่โทรมาหามีอะไรเหรอ?” ทัตนึกขึ้นได้ว่าฝ้ายเป็นฝ่ายที่โทรหา เธอจะต้องมีเรื่องอยากคุยแน่ ๆ แต่เขาดันแย่งพูดก่อน
‘คือว่า…’
และแน่นอนว่าฝ้ายมี แถมเป็นเรื่องสำคัญด้วย
‘หัวหน้าใหญ่อยากจะเจอพี่น่ะค่ะ’