แกร่งสุดด้วยอาชีพผสาน ในโลกที่มีมอนสเตอร์ออกมากินคนยามค่ำคืน - ตอนที่ 5 ใครจะรู้ว่าหนีเสือปะจระเข้
- Home
- แกร่งสุดด้วยอาชีพผสาน ในโลกที่มีมอนสเตอร์ออกมากินคนยามค่ำคืน
- ตอนที่ 5 ใครจะรู้ว่าหนีเสือปะจระเข้
หลังจากทัตจัดการผึ้งยักษ์ไปได้สองตัว เลเวลของเขาก็อัพเป็นเลเวล 5 นั่นคือสัญญาณที่ดีมากสำหรับการเริ่มศึกในการโต้กลับ
อย่างที่คิดเลย ยังไงถ้าจะเลือกระหว่าง ‘Fighter’ กับ ‘Assassin’ ก็ต้องเป็น ‘Fighter’ อยู่แล้ว
ก็ฉันดันไปนึกถึงเรื่องของมังกรกับไซคลอปส์เมื่อวานเข้านั่นแหล่ะเลยตัดสินใจเลือกนักสู้
เพราะถ้าเจอเจ้าตัวที่อันตรายแบบนั้น คิดไม่ออกเลยว่าถ้าไม่ใช้กำลังเข้าข่มจะชนะได้ยังไง บวกกับปัญหาที่ว่า หากเลือกเป็นนักลอบสังหารแต่ดันถูกพวกมันที่แข็งแกร่งในการสู้แบบซึ่งหน้าเจอตัวเข้าก่อน ก็คงไม่พ้นเสียเปรียบจนถูกจัดการแทนแหง
เพราะงั้นถ้ามีความแข็งแกร่งในระดับที่เผชิญหน้าได้ซึ่งหน้าตั้งแต่แรก ก็ย่อมรับมือสถานการณ์แบบนั้นได้สบายอยู่แล้ว
แล้วก็โชคดีจริง ๆ ที่ค่าประสบการณ์จะได้รับทันทีตอนที่มอนสเตอร์มันตาย
ไม่งั้นกว่าจะอัพเลเวลได้ก็ต้องรอให้สู้จบก่อน
แล้วก็ต้องขอบคุณที่การอัพเลเวลมันใช้แค่การสั่งใช้งานทางความคิดด้วย
เพราะงั้นถึงเป็นระหว่างสู้ ฉันก็สามารถอัพเลเวลได้!
คำนึงจากระยะห่างของผึ้งยักษ์ตัวที่อยู่ใกล้ที่สุด ทำให้ทัตพอจะมีเวลาสั่งการอัพเลเวลทางความคิดได้อยู่
แถมในจังหวะเวลาแบบนี้ที่ทัตเห็นแล้วว่าอาชีพที่เพิ่งอัพอย่าง ‘Fighter’ มีส่วนช่วยในการต่อสู้ระยะประชิดมากขนาดไหน เขาจึงคิดจะเสริมมันให้แกร่งยิ่งขึ้นไปอีก
ท่านต้องการใช้แต้มสกิล 2 แต้มในการอัพเลเวลดังนี้
‘Fighter LV-1’ -> ‘Fighter LV-3’
ยืนยันหรือไม่?
แหงอยู่แล้ว!
ทัตไม่ลังเลอยู่แล้ว ไม่สิ… ไม่มีเวลาจะลังเลต่างหาก เพราะเจ้าผึ้งยักษ์อีกสามตัวที่เหลือมันค่อย ๆ เข้ามาใกล้ทัตเต็มทีแล้ว
อาชีพ ‘Fighter’ เลื่อนเป็นเลเวล 3 แล้ว
‘ความสามารถทางกาย’ +2
‘ความเชี่ยวชาญคลาส Fighter’ +2
ได้รับสกิล : ‘ทักษะตั้งรับ (Fighter) LV-1’
ข้อความเสียงปรากฏเข้ามาในหัว ทัตจึงเพิ่งตระหนักได้ว่าพออัพเป็นเลเวลสามแล้วจะได้รับสกิลใหม่ที่ชื่อว่า ‘ทักษะตั้งรับ (Fighter) LV-1’
ทัตรู้ได้จากข้อมูลที่เข้ามาในหัวตอนที่ได้สกิล ว่ามันเป็นสกิลที่ใช้ในการรับการโจมตีของอีกฝ่าย ปัดป้องหรือสวนกลับ สามารถเลือกใช้ได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์แล้วสกิลจะทำหน้าที่เพิ่มความรุนแรงกลับไปให้เหนือกว่าการใช้ร่างกายขยับเพียงอย่างเดียว
ซึ่งจะว่าไปมันก็คล้ายคลึงกับสกิล ‘ทักษะจู่โจม (Fighter) LV-1’ ที่จะช่วยเพิ่มความรุนแรงของหมัดที่ต่อยออกไปนั่นเอง จึงเป็นข่าวดีมากที่ทัตในตอนนี้ได้รับสกิลเพิ่มขึ้น เพราะมันจะช่วยเพิ่มความหลากหลายของการโจมตีของทัตให้มากขึ้นตามไปด้วย
แต่ข่าวร้ายก็คือยังเหลือพวกผึ้งอีกสามตัวอยู่ตรงทางเดิน… ทัตจัดการเลเวลห้ากับเจ็ดไปได้อย่างละหนึ่งตัว ตอนนี้จึงเหลือเลเวลสาม ห้าและเจ็ดอีกอย่างละหนึ่งตัว
“พิม เธอรักษาระยะไว้นะ!” ทัตตะโกนสั่งพิมพร้อมกับผายมือกันเธอไม่ให้ออกมาใกล้เขาเกินไปนัก เพราะจังหวะชุลมุนอาจมีผึ้งบินไปจู่โจมเธอแทนก็ได้
“เข้าใจแล้ว!”
พิมยังคงเชื่อฟังทัตอย่างว่าง่าย ส่วนนึงอาจเป็นเพราะเธอเห็นแล้วว่าทัตแข็งแกร่งขึ้นในระดับที่ไม่ต้องเป็นห่วง เธอเลยคลายความกังวลลงไปได้บ้าง
…อย่างน้อยก็ตอนนี้
แต่ยังไงก็ตาม พวกผึ้งอีกสามตัวที่เหลือมันใกล้จะเข้ามาถึงตัวพวกทัตเต็มทีแล้ว
ท่าทางของพวกมันดูลังเลไปชั่วครู่ อาจเป็นเพราะพวกพ้องถูกจัดการไปพร้อมกันสองตัวก็ได้เลยเริ่มระแวดระวังทัตขึ้นมา แต่เหมือนมีแรงกระตุ้นบางอย่างที่ทำให้พวกมันยังบินเข้ามาทางทัตอยู่ดี
“เอาเถอะ ก็ไม่คิดว่าพวกแกจะหนีอยู่แล้วล่ะนะ”
แม้เหงื่อจะไหลเต็มใบหน้าราวกับหวาดกลัว แต่รอยยิ้มบนใบหน้าคือสิ่งยืนยันว่าเขากำลังตื่นเต้นและดีใจที่มันกลายมาเป็นแบบนี้ เพราะยังไงเป้าหมายของทัตก็คือการล่าพวกมอนสเตอร์เพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นอยู่แล้ว
หนนี้พวกมันถือว่าฉลาดมาก… ผึ้งตัวหน้าสุดพยายามรอให้อีกสองตัวมาอยู่ใกล้กันก่อนที่จะบินเข้ามาหาทัตพร้อมกัน ทำให้กระบวนทัพของมันเป็นแบบสามเหลี่ยม
ถ้าทัตพยายามโจมตีตัวหน้าสุด ก็จะถูกตัวหลังอีกสองตัวโจมตีใส่… นั่นคือแผนการอันแยบยลของมัน ราวกับพวกมันรู้ว่าความแข็งแกร่งของทัตในตอนนี้ยังไม่มากพอที่จะจัดการพวกผึ้งในหมัดเดียวได้
“ไม่เคยจะง่ายเลยแฮะ” ทัตเหงื่อตกของจริง รอยยิ้มจางลงเล็กน้อย
แต่เขาก็พยายามทำสิ่งที่ทำได้… ทัตถีบพื้นพุ่งสวนเข้าไปในจังหวะที่มันลอยพุ่งเข้ามา แล้วชกใส่กลางลำตัวของเจ้าผึ้งตัวหน้าสุด
แล้วพริบตานั้นเจ้าผึ้งก็บินเซไปด้านหลังกระแทกเข้ากับผึ้งอีกสองตัวเหมือนกับโดมิโน่ แต่ยังไม่มากพอที่จะฆ่าพวกมันได้ ทัตเลยถอยออกมาก่อนสองก้าว
เจ้าผึ้งยังพยายามบุกเข้ามา ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือไม่ แต่การทำแบบนั้นมันคือการบังคับให้ทัตถอยไปจนติดมุมกำแพงและบันได หรือก็คือมันพยายามทำให้ทัตจนมุมนั่นเอง
อย่างหวังเลย!
ทัตรู้แบบนั้นจึงเดินหน้าอีกหนึ่งก้าวแล้วชกใส่หัวของตัวหน้าสุดจนกระบวนหยุดชะงัก
ทว่าเจ้าผึ้งสองตัวหลังก็ใช้จังหวะนั้นแหล่ะในการโจมตีสวนใส่ทัต มันเผยเหล็กในแล้วพุ่งเข้ามาหวังแทงใส่ทัตจากสองทิศทางพร้อมกัน
เวรแล้ว!
ทัตรู้ได้ทันทีว่าเขาต้องหลบไม่พ้นแน่ มุมองศาและความเร็วในการพุ่งแทงของมันยังมากอยู่เมื่อเทียบกับพลังของทัตในตอนนี้
แต่ทัตก็ไม่คิดจะให้มันเป็นไปตามแผนของไอ้ผึ้งยักษ์ทั้งหมด เขาเลยพุ่งหลบเหล็กในอันขวาที่พุ่งเข้ามา แล้วก็ใช้ท่อนแขนซ้ายในการรับการโจมตีของเหล็กในผึ้งที่อยู่ทางซ้ายอีกตัว ปลายเหล็กแหลมของมันคมกริบปานมีดพร้า เฉือนผิวหนังต้นแขนซ้ายของทัตจนเลือดกระเซ็นแต่ไม่ได้แทงลงไปลึก
โชคร้ายยังไม่หมดเท่านั้น… เป็นเพราะการโจมตีแรกของทัตยังไม่มีพลังทำลายมากพอที่จะกำจัดผึ้งตัวหน้าสุดได้ ในชั่วพริบตาที่ทัตเสียจังหวะมันถึงฉวยโอกาสนี้พุ่งเข้าชนทัตเต็มแรงจนร่างของทัตกระเด็นไปกระแทกกับผนัง
“อั๊ก!!!”
“ทัต!!!”
ทัตกระอักเลือด พิมก็ตะลึงจนได้แต่ตะโกนเรียกด้วยความเป็นห่วงหลังเห็นว่าร่างของเขาฝังลงไปในผนังเพราะแรงกระแทกอันร้ายกาจของผึ้งยักษ์ เห็นได้ชัดเลยว่าความอันตรายของพวกมันไม่ใช่การสู้แบบตัวต่อตัวแต่เป็นการสู้เป็นทีมต่างหาก
“ไอ้… เวรนี่!”
ทัตใช้เท้าขวาเตะตรงใส่กลางลำตัวของเจ้าผึ้งที่กระแทกใส่เขาเพื่อแก้แค้น และทบต้นทบดอกด้วยการกระโดดขึ้นสูงแล้วเตะมันอีกครั้งโดยเล็งที่หัว การโจมตีอันรุนแรงด้วยการตวัดปลายเท้าใส่ทำให้หัวของมันขาดกระเด็นลอยออกไปนอกระเบียงจนตกลงไปกับพื้นนอกอาคารยังกับเตะลูกบอลเลยทีเดียว
และเพราะหัวมันขาดมันเลยตายทันที แต่ตัวที่ทัตเพิ่งฆ่าไปเป็นเลเวล 3 ค่าประสบการณ์จึงยังไม่พอให้อัพเลเวล เขาจึงยังไม่ได้แต้มมาอัพเลเวล
แถมสถานการณ์ก็ยังไม่คลี่คลายดี… อีกสองตัวจึงพยายามใช้เหล็กในโจมตีทัตอีกครั้ง
ตอนนี้ทัตเพิ่งจะลงถึงพื้นและยังตั้งหลักได้ไม่ดี หากพวกมันโจมตีเข้ามาทั้งอย่างนี้ร่างเขาพรุนแน่ เหงื่อถึงผุดขึ้นเต็มใบหน้าของเขาด้วยความหวาดกลัว
“ย้ากกกก!!!”
ในจังหวะนั้นพิมก็พุ่งเข้ามาแล้วใช้ด้ามไม้ถูฟาดสวนใส่หน้าของเจ้าผึ้งตัวที่อยู่ใกล้เธอที่สุด เธอฟาดใส่มันสุดแรงจนด้ามไม้ถูในมือหักครึ่งเลยทีเดียว เห็นได้ชัดเลยว่าสเตตัสของเธอไม่สูงพอจะสร้างความเสียหายให้มันได้เลยทั้งที่เล็งที่หัว
แต่การฟาดใส่โดยสวนทิศทางกับที่มันพุ่งเข้าหาทัต ก็ยังมากพอที่จะทำให้ผึ้งตัวนั้นเสียหลักกลิ้งลงไปกับพื้นก่อนที่เหล็กในจะแทงใส่ทัตได้อยู่
ทัตไม่ปล่อยให้จังหวะที่พิมอุตส่าห์เสี่ยงเข้ามาสร้างให้ต้องสูญเปล่า
ในจังหวะที่ผึ้งอีกตัวยังไม่ลดละความพยายามในการใช้เหล็กในพุ่งเข้ามาแทง มันจึงอยู่ในระยะที่ใกล้มาก ทัตคิดแล้วยังไงก็หลบไม่พ้นเลยพยายามหลบให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้
“อึก!”
แต่มันก็ยังแทงเข้าไปแถวสีข้างซ้ายของทัตอยู่ดี พริบตานั้นทัตสัมผัสได้ว่าปากแผลเริ่มร้อนเหมือนถูกไฟเผา รวมถึงที่แขนซ้ายของเขาเองก็มีความรู้สึกแบบเดียวกัน ทัตตระหนักได้ทันทีว่ามันเป็นผลมาจากพิษเหล็กในของมัน
เวรเอ้ย ยังมาติดพิษอีก
แต่ไม่มีเวลาสนใจแล้ว!
ทัตพยายามกัดฟันอดกลั้นความเจ็บปวดนั้นไว้ก่อน แล้วจัดการโอบร่างของผึ้งที่ยังแทงเหล็กในฝังสีข้างของเขาอยู่
“โอ้วววววว!!!”
ก่อนจะออกแรงเหวี่ยงมันออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไกลได้ แล้วเขาก็อาศัยจังหวะนั้นเข้าไปหาตัวที่ถูกพิมใช้ด้ามไม้ถูกฟาดจนเสียหลัก
ทัตเริ่มแสดงอาการหอบ เหงื่อของเขาตอนนี้ไม่ได้ไหลบ่าแค่บนใบหน้าหากแต่โซมไปทั้งกาย เรื่องนั้นพิมก็สังเกตเห็นเธอถึงเริ่มหน้าเสียจากทั้งความเป็นห่วงแต่ที่มากกว่าคงเป็นความกังวล
“ขอบใจนะพิม แต่ถอยไปก่อนนะ”
“อืม…”
กับทัตที่ยังพยายามจะสู้ต่อเพราะสถานการณ์ยังไม่น่าไว้ใจ พิมก็ทำตาม แต่เธอก็สังเกตรอบตัวมากขึ้นเพราะหวังว่าจะคอยดูหลังให้ทัตได้บ้าง
เมื่อทัตเดินเข้าไปใกล้เจ้าผึ้งที่ยังนอนดิ้นอยู่ มันพยายามบินขึ้นในจังหวะนั้นแต่ก็โดนทัตเตะใส่ตรงกลางลำตัวอีกครั้งจนบินไม่ขึ้น แล้วสุดท้ายทัตก็เดินเข้าไปกระทืบใส่หัวของมันสุดแรงจนพื้นแตกเป็นรอย พอมันตายเลเวลของทัตก็อัพอีกหนึ่งเลเวล
หลังจากนั้นคือเจ้าผึ้งอีกตัวที่เหลืออยู่… มันใช้เวลาไม่นานหลังจากที่ถูกทัตเหวี่ยงออกไปก็บินกลับมา มันคงตั้งใจจะใช้จังหวะที่ทัตกำลังเสียเปรียบให้เป็นประโยชน์
ฉลาดนักนะ!
ทัตเริ่มรู้สึกหงุดหงิดกับความฉลาดของพวกมัน แต่ก็ไม่คิดย่อท้อ เขายังคงกัดฟันอดทนกับแผลและพิษจากเหล็กในได้อยู่แต่ก็ล้าเต็มที เขาเริ่มคิดแล้วว่าอาจจะสู้ระยะประชิดกับมันไม่ไหวก็ได้ ขนาดพิมเองยังอยากจะรีบเข้าไปช่วยเสียตอนนี้ให้ได้ด้วยซ้ำ อาการของทัตหนักขนาดนั้น
…แต่ต้องขอบคุณระยะห่างที่ทัตสร้างไว้จากการเหวี่ยงมันออกไป ทำให้ทัตมีทางเลือกที่จะโจมตีมันจากระยะไกล
เสียใจด้วยว่ะ
รอบนี้ไม่ได้แอ้มหรอก!
ทัตเอื้อมมือไปทางเจ้าผึ้งยักษ์ที่กำลังบินเข้ามา สร้างเปลวเพลิงขึ้นเบื้องหน้า
ขนาดของมันค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้นและมากขึ้น… หลังผ่านไปสามวินาทีมันยังไม่ใหญ่มากพอแต่เจ้าผึ้งมันใกล้เข้ามาแล้ว
ยังก่อน… ยังก่อน…
ทัตยังไม่ยอมยิงเวทไฟออกไปเพราะพลังทำลายของมันยังไม่รุนแรงพอ บวกกับยังพอมีระยะห่างอยู่ เขาจึงยอมเสี่ยงให้มันเข้ามาใกล้กว่านี้ เพื่อให้พลังทำลายของสกิล ‘เวทยิง LV-1’ มีความรุนแรงสูงที่สุด
และดูเหมือนทัตจะเดิมพันสำเร็จ… เพราะหลังจากที่ร่ายเวทครบ 5 วินาที เจ้าผึ้งมันก็ยังบินมาไม่ถึง
“ไปตายซะ!!!”
ทัตยิงเปลวเพลิงออกจากเบื้องหน้า ลูกไฟพุ่งเป็นแนวเส้นตรงใส่เจ้าผึ้งยักษ์ที่พุ่งเข้ามาอย่างแม่นยำด้วยระยะห่างที่พอดิบพอดี และในพริบตาที่เปลวเพลิงกระทบกับร่างของเจ้าผึ้งยักษ์ ร่างของมันก็ลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิงไปทั่วทั้งร่างแล้วกลิ้งลงไปกับพื้นในทันทีเพราะปีกถูกเผา ก่อนจะร้องเสียงแหลมจนหนวกหูอีกครั้งเหมือนเคย
แต่ไม่นานนักมันก็แน่นิ่งไป
ท่านได้รับการเลเวลอัพเป็น ‘เลเวล 7’ แล้ว
ได้รับ ‘แต้มเลเวล’ 1 แต้ม
มี ‘แต้มเลเวล’ ที่ยังไม่ได้อัพ 2 แต้ม
แล้วถัดจากนั้นข้อความอันคุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นในความคิดของทัต เป็นสิ่งยืนยันว่ามันตายแน่แล้ว
รวมถึงเป็นสิ่งยืนยันว่าศึกย่อม ๆ นี้จบลงแล้วด้วย
“ทัต!!!”
พอเห็นว่าชนะแน่แล้ว ทัตก็รู้สึกอ่อนแรงขึ้นมาในบัดดล เขาถึงล้มลงคุกเข่าไปกับพื้นแต่ยังพยายามรักษาสมดุลไม่ปล่อยให้ตัวเองนอนลงไป พิมเห็นดังนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปช่วยพยุงในทันที
“ขอบใจนะ” ทัตตอบกลับอย่างเหนื่อยอ่อน พิมเห็นแล้วก็ยิ่งรู้สึกกังวลยิ่งกว่าเดิม เพราะตอนนี้ทั้งใบหน้าและร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อไคล
ในจังหวะที่สัมผัสกับแขนเพื่อพยุงทัต เธอก็รู้เลยว่าร่างกายของทัตร้อนขึ้นมากราวกับจะเป็นไข้จึงยิ่งทำให้เธอเป็นกังวลเข้าไปใหญ่ กอปรกับความเจ็บใจที่ตัวเองทำได้แค่ดูเลยทำให้เธอเจ็บที่อกจนอยากจะร้องไห้ออกมาเลย แต่ก็พยายามอดกลั้นไว้ก่อนเพราะอาการของทัตสำคัญกว่า
“รีบกลับห้องกันดีไหม ตอนนี้น่าจะผ่านไปได้แล้วนะ”
พิมจึงรีบเสนอแบบนั้นด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่สั่นเล็กน้อยเพราะความรู้สึกหลายอย่างปะปนในอก แต่เรื่องนั้นทัตเองก็เห็นด้วยจึงพยักหน้าตอบรับในทันที
“ยังไงก็ระวังไว้ก่อนนะ… เผื่อมีพวกมันอยู่บนชั้นสามด้วย” ทัตเตือนแบบนั้นในขณะที่พิมย่อตัวลงข้าง ๆ เขา
“เข้าใจแล้ว เดี๋ยวฉันพยุงให้นะ”
“ขอบใจนะ”
พิมนั่งลงข้าง ๆ แล้วก็ยกแขนขวาข้างที่ไม่บาดเจ็บของทัตมาพาดบ่าตัวเองเพื่อพยุงให้ทัตลุกขึ้นยืนได้
หลังจากที่ทัตพอจะยืนได้แล้วโดยมีพิมเป็นคนนำ ทั้งสองคนก็ค่อย ๆ เดินขึ้นไปยังชั้นสาม
พิมพยายามเงี่ยหูฟังชั้นสาม เพราะเสียงของเจ้าผึ้งยักษ์พวกนี้มันมีเอกลักษณ์แถมยังดังมากด้วย ดังนั้นหากมีพวกมันอยู่ก็ต้องได้ยินเสียงของพวกมันบ้างไม่มากก็น้อย
แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ได้ยินอะไรเทือกนั้น พิมจึงพาทัตขึ้นบันไดไปต่อจนถึงชั้นสาม เธอยื่นหน้าออกไปดูทางเดินชั้นสามเพื่อความแน่ใจอีกรอบ และเมื่อมั่นใจว่าไม่มีผึ้งหรือตัวอะไรอื่นที่ไม่ควรจะมีแน่แล้ว เธอก็ค่อย ๆ พาทัตกลับห้องของเขาได้เป็นผลสำเร็จ
“ฟู่… นึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว”
พอเข้ามาถึงในห้องตัวเองได้ สิ่งแรกที่ทัตทำคือการถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
อย่างไรก็ดี สำหรับพิมที่เห็นว่าทัตอาการค่อนข้างหนักเอาเรื่องแล้ว เธอเลยรีบพาทัตไปนั่งที่เตียงก่อนเลย
ตอนนี้เหงื่อของเขาผุดขึ้นทั่วทั้งตัว บริเวณแผลที่ถูกเหล็กในผึ้งเฉือนอย่างแขนซ้ายและที่ถูกแทงเข้าไปเต็ม ๆ อย่างสีข้างซ้ายเริ่มบวมเป่งเป็นสีแดงแล้ว
ไข้ขึ้นสูงเชียว…
เป็นเพราะพิษเหล็กในเหรอเนี่ย?
พิมขมวดคิ้วอย่างกังวล เธอใช้หลังมือสัมผัสหน้าผากของทัตและพบว่าร่างกายของเขาร้อนเอามาก ๆ เธอจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นจากที่นั่งข้างเตียงแล้วเริ่มมองไปรอบ ๆ ทำให้ทัตสงสัยอยู่ไม่น้อย
“กล่องปฐมพยาบาลอยู่ไหนเหรอ?”
“อ๋อ… อยู่ในกระเป๋าฉันนั่นแหล่ะ”
ทัตชี้ไปที่กระเป๋าที่เขาพกติดตัวออกจากห้องไปลุยด้วย ทุกอย่างที่เขาเตรียมไว้อยู่ในนั้น
พอได้ยินอย่างนั้นแล้ว พิมก็รีบเดินเข้าไปเปิดกระเป๋าของทัตทันที ต้องขอบคุณที่ทัตจัดกล่องในนั้นให้เป็นระเบียบอยู่ก่อนแล้ว พิมเลยไม่ต้องใช้เวลาค้นหานานมาก
เธอรีบหยิบยาแก้ปวดออกมาก่อนเป็นอันดับแรก แล้วก็รีบวิ่งไปหยิบขวดน้ำในห้องของทัต เธอรีบจนเท้าและมือเป็นระวิงเลยทีเดียว
“ค่อย ๆ ลุกนะ แล้วรีบกินนี่ซะ”
“อื้ม”
พิมค่อย ๆ พยุงทัตขึ้นนั่งเอนตัวกับหัวเตียงแล้วให้ทัตกินยาแก้ปวดทันที
“นั่งพิงไปก่อนนะ อย่าเพิ่งนอน”
พิมว่าแบบนั้นแล้วก็รีบแจ้นออกไปหาผ้าสะอาด ๆ ในห้องทัตมาอีก เธอพยายามหาน้ำแข็งที่อยู่ในตู้เย็นอย่างรีบร้อนแล้วเอามาทำเป็นที่ประคบเย็นเป็นวิธีปฐมพยาบาลพื้นฐานเมื่อถูกผึ้งต่อย แต่ถ้าเป็นพิษจากเหล็กในของผึ้งยักษ์ตัวเท่าคนก็ไม่รู้จะได้ผลไหม
ดูแลกันดีจริง ๆ เลยนะเนี่ย
ความพยายามของพิมน่าชื่นชมและน่าดีใจในเวลาเดียวกันจนทัตอดคิดแบบนั้นไม่ได้ เขารู้สึกเหมือนมีนางพยาบาลสาวสวยมาคอยดูแลให้ตอนป่วยยังไงอย่างงั้น
แต่บางทีก็เหมือนจะดูแลกันใกล้ชิดมากเกินไปหน่อยเหมือนกัน… เห็นได้จากที่พิมเริ่มถกชายเสื้อของทัตขึ้น บางทีเธอก็แค่อยากจะประคบเย็นให้ตรงสีข้างซ้ายที่ถูกเหล็กในผึ้งแทงนั่นแหล่ะ แต่เพราะมันกะทันหันไปหน่อยทัตเลยรู้สึกประหม่าขึ้นมา
“นี่… ฉันทำเองก็ได้”
“คนเจ็บน่ะอยู่เฉย ๆ เถอะน่า”
ครั้นจะเอ่ยเตือนก็ถูกพิมปฏิเสธอีก น้ำเสียงของเธอเหมือนกับอาจารย์ที่กำลังดุนักเรียนของตัวเองยังไงอย่างงั้นเลย
ยังไงก็ตาม… เพราะทัตไม่สามารถบอกปัดความหวังดีของพิมได้ เขาเลยจำต้องยอมอดทนกับความเขินอายที่พิมขยับตัวเข้ามาจนชิดเพื่อประคบเย็นแผลถูกเหล็กในแทงของเขา
เธอไม่ประหม่าบ้างรึไงเนี่ย
ทัตคิดแบบนั้นในขณะที่สังเกตพิมซึ่งตอนนี้ร่างกายแนบชิดติดกับเขา
กลายเป็นว่าได้เห็นสีหน้าอันจริงจังของพิมเข้า ดูเหมือนในหัวของเธอตอนนี้จะมีเพียงอย่างเดียวคือความเป็นห่วงและกังวลในอาการบาดเจ็บของเขา
เป็นห่วงฉันจริง ๆ สินะเนี่ย
ทัตเห็นแบบนั้น ความประหม่าและความคิดไม่เข้าท่าก็ค่อย ๆ หายไป แม้ตอนนี้เธอจะแนบชิดเขาอยู่ทัตก็ยอมแต่โดยดี เพราะเห็นอย่างนี้เขาก็ไม่ใช่คนที่ชอบโดนดุเท่าไหร่ โดนเฉพาะจากพิม
“ฉันคิดว่าดีขึ้นแล้วล่ะ”
เมื่อยาแก้ปวดออกฤทธิ์เต็มที่ทัตก็รู้สึกกลับมากระปี้กระเปร่าอีกครั้ง แต่พิมรู้สึกไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ถึงได้จ้องจี่พร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาใกล้ทัตราวกับไม่เชื่อที่เขาพูด
บางทีเธอคงคิดว่าทัตพยายามทำเป็นเข้มแข็งเพราะไม่อยากให้เธอเป็นกังวลไปมากกว่านี้ก็ได้ เพื่อความแน่ใจพิมเลยใช้หลังมือสัมผัสแถวหน้าผากสลับกับแก้มของทัตอีกครั้ง และนั่นก็ทำให้ทัตรู้สึกประหม่าอีกครั้งจนแก้มเริ่มจะแดงระเรื่อขึ้นมาอีกครั้งเช่นกัน
“แน่ใจนะ? ตัวยังร้อนอยู่เลยนี่?” และดูเหมือนอุณหภูมิร่างกายโดยเฉพาะบริเวณใบหน้ากลับมาสูงขึ้นด้วยสาเหตุอื่น พิมจึงยังเอียงคอสงสัยด้วยสีหน้าเคลือบแคลง
“…ก็ไม่ได้เป็นเพราะไข้สักหน่อยนี่นา”
ทัตเองก็ลังเลที่จะพูด แต่ถ้าไม่พูดความจริงออกไปพิมก็คงไม่หายเคลือบแคลง ด้วยเหตุนั้นแม้แก้มของเขาจะยังเจือสีแดงอยู่เขาก็ต้องพูด
และนั่นก็เลยทำให้พิมเพิ่งจะรู้ตัวว่าทำอะไรไปบ้าง เธอจึงเริ่มออกอาการอย่างเดียวกัน
“วะ… หวา!” ใบหน้าของเธอร้อนขึ้นจนอาจสูงกว่าอุณหภูมิของทัตในตอนนี้เสียอีก แก้มของเธอแดงไปจนถึงหู
แผ่นหลังของเธอดีดตรงจนทำให้เธอล้มคะมำไปกับพื้น แต่ก็รีบลุกขึ้นแล้วหันหน้าไปทางอื่นในทันที
ในความหมายก็คือเธอพลิกตัวหลบหน้าทัตนั่นเอง…
นะนะ นี่ฉันทำอะไรไปกันเนี่ย!?
เธอยกมือสองข้างขึ้นปิดหน้าตัวเองด้วยความอายจนอยากจะมุดดินหนี
…แม้เธอจะลืมไปชั่วขณะนึง ว่าก่อนหน้านี้เธอก็ทำเรื่องแบบนี้ออกจะบ่อย อย่างตอนเย็นวันนี้ที่แกล้งหยอกทัตไปทีนึงด้วยการจงใจกดหน้าอกกอดต้นแขนของเขาเสียเต็มรักเป็นต้น
ยังไงก็ตาม… ถึงจะทำแบบนั้นบ่อยก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะเคยชิน โดยเฉพาะการทำแบบนั้นกับทัต เธอถึงต้องใช้เวลาปรับลมหายใจเสียใหม่เพื่อตั้งสติของตัวเองสักพัก
ทัตเห็นท่าทางไร้เดียงสาที่เพิ่งจะมาเขินอายเอาทีหลังของพิมแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่ามันช่างน่ารักน่าชังเสียเหลือเกิน บางทีการมีเธออยู่ด้วยในสถานการณ์ที่เหมือนโลกจะจบสิ้นแบบนี้มันก็ไม่ได้เลวร้ายไปเสียหมด
เพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้เขาอมยิ้มออกมาได้ในช่วงเวลาที่ยากลำบากแบบนี้
“ยังไงก็ขอบใจนะที่ช่วย ฉันรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย คิดว่าน่าจะไม่เป็นไรแล้วล่ะ” ทัตว่าแบบนั้น น้ำเสียงของเขาดูใสกังวานขึ้นมา สีหน้าก็ดูสดใสไม่หมองหม่นเหมือนคนป่วยอีกแล้ว
และเขาก็พยายามเปลี่ยนเรื่องไปขอบคุณพิมเพื่อให้เธอลืมเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไปด้วย
“ชะ ใช่ไหมล่า! เห็นไหมว่าฉันก็มีประโยชน์เหมือนกัน!”
พิมจึงไม่ลังเลสักนิดที่จะตามบทสนทนาเขาอย่างรวดเร็วเหมือนเล็งไว้นานแล้ว ถึงมันจะดูร่าเริงเกินจนผิดปกติไปบ้างก็เถอะ
และไม่ว่าจะดีหรือร้าย… แต่นี่เป็นจังหวะดีมากที่จะได้พัก
ทัตจึงถอนหายใจออกมาอย่างปลอดโปร่งหลังเจอศึกหนักที่ต้องเอาแต่หนีตายมาตลอดตั้งแต่ตอนหัวค่ำ เขาเอื้อมมือไปหยิบสมาร์ทโฟนดูหน้าจอบอกเวลา ตอนนี้ปาเข้าไป 3 ทุ่มเศษแล้ว
ไม่สิ… อาจไม่ใช่จังหวะดีเลยก็ได้
จะว่าเร็วก็เร็ว แต่พอคิดว่าในเวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็เกือบจะทำให้ทัตตายได้แล้วตั้งหลายครั้ง เขาก็รู้สึกว่าสถานการณ์นี้ไม่น่าไว้ใจอีกครั้ง
นี่ยังไม่นับเรื่องที่อาจจะยังมีพวกผึ้งลาดตระเวนเหลืออยู่ในอาคารอีก โดยเฉพาะห้องด้านล่างของทัตที่ยังไม่ได้ไปตรวจสอบ
เหลือเวลาอีก 8 ชั่วโมงกว่า ๆ ถึงจะเช้า
ถ้าเกิดยังมีตัวอะไรอยู่ข้างล่างห้องเราจริงล่ะก็ บอกเลยว่าไม่น่าไว้ใจเอามาก ๆ
เพราะมันสามารถบุกมาได้ทุกเมื่อเลยแม้แต่ตอนนี้
พอสติกลับมาครบถ้วน ทัตก็เริ่มคิดในแง่ร้ายอีกครั้ง ไม่สิ… มันคือการมองลบเพื่อให้รับมือและเอาตัวรอดได้ในทุกสถานการณ์ต่างหาก
นั่นถึงเป็นเหตุผลที่เขายังคิดจะลงไปตรวจสอบห้องเจ้าปัญหาที่อยู่ชั้นล่างหลังจากนี้เหมือนเดิม แต่ก่อนหน้านั้นเขามีเรื่องที่ต้องทำก่อน นั่นคือการจัดการกับแต้มเลเวลที่ได้มาก่อนหน้านี้
โดยเริ่มจากตรวจสอบความแข็งแกร่งของตัวเองในตอนนี้เสียก่อน
ทัตเทพ ไกรธนเดช (LV-7)
Fighter LV-3 , Mage LV-1 , Supporter LV-1
สเตตัสพื้นฐาน :
ความสามารถทางกาย : 5
ความเชี่ยวชาญคลาส Fighter : 3
ความเชี่ยวชาญคลาส Mage: 1
ความเชี่ยวชาญคลาส Supporter : 1
สกิล :
Fighter : ทักษะจู่โจม LV-1 , ทักษะตั้งรับ LV-1
Mage (ดิน น้ำ ลม ไฟ) : เวทยิง LV-1
Supporter : วิเคราะห์ LV-1
หลังจากอัพเลเวลของ ‘Fighter’ จนเป็นเลเวล 3 ฉันก็เพิ่งจะสังเกตว่าจะได้สกิลใหม่
เพราะตอนที่จะเลือกอัพเป็นเลเวล 2 ของแต่ละอาชีพมันไม่มีบอกเลยว่าในอนาคตจะได้สกิลอะไรหากอัพเลเวลต่อ
ดังนั้น ถ้าอยากรู้ว่าจะได้สกิลอะไรก็ต้องอัพไปจนก่อนจะถึงเลเวลนั้นถึงจะรู้
เป็นระบบที่ยุ่งยากจริง ๆ เลยให้ตายสิ
ทัตคิดแล้วก็เหนื่อยใจหลังเห็นหน้าต่างข้อมูลด้านขวาของตัวเอง
‘Knight LV-1’ : ได้รับสกิล ‘ทักษะจู่โจม (Knight) LV-1’
‘Lancer LV-1’ : ได้รับสกิล ‘ทักษะจู่โจม (Lancer) LV-1’
‘Fighter LV-4’ : –
‘Archer LV-1’ : ได้รับสกิล ‘ทักษะจู่โจม (Archer) LV-1’
‘Assassin LV-1’ : ได้รับสกิล ‘ทักษะจู่โจม (Assassin) LV-1’
‘Mage LV-2’ : –
‘Supporter LV-2’ : –
เห็นได้ชัดเลยว่ามันไม่ค่อยจะอำนวยความสะดวกและเป็นมิตรกับผู้ใช้เลยสักนิด
อย่างที่เห็นว่า ถ้าในเลเวลถัดไปไม่มีสกิลให้ปลดล็อค มันก็จะไม่บอกเราเลย
ให้ตายสิ แค่เอาตัวรอดจากพวกมอนสเตอร์ยังไม่ยากพออีกเหรอเนี่ย ยังมากดดันกันด้วยวิธีนี้อีก
แต่บ่นไปมันก็ไม่ช่วยแก้ปัญหาอะไร… เอาเป็นว่าสิ่งที่ต้องทำในตอนนี้คือรวบรวมข้อมูลจากสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคาดเดาว่าอะไรจะเป็นผลดีล่ะนะ
อย่างแรกก็คือเรื่องที่ว่าพออัพเลเวลของ ‘Fighter’ เป็นเลเวล 3 แล้วได้สกิลใหม่… ฉันเลยเดาไว้ว่าทุก ๆ อาชีพจะได้สกิลใหม่เมื่ออัพเป็นเลเวล 3 เหมือนกัน
ในสถานการณ์นี้ ก็จริงที่การเพิ่มความแข็งแกร่งของคลาสใดคลาสหนึ่งโดยเฉพาะคลาสสายต่อสู้อย่าง ‘Fighter’ เป็นเรื่องที่ควรทำเป็นอันดับแรก
แต่เอาตรง ๆ ฉันอยากได้สกิลที่หลากหลายเพื่อเพิ่มกลยุทธิ์ในการต่อสู้มากกว่า
เพราะตอนนี้มีฉันคนเดียวที่ต่อสู้ได้… ถ้าเก่งแค่อย่างเดียวก็เอาตัวรอดในทุกสถานการณ์ไม่ได้กันพอดี
นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ฉันคิดจะใช้ 2 แต้มที่ได้มาอัพเลเวลของ ‘Mage’ ไม่ก็ ‘Supporter’
และถ้าถามว่าสนใจอันไหนมากกว่ากัน ก็ต้องเป็น ‘Mage’ นั่นแหล่ะ
ในศึกก่อนหน้านี้ มันเห็นแล้วว่า ‘Mage’ ยังคงมีประโยชน์ในการต่อสู้อยู่ถ้าเลือกใช้ในสถานการณ์ที่ถูกต้อง ในขณะที่ ‘Supporter’ ตอนนี้ยังไม่มีเหตุผลให้ต้องอัพเพราะไม่เห็นประโยชน์ที่จะใช้
เพราะงั้น แทนที่จะเสี่ยงดวงกับอาชีพที่ไม่รู้จะได้อะไรเหมือนกับสุ่มกาชา สู้ไปอัพอาชีพนักเวทเพื่อเอาสกิลใหม่ดีกว่า
ทัตคิดได้ดังนั้นจึงไม่ลังเลที่จะทุ่มแต้มที่เหลือไปอัพเลเวลของคลาส ‘Mage’
และผลลัพธ์ก็น่าสนใจยิ่งกว่าที่ทัตคิดไว้ตอนแรกเสียอีก…
อาชีพ ‘Mage’ เลื่อนเป็นเลเวล 3 แล้ว
‘ความสามารถทางกาย’ +2
‘ความเชี่ยวชาญคลาส Mage’ +2
ได้รับสกิล : ‘เวทเกราะ LV-1’
ปลดล็อคเวทธาตุสายฟ้าแล้ว
สกิลที่ได้รับมาสอดคล้องกับของคลาส ‘Fighter’ คือเป็นสกิลที่ใช้ป้องกัน แต่สายตาของทัตไปโฟกัสตรงเวทที่ได้รับการปลดล็อคก่อนที่จะสนใจสกิลใหม่เสียอีก
สายฟ้าเหรอ? เจ๋งเลยแฮะ!
อย่างงี้ก็คิดถูกแล้วล่ะที่อัพเลเวลของ ‘Mage’ น่ะ!
ใครจะไปรู้ล่ะเนี่ย… ว่านอกจากปลดล็อคสกิลใหม่แล้ว ยังสามารถปลดล็อคเวทมนตร์ประเภทใหม่ได้ด้วย?
แล้วการปลดล็อคเวทมนตร์ชนิดใหม่ก็สามารถใช้กับสกิลเก่าอย่าง ‘เวทยิง LV-1’ ได้เหมือนกัน… นั่นก็คือสามารถใช้เวทยิงสายฟ้าได้ด้วยนั่นเอง!
แถมเวทสายฟ้านี้ก็มีคุณสมบัติพิเศษเหมือนกับไฟที่สร้างการเผาไหม้… สายฟ้าสามารถทำให้ศัตรูที่โดนเป็นอัมพาตได้!
นี่จะช่วยสร้างข้อได้เปรียบในการชะลอจังหวะของศัตรูได้มากเลยทีเดียว
ทัตดีใจจนอยากจะลุกจากเตียงไปกระโดดโลดเต้น แต่แน่นอนว่าเขาไม่ทำเรื่องที่ขัดกับบุคลิกภาพตัวเองอย่างนั้นหรอก
“ดูดีใจนะ เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” แต่ดูเหมือนทัตจะแสดงออกทางสีหน้ามากเกินไปอยู่ดี มากพอให้พิมสังเกตเห็นจนต้องเอียงคอสงสัยนั่นแล
“ได้สกิลใหม่มาน่ะ แถมยังใช้เวทสายฟ้าได้เพิ่มแล้วด้วยตอนนี้”
“เจ๋งไปเลยนี่นา”
พิมได้ยินแบบนั้น ดวงตาของเธอก็เป็นประกายตามไปกับทัตด้วย เธอเองก็เคยเห็นทัตใช้เวทไฟมาก่อนหน้านี้แล้วก็เลยคิดว่ามันเท่ดีกระมัง แต่สายตาของเธอนั้นชี้ชัดอย่างนึงคือ เธอเองก็อยากจะลองใช้เวทมนตร์ดูเหมือนกัน
โอเค… งั้นต่อไปก็คือสกิลใหม่ที่ได้มาอย่าง ‘เวทเกราะ LV-1’ สินะ
ดูเหมือนมันจะสามารถใช้เวทมนตร์สร้างโล่ขนาดเล็กขึ้น ไปจนถึงสามารถสร้างกำแพงเวทมนตร์เพื่อป้องกันการโจมตีของศัตรูได้เลย
และข้อแตกต่างอย่างหนึ่งที่ไม่เหมือนกับ ‘เวทยิง LV-1’ คือเวทยิงมันใช้เวลาราว 5 วินาทีถึงจะชาร์จพลังเวทให้มีพลังทำลายเต็มที่ของสกิลนี้
แต่สำหรับ ‘เวทเกราะ LV-1’ นั้นขึ้นอยู่กับผู้ใช้ คือยิ่งอยากสร้างโล่หรือกำแพงที่มีขนาดใหญ่มากเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องใช้เวลาในการสร้างมากเท่านั้น และแน่นอนว่าถ้าใช้เวลาไม่มากพอมันก็จะเปราะหักง่าย เหมือนกับเวทยิงที่จะมีพลังทำลายน้อยหากใช้เวลาร่ายเวทไม่มากพอ
แต่ถ้าจะให้แน่ใจ ก็ต้องลองใช้ดูก่อนนั่นแหล่ะนะ
ทัตตัดสินใจได้ดังนั้นก็ลุกขึ้นจากเตียงในทันทีด้วยความตื่นเต้นราวกับเด็กที่เพิ่งได้ของเล่นชิ้นใหม่ตรงตามทุกตัวอักษร
“เดี๋ยวฉันจะออกไปลองของใหม่ก่อนนะ”
“อ๊ะ”
การลุกพรวดพราดของทัตทำให้พิมเป็นห่วงอยู่นิดหน่อยจนเธอเกือบจะเอ่ยปากให้ระวัง แต่ดูเหมือนทัตเกือบจะหายสนิทดีแล้วอย่างที่เจ้าตัวได้โม้เอาไว้จริง ๆ พิมก็เลยไม่ได้ห้ามและตามเขาไปติด ๆ แทน
ทัตใช้ความคิดที่ว่า ‘ถ้าถึงเช้าทุกอย่างจะกลับมาเป็นปกติ เพราะงั้นต่อให้ทำอะไรไม่ดีกับตึกนี้ก็คงไม่เป็นไรล่ะมั้ง?’ เป็นข้อยึดหลัก เขาจึงคิดจะทดลองมันตรงทางเดินของชั้นสามนี่แหล่ะ
ก่อนอื่น… ลองเป็นกำแพงที่กั้นทางเดินไม่ให้ใครเข้ามาละกัน
ทัตเริ่มร่างภาพในหัว และไม่รู้ว่าเป็นเพราะผลของสกิลหรือไม่ ทัตถึงสามารถจินตนาการภาพกำแพงที่ต้องการจะสร้างได้ง่ายมาก
เพราะแบบนั้น ในทันทีที่เขาใช้สกิล ‘เวทเกราะ LV-1’ ด้วยธาตุดิน เบื้องหน้าของทัตกับพิมก็ค่อย ๆ ปรากฏเม็ดดินเล็ก ๆ ค่อย ๆ ก่อตัวเริ่มจากพื้นของระเบียงค่อยสูงขึ้น ใช้เวลาราว 4 วินาทีมันถึงจะมีส่วนสูงเท่ากับทัตอย่างที่เขาออกแบบไว้ในหัว
ถ้าไม่นับเรื่องสีผิวสีน้ำตาลของดินแท้และผิวสัมผัสอันขรุขระ กำแพงดินที่ทัตสร้างขึ้นก็ไม่ต่างจากผนังของอาคารหอพักนี้เลย
“ว้าวววว!”
พิมตาเป็นประกายพร้อมกับปรบมือเป็นจังหวะด้วยความตื่นเต้น ทัตเห็นแบบนั้นก็รู้สึกภาคภูมิใจจนเหมือนกับจมูกจะยื่นหรืออกจะยืดออกมาได้เลย
ใจจริงเขาก็อยากจะหันไปโม้กับพิมอยู่ แต่ด้วยเรื่องที่อยากทำต้องมาก่อน ทัตเลยหันกลับไปจ้องกำแพงที่ตัวเองสร้างมาอีกครั้ง
ต่อไปก็ทดสอบความแข็งล่ะสินะ
หลังจากกำแพงถูกสร้างจนเสร็จ ทัตก็ไม่รอช้าที่จะเดินเข้าไปทดสอบด้วยสกิล ‘ทักษะจู่โจม (Fighter) LV-1’ เขาจึงถอยเท้าขวาออกไปตั้งหลักก้าวหนึ่ง ก่อนที่จะ…
“โอ้ววววว!!!”
ตุบ!!!
ทัตต่อยใส่กำแพงตรงหน้าเต็มแรง แต่เกิดรอยแตกยุบลงไปในกำแพงไม่ถึง 3 ซม. ด้วยซ้ำ เห็นแบบนั้นในความคิดของทัตจึงถือว่านี่เป็นการป้องกันที่มีประสิทธิภาพมากทีเดียว
เพราะถึงจะเป็นความจริงที่ยิ่งศัตรูแข็งแกร่งมากแค่ไหน พลังทำลายก็จะมากขึ้นจนทำให้กำแพงถูกดาเมจได้มากขึ้น แต่ถ้าเลเวลของอาชีพ ‘Mage’ ของทัตเพิ่มขึ้น ความแข็งแกร่งของสกิลนี้ก็จะเพิ่มขึ้นเหมือนกัน
ยังไงก็ตาม ทัตมีข้อสังเกตอีกหนึ่งอย่างคือ เขาไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิดในตอนที่ออกหมัดชกก้อนดินที่แข็งสุด ๆ ตรงหน้านี้ ซึ่งในเบื้องต้นก็คงมาจากสเตตัส ‘ความสามารถทางกาย’ ของทัตที่ตอนนี้มีอยู่ถึง 7 แต้มนั่นแหล่ะ
ทัตจึงไม่กลัวเจ็บที่จะทดลองต่อ… เขาซัดหมัดใส่จุดเดิมอีกครั้งและอีกครั้ง เขาซัดไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งหมัดของเขาทะลุไปถึงอีกฟากของกำแพง เขาต้องใช้ถึง 6 หมัดถึงจะทำลายได้
“แข็งเอาเรื่องเลยนะเนี่ย”
พิมเองก็คิดแบบเดียวกับทัต หลังชะโงกหน้าดูความหนาและเห็นว่าทัตต้องลำบากขนาดไหนถึงจะเจาะมันเป็นรูได้
แต่ดูเหมือนพิมจะพูดพอเป็นพิธีเฉย ๆ ยังไงอย่างงั้น เพราะสายตาเธอไม่ได้โฟกัสมองเจ้ากำแพงที่เธอชื่นชมเลย ใบหน้าของเธอเหมือนกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ แถมยังจริงจังมาก ๆ ด้วย
“กำลังคิดอะไรอยู่เหรอ?”
ทัตถึงหันไปเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง ในเวลาแบบนี้ถ้าปล่อยให้พิมเป็นกังวลมันอาจกลายเป็นเรื่องแย่เข้าไปใหญ่ก็ได้
แต่ใครจะรู้ว่าสิ่งที่เธอพูดออกมาจะทำให้ทัตกลายเป็นอีกคนที่ต้องคิดหนัก
“ฉัน…” พิมเอ่ยไม่เต็มประโยค และก้มหน้าหลบทัตที่ยืนอยู่ด้านหน้าเหมือนลังเลไม่แน่ใจว่าจะพูดดีไหม
แต่พอตัดสินใจได้ก็หันไปจ้องตาของทัตอย่างจริงจัง
“ฉันเองก็อยากจะสู้ด้วย! ฉันไม่อยากปล่อยให้นายไปสู้คนเดียว!”
น้ำเสียงที่หนักแน่นไม่เพียงแสดงความชื่อตรงแต่ยังเป็นความตั้งใจอย่างแน่ววแน่ สายตาของเธอไม่เพียงมองเข้าไปในดวงตา แต่ตั้งใจมองเข้าไปในจิตใจของทัต เพื่อสื่อให้เขารู้ว่าเธอจริงจังกับสิ่งที่พูดแค่ไหน รวมถึงเพื่อให้ทัตรู้ว่าตัวเองคิดอย่างถี่ถ้วนดีแล้ว
…สายตาที่แน่วแน่ของเธอบอกกับทัตแบบนั้น
อย่างไรก็ดี… สำหรับทัตแล้ว นั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการมากที่สุด ไม่ว่าจะมาจากความต้องการของเขาหรือจากตัวพิมเอง เขาถึงได้ขมวดคิ้วแน่นมากกว่าทุกครั้งที่พิมเคยเห็น พิมสัมผัสได้เลยว่าทัตรู้สึกหงุดหงิดเมื่อได้ยินความต้องการของพิม
สาเหตุอันดับแรกก็แน่นอนอยู่แล้วว่าเป็นเพราะทัตไม่อยากให้พิมลงศึกเองเพราะมันเสี่ยงตาย
และสาเหตุอีกอย่างหนึ่งก็คือ เขาไม่รู้ว่า ‘การตื่น’ ที่เขาได้รับมานี้จะมีผลกระทบอะไรในระยะยาวรึเปล่า? มีสิ่งที่ต้องแลกเปลี่ยนที่ทัตยังไม่รู้อยู่อีกรึเปล่า? หากยังพิสูจน์ไม่ได้ว่ามันปลอดภัย ทัตก็ไม่อยากให้พิมมาเผชิญสถานการณ์เดียวกันกับตน
…แต่ก็รู้กันอยู่ว่าพิมน่ะหัวรั้น และถ้าได้ตัดสินใจอะไรอย่างแน่วแน่ไปขนาดนั้นแล้วล่ะก็ ไม่มีทางเลยที่เธอจะยอมล้มเลิกแน่ ๆ
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าทำยังไงถึงจะได้พลังแบบนี้มาน่ะ” ทัตเลยหลีกเลี่ยงสถานการณ์นั้น ด้วยการทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับคำตอบที่เธออยากจะได้
“โกหก”
“…”
แต่พิมก็ตอกกลับคำพูดของทัตแทบจะทันที ด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ทัตรู้สึกขนลุกเพราะเธอกำลังโกรธ นั่นเป็นเหตุผลที่ทัตพูดอะไรต่อจากนั้นหรือโต้ตอบกลับไปไม่ได้นอกจากยืนแข็งทื่อเป็นก้อนหิน เห็นได้ชัดเลยว่าน้ำเสียงที่พยายามกดให้ต่ำของทัตมันยังไม่แนบเนียนพอที่จะหลอกลวงประสาทสัมผัสอันเฉียบคมของพิมได้
…ยิ่งถ้าเป็นคนที่คอยมองทัตมาตลอดอย่างเธอแล้วล่ะก็ ท่าทางผิดสังเกตของเขาทั้งจากที่หลบตาในตอนที่ตอบคำถามหรือไหล่ที่ยกขึ้นมากกว่าปกติเองก็อยู่ในสายตาของพิมด้วย
ทัตเห็นแบบนั้นยิ่งรู้สึกลำบากใจเข้าไปใหญ่ เขาเริ่มเกาหลังศีรษะราวกับจนมุม
“ฉันรู้นะว่านายน่ะเป็นห่วงฉัน”
เพราะเห็นว่าทัตนิ่งไปและยังคงสับสนไม่ได้คำตอบอยู่ พิมเลยอาศัยจังหวะนั้นแสดงความหนักแน่นของตัวเองให้มากยิ่งขึ้นไปอีก
“แต่นายก็รู้นี่ว่าฉันเองก็เป็นห่วงนายเหมือนกัน…” ในน้ำเสียงของเธอยังคงแน่วแน่แต่แก้มของเธอแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อย
“แล้วนายเคยบอกใช่ไหมล่ะ ว่าคนที่ไม่มีพลังจะถูกลบความจำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น” พิมเอ่ยถามแต่ไม่ต้องการคำตอบแม้มองเข้าไปในตาของทัต เขาจึงไม่ได้ส่ายหรือพยักหน้ารับ
“พิม…”
ในขณะที่เสียงของพิมเองก็เริ่มจะสั่นระรัวมากขึ้นเข้าไปทุกที ๆ นั่นเลยทำให้ทัตเริ่มรู้สึกไม่สบายใจและกังวลจากความเป็นห่วงขึ้นมา
“ฉันทนไม่ได้หรอกนะ… ถ้าต้องรู้ว่านายต้องต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวแบบนั้น มันก็ไม่ต่างจากฉันทิ้งนายเลยไม่ใช่เหรอ?” น้ำตาของพิมเริ่มรื้นขึ้นที่ขอบตาทั้งสองข้าง แต่เธอก็ยกมือสองข้างพยายามปัดพวกมันออกไม่ให้ไหลออกมา
“แล้วถ้าวันนึงนายเกิดตายขึ้นมา ฮึก… ฉันก็จะไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลยน่ะสิ… ถ้าเป็นอย่างนั้นขึ้นมา แล้วฉันจะทำยังไงล่ะ”
แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว… น้ำตาที่เธออดกลั้นพร้อมทั้งพยายามปัดมันให้หายไปแต่หนแรกเริ่มไหลบ่าอาบแก้มสองข้าง ดูเหมือนความกังวลที่พิมมีมาตลอดตั้งแต่เกิดเรื่องมันจะถึงขีดจำกัดเสียแล้ว
ทัตเห็นดังนั้นก็แทบจะเลิกสนใจทุกอย่างแล้วเข้าไปดูอาการเธอ เขาค่อยเอื้อมมือสัมผัสไหล่เธออย่างกังวลเพื่อปลอบใจ
…ในขณะที่เริ่มจะคิดได้ ว่าพิมคงรู้สึกเป็นห่วงเขามากยิ่งกว่าที่เขาคิด
ไม่สิ… จริง ๆ มันก็ชัดเจนอยู่แล้ว
เราแค่พยายามเมินมันอยู่มากกว่าถึงได้มองไม่เห็น
ทัตนึกย้อนกลับไปไม่ไกล จากการที่เขาถูกพวกผึ้งยักษ์จู่โจมจนได้รับแผลฉกรรจ์ติดตัว รวมถึงติดพิษเหล็กในจากพวกมันจนไข้ขึ้นสูง พิมก็แสดงอาการเป็นห่วงในระดับที่กระวนกระวายวิตกจริตออกมา มันก็เห็นได้ชัดอยู่แล้วว่าเธอกังวลและเป็นห่วงเขามากขนาดไหน
แล้วนั่นคงยิ่งทำให้เธอคิดขึ้นมาว่า ‘ตัวเองไม่ทำอะไรเลย เอาแต่ดูอยู่เฉย ๆ… ถ้าเกิดทัตตายขึ้นมามันก็เป็นความผิดของฉัน’
พิมคงคิดแบบนั้นแน่เธอถึงได้อยากมีส่วนรับผิดชอบกับเรื่องนี้และไม่ยอมให้ทัตต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องตัวพิมอยู่ฝ่ายเดียว ทัตคิดได้แบบนั้นเขาก็เลยเข้าใจความรู้สึกของพิมขึ้นมา
…แล้วก็เริ่มจะยอมรับได้ ว่าสิ่งที่พิมเลือกอาจเป็นสิ่งที่ถูกต้องก็ได้ และอย่างน้อยนี่ก็เป็นทางที่พิมเลือกเอง พอมาคิดดู มันก็ไม่ใช่กงการอะไรที่ทัตต้องมาตัดสินใจแทนพิมอยู่แล้วด้วย
แต่อันที่จริง… เรื่องมันก็แค่ทัตไม่กล้าปฏิเสธคำขอของพิมเพราะเห็นน้ำตาของเธอก็เท่านั้นเอง
“เข้าใจแล้ว ฉันยอมแล้วก็ได้” เพราะแบบนั้น… ทัตก็เลยต้องจำยอมตอบรับคำขอของพิม เขาเลื่อนมือที่สัมผัสไหล่พิมอยู่ไปสัมผัสมือซ้ายของเธอที่กำลังใช้เช็ดน้ำตาที่กำลังไหลของเธอ
ฉันเข้าใจแล้ว เพราะงั้นหยุดร้องไห้เถอะนะ… ทัตต้องการจะบอกกับเธอแบบนั้น
…อย่างไรก็ดี มีสิ่งหนึ่งที่ทัตคิดผิดไป เขาตระหนักได้ถึงเรื่องนั้นในตอนที่ผละมือของตัวเองออกมาจากมือของพิม
“เฮะ ๆ” แล้วเธอก็แลบลิ้นหัวเราะออกมาเบา ๆ อย่างขี้แกล้งและยียวน ราวกับปีศาจน้อยตัวแสบยังไงอย่างงั้น
“ให้ตายสิ… คนอย่างเธอนี่มัน”
พอเห็นแบบนั้นทัตถึงรู้ตัวว่าเขาโดนหลอกเสียแล้ว เขาถึงได้กุมขมับเพราะเสียท่าให้กับเธอเข้าจนได้
…แต่ถึงมันจะเป็นอย่างนั้น พอทัตคิดให้ถี่ถ้วนอีกที เขาก็รู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่าน้ำตาของเธอมันเป็นของจริง และบางทีที่เธอทำเป็นแกล้งหยอกในตอนสุดท้าย อาจเป็นเพราะไม่อยากทำให้เขาคิดมากก็เป็นได้กระมั้ง แต่ทัตก็ทำได้แค่คาดเดาเท่านั้น เพราะจริง ๆ แล้วพิมก็อาจจะใช้น้ำตาจระเข้หลอกเขาให้ยินยอมก็ได้เหมือนกันอยู่ ครั้นจะเอ่ยปากถามว่ามันเป็นแบบไหนกันแน่พิมก็คงไม่ยอมบอกอยู่ดี
ผู้หญิงนี่… เข้าใจยากจริง ๆ แฮะ
ทัตได้แต่ยอมจำนนก่อนจะถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ อย่างไรเสียเรื่องจิตใจของผู้หญิงก็เป็นสิ่งที่ผู้ชายทุกคนไม่อาจหยั่งถึงได้อยู่แล้ว และดูเหมือนคิดมากไปก็มีแต่จะป่วยการ ทัตเลยสะบัดหน้าไปมาเพื่อลืม ๆ เรื่องนี้ไปซะ
“ถ้างั้น… ฉันจะไปสำรวจห้องข้างล่างต่อเลยก็แล้วกัน” ก่อนที่ทัตจะตั้งเป้ากลับไปยังจุดหมายเดิมของตนอีกครั้ง เขาสั่งสลายเวทเกราะดินที่สร้างเป็นกำแพงไว้ก่อนจะไป
แต่การที่เขารีบเดินหนีออกจากตรงนั้น มันก็ไม่ต่างอะไรจากการรีบเปลี่ยนเรื่องแล้วหนีจากพิมเพราะพ่ายแพ้สงครามประสาทนั่นแหล่ะ เพราะเห็นอย่างนี้เขาเองก็มีศักดิ์ศรีค้ำคออยู่ (ถึงแม้จะเป็นศักดิ์ศรีที่เกิดขึ้นหลังจากแพ้เต็มเหนี่ยวไปแล้วก็ตาม)
พิมเห็นแบบนั้นก็ทำแก้มป่องไม่พอใจอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรนอกเหนือจากอมยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจเพราะยอมรับและยังดีใจกับชัยชนะของตัวเองอยู่ ก่อนจะเดินเตาะแตะตามทัตไปด้วยเหมือนเคย
…แต่ใครจะรู้
ในโลกที่อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ใบนี้ จะมีอะไรรออยู่แม้เพียงในอนาคตข้างหน้าที่ควรจะเป็นไปอย่างราบรื่นก็ไม่อาจรู้ได้
หึ่ง ๆ ๆ ๆ!!!
แม้กระทั่งในจังหวะที่กำลังจะเดินไปจากห้องของตัวเองเพื่อไปที่บันได…
ใครจะรู้ว่าในจังหวะนั้นจะมาผึ้งยักษ์อีกตัวบินขึ้นมาจากนอกระเบียง ในระนาบเดียวกับพวกทัตที่อยู่ชั้นสาม
เสียงบินหึ่ง ๆ ของมันทำให้ทัตกับพิมตกตะลึงจนเบิกตาโพลงและจำต้องรีบหันขวับไปมองร่างของมันที่ค่อย ๆ บินขึ้นมาจนพ้นขอบกั้นระเบียง
“พิม! มาหลบหลังฉัน!” ทัตตะโกนเรียกและไม่เพียงรอให้พิมวิ่งเข้ามาหลบด้านหลังตน แต่ตัวเขาเองยังถีบพื้นเข้าไปหาเธอด้วย พริบตาเดียวทัตก็เข้ามาขวางระหว่างเจ้าผึ้งยักษ์พร้อมยกมือสองข้างตั้งการ์ดแล้ว
ในขณะที่พิมกำลังระแวดระวังด้วยสีหน้ากังวลอยู่ด้านหลังพร้อม ๆ กับที่กำชายเสื้อของทัตด้วยความกลัว
ทั้งสองจดจ้องไปยังเจ้าผึ้งยักษ์ที่บินลอยอยู่นอกระเบียงด้วยสายตาคมกริบจริงจังแต่ก็ยังหวาดกลัวมันอยู่ รูปลักษณ์โดยรวมของมันไม่แตกต่างจากตัวอื่นก่อนหน้านี้ เพียงแค่มีลำตัวที่ยาวกว่ากับขนาดของปีกที่เล็กกว่า แต่อย่างไรเสียทัตก็ยังรู้สึกไม่ชอบมาพากลจึงใช้สกิล ‘วิเคราะห์ LV-1’ กับมัน
…แล้วผลลัพธ์ก็ยิ่งทำให้เขาเบิกตาโพลงกว้างขึ้นด้วยความตกตะลึง
ราชินีผึ้ง (LV-???)
ประเภท : Boss, Ticket
เฮ้ย ๆ… ล้อกันเล่นใช่ไหมวะเนี่ย!!!
เหงื่อจำนวนมากผุดขึ้นบนใบหน้าของทัตหลังได้เห็นผลลัพธ์ ขาขวาของเขาเผลอชักหนีไปด้านหลังโดยไม่ตั้งใจเมื่อตระหนักได้ว่าเจ้าผึ้งที่อยู่ตรงหน้าแตกต่างจากตัวก่อน ๆ ที่เขาปราบมาอย่างสิ้นเชิง เพราะมันเป็นระดับบอสมอนสเตอร์ ซึ่งการมีตำแหน่งนี้ติดตัวมันก็เห็นชัดเจนอยู่แล้วว่าคงแข็งแกร่งและร้ายกาจยิ่งกว่าตัวอื่นเป็นไหน ๆ
และเผลอ ๆ อาจจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าทุกตัวที่เขาเจอมาด้วยซ้ำ
ทัตถึงได้มองมันไม่วางตาเพื่อพยายามอ่านการเคลื่อนไหว แต่มันกลับไม่ยอมทำอะไรสักทีราวกับกำลังดูท่าทีของพวกทัตอย่างไม่รีบร้อน แม้จะเหมือนดูถูกพวกทัตแต่นั่นคือสิ่งยืนยันว่ามันไม่รู้สึกกังวลเลยที่จะต้องสู้กับทัต
เวรเอ้ย! ใครจะไปรู้เนี่ยว่าจะมีบอสอยู่ด้วย แถมยังมาเจอกันตอนนี้อีก ฉันเพิ่งจะเลเวล 7 เองนะ!
แล้วเลเวลของมันอีก? สกิล ‘วิเคราะห์ LV-1’ของฉันใช้ได้กับพวกที่มีเลเวลไม่สูงไปกว่า 3 เท่าของฉัน
นั่นหมายความว่าไอ้ตัวนี้… มีเลเวลมากกว่า 21 อย่างนั้นเหรอ!?
ทัตกัดฟันกรอดอีกครั้งหลังยืนยันความอันตรายของสถานการณ์ได้
…และยิ่งเลวร้ายลงไปอีกเมื่อเจ้าผึ้งเริ่มกระพือปีกเร็วขึ้น นอกเหนือจากนั้นสายลมก็เริ่มรวมตัวรอบ ๆ ราวกับมีเจ้าผึ้งยักษ์เป็นศูนย์กลางของพายุ
ฟุบ!!!
“!!!!?”
แล้วในจังหวะถัดมา ทัตก็เห็นลาง ๆ ว่ามีบางอย่างพุ่งเข้ามาทางเขากับพิม เขาจึงรีบพลิกตัวกลับไปกอดพิมแล้วกระโดดหลบไปด้านข้างในทันที
บางอย่างที่ว่าพุ่งผ่านพวกเขาไปด้วยระยะห่างราวแผ่นกระดาษเข้าใส่ผนังของตึกอาคาร พริบตานั้นผนังตรงจุดที่โดนโจมตีก็เหมือนกับถูกใบมีดยักษ์เชือดเฉือนจนทะลุไปถึงท่อประปา น้ำทะลักออกมาจากรอยฟันนั่นสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณนั้น ความรุนแรงของมันสามารถฟันลึกเข้าไปได้เกือบหนึ่งเมตรเลยทีเดียว
ไม่ผิดแน่… เมื่อกี้…
กับสิ่งที่น่าเหลือเชื่อจนยากแก่การยอมรับ แต่พอได้เห็นในระยะประชิดแถมยังเกือบกลายเป็นชิ้นเนื้อก็เพราะการโจมตีนั้น ทัตจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องยอมรับความจริง
ไอ้บอสเวรนี่… มันใช้เวทมนตร์ได้งั้นเหรอ!?
❖❖❖❖❖