แดนนิรมิตเทพ - บทที่ 676
แดนนิรมิตเทพ บทที่ 676
“เฉินโม่ ถ้านายไม่มีเงิน ฉันสามารถยืมให้นายได้ อย่าทำลายความสนใจของยานเอ๋อร์!” ฉีหมิงซานกล่าวด้วยสีหน้าเย่อหยิ่ง และด้วยน้ำเสียงที่เหมือนทำบุญทำทาน
หลังจากกล่าวจบ เขาก็ด่าอยู่ในใจว่า “ไม่กล้าเล่นก็บอกมาตามตรงเถอะ ยังจะมาบอกว่าไม่สนใจอีก เป็นคนที่ชอบเสแสร้งจริง ๆ!”
ฉีเยว่หยูขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกไม่พอใจที่พี่ชายตนเองพุ่งเป้าไปที่เฉินโม่ แต่เธอก็ไม่กล้าพูดอะไร
เมื่อมู่หรงยานเอ๋อร์ได้ยินฉีหมิงซานพูดเหยียดหยามเฉินโม่แล้ว สีหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที จ้องฉีหมิงซานและกล่าวว่า “ใครบอกว่าเฉินโม่ไม่กล้าเล่น? ถ้าเขาอยากจะเล่น ไม่ต้องพูดถึงหนึ่งหมื่น แม้แต่สิบล้านก็ไม่ทำให้ขนหน้าแข้งของเขาร่วงหรอก!”
“ฮ่า ๆ!” ฉีหมิงซานกลัวว่ามู่หรงยานเอ๋อร์จะทีความประทับใจไม่ดีต่อตนเอง ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าพูดหักล้าง แต่ในใจของเขายิ่งดูถูกเหยียดหยามเฉินโม่มากยิ่งขึ้น เขารู้สึกว่าเฉินโม่ต้องหลอกมู่หรงยานเอ๋อร์อย่างแน่นอน มิเช่นนั้นนักเรียนที่ย้ายมาจากอำเภอเล็ก ๆ ถึงแม้ว่าเขาจะขายทรัพย์สินของครอบครัวไปทั้งหมด ก็ไม่สามารถมีเงินสิบล้านได้
เฉินโม่ลูบหน้าผากของมู่หรงยานเอ๋อร์และกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าคุณอยากเล่นก็เล่นเถอะ ไม่ต้องสนใจว่าคนอื่นจะพูดอะไร”
สายตาของมู่หรงยานเอ๋อร์เต็มไปด้วยความคาดหวัง “เฉินโม่ นายเล่นเป็นเพื่อนฉันได้ไหม?”
มู่หรงยานเอ๋อร์รู้ความสามารถของเฉินโม่เป็นอย่างดี และการที่ฉีหมิงซานดูถูกเหยียดหยามเฉินโม่มาตลอดทาง มันทำให้เธอรู้สึกโกรธมาก เธอต้องการให้เฉินโม่แสดงความสามารถต่อหน้าสองพี่น้องตระกูลฉี เพื่อทำให้ฉีหมิงซานอับอายขายหน้า
เฉินโม่นึกไม่ถึงว่าคนที่เรียบง่ายอย่างมู่หรงยานเอ๋อร์จะมีความคิดแบบนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ใจแข็งพอที่จะสามารถปฏิเสธ เขาจึงพยักหน้า “ตกลง ผมจะเล่นเป็นเพื่อนคุณ”
เมื่อเห็นความสนิทสนมของพวกเขาสองคนแล้ว ฉีหมิงซานที่สนใจมู่หรงยานเอ๋อร์โกรธและด่าอยู่ในใจ “ไอ้คนไร้ประโยชน์ อีกสักครู่ฉันจะทำให้นายอับอายขายหน้า และจะเปิดเผยธาตุแท้ของนายออกมา!”
พวกเขาเดินไปตรงเวทีมวยที่ใหญ่ที่สุดตรงกลางห้องโถง
“โอ้ คุณชายฉี คุณมาเล่นอีกแล้ว?” น้ำเสียงแบบอันธพาลดังมาจากด้านข้าง
ชายหนุ่มอายุเท่ากับฉีหมิงซาน พาชายวัยกลางคนที่สง่างามและร่างกายกำยำ แล้วยังมีบอดี้การ์ดสวมชุดสูทสีดำสองคน เดินมุ่งหน้ามาทางเฉินโม่
สายตาของชายหนุ่มมองสำรวจฉีเยว่หยูกับมู่หรงยานเอ๋อร์อยู่ชั่วขณะหนึ่ง โดยเฉพาะสายตาที่เขามองที่มู่หรงยานเอ๋อร์ เผยให้เห็นความปรารถนาที่มากกว่าฉีหมิงซาน และสายตานั้นแทบอยากจะกลืนกินมู่หรงยานเอ๋อร์
“หวางเส้าหยู่ คุณยังกล้ามาอีก? คราวที่แล้วยังเสียไม่พออีกเหรอ?” เมื่อฉีหมิงซานเห็นชายหนุ่ม เขาเดินไปข้างหน้าอย่างสงบ แล้วยืนขวางอยู่หน้ามู่หรงยานเอ๋อร์
หวางเส้าหยู่เหลือบมองชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านข้าง ทำให้เขารู้สึกมีความมั่นใจทันทีและกล่าวเยาะเย้ยว่า “ฉีหมิงซาน คุณอย่าลำพองใจ คราวที่แล้วผมไม่ได้พ่ายแพ้ให้กับคุณ แต่ผมพ่ายแพ้ให้กับยอดฝีมือที่อยู่ข้างคุณ คราวนี้ผมเตรียมตัวพร้อมแล้ว ถ้าแน่นจริงพวกเรามาเดิมพันอีกสักเกม!”
“เดิมพันเลย ผมไม่กลัวคนที่เคยแพ้ผมหรอก?” ฉีหมิงซานเงยหน้าขึ้นต่อหน้ามู่หรงยานเอ๋อร์ กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ยอมแสดงให้เห็นว่าตนเองด้อยกว่า
หวางเส้าหยู่หัวเราะเยาะ มีความลำพองใจปรากฏอยู่ในดวงตา “ตกลง วันนี้ผมจะให้คุณคืนทั้งต้นทั้งดอก!”
กลุ่มคนยืนอยู่ข้างเวที เฝ้ามองนักมวยสองคนบนเวทีที่กำลังจะรู้ผลชนะ หลังจากจบเกมนี้ พวกเขาก็จะสามารถเดิมพันได้แล้ว
เพียงแต่ความแข็งแกร่งของนักมวยสองคนที่อยู่บนเวทีไล่เลี่ยกัน ตอนนี้พวกเขาสองคนได้รับบาดเจ็บและใกล้หมดแรงแล้ว ดูเหมือนว่าไม่นานก็จะรู้ผลแล้ว แต่ความจริงแล้วมีน้อยคนที่จะสามารถเดาว่าใครคือผู้ชนะอย่างแท้จริง
หวางเส้าหยู่เหลือบมองฉีหมิงซาน และกล่าวเยาะเย้ยว่า “คุณชายฉี คุณคิดว่าระหว่างสองคนนี้ ใครจะเป็นฝ่ายชนะ?”
ฉีหมิงซานเดิมพันบ่อย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ค่อยมีความสามารถ แต่เขามีสายตาที่มีเอกลักษณ์เป็นพิเศษ เขามองนักมวยสองคนที่อยู่บนเวทีอย่างละเอียดสักครู่ และกล่าวว่า “ผมคิดว่าฝ่ายดำจะเป็นฝ่ายชนะ!”
หวางเส้าหยู่หัวเราะเยาะสองครั้ง กระซิบกับชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “ในเมื่อคุณคิดว่าฝ่ายดำจะเป็นฝ่ายชนะ ถ้าเช่นนั้นผมจะเดิมพันฝ่ายแดง หนึ่งแสนเพื่อเป็นการอุ่นเครื่อง คุณกล้าเดิมพันไหม?”
หนึ่งแสนเท่านั้น ฉีหมิงซานรู้สึกว่าเป็นเงินจิ๊บจ้อย แต่ต่อหน้ามู่หรงยานเอ๋อร์แล้ว เขาจะขี้ขลาดตาขาวไม่ได้
“เดิมพันก็เดิมพัน ผมไม่กลัวคนที่เคยแพ้ผมหรอก?”